“พี่ครับ ่เช้าคุณปู่จ้าวยังไม่มาเลย” เซี่ยเฉินเฟิงรายงานกับผู้เป็พี่สาว
“งั้นคงมา่บ่ายกระมัง”
จากนั้นเธอค่อยนึกออกว่า ่พลบค่ำพี่ซ่งก็จะมากินข้าวที่บ้านเช่นกัน เพราะฉะนั้น่บ่ายจะไปไหนไกลไม่ได้ เธอเลยตั้งใจว่าจะไปตัดฟืนแล้วรีบกลับมา
“พี่ครับ ตอนบ่ายพี่ก็พาผมขึ้นเขาไปด้วยไม่ได้ใช่ไหม” น้องชายเอ่ยถามพร้อมกับทำตาปริบๆ น่าสงสาร
“ใช่ ตอนบ่ายพี่ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับ” เธอตอบ
“หลานไปเก็บสมุนไพรเถอะ เดี๋ยวตาไปตัดฟืนเอง” อู๋กวงเต๋อบอกหลานสาว
ไม้มีน้ำหนักมาก เขาไม่้าให้หลานสาวเหนื่อย ไว้ตอนไปต้อนฝูงวัว่บ่าย เขาค่อยเก็บพวกกิ่งไม้ติดมือกลับมาด้วยก็ใช้ได้แล้ว
นับั้แ่สองพี่น้องมาอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยาย เซี่ยโม่มีสูตรโกงคือโกดังสินค้า เวลาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรก็มักจะนำฟืนติดมือกลับมาที่บ้านด้วย เพราะไม่อยากให้คุณตาต้องลำบาก
“คุณตา เมื่อวานหนูบอกคุณตาแล้วไม่ใช่เหรอคะว่า ตอนเย็นพี่ซ่งจะมากินข้าวที่บ้านด้วย หนูเลยจะไปแค่แป๊บเดียว เพราะหนูต้องกลับมาทำอาหารอีก มีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่พอให้เก็บสมุนไพรหรอกค่ะ” เธอแจกแจงเสียงหวาน
คุณตาพยักหน้าอนุญาตอย่างเสียไม่ได้ “งั้นก็รีบกลับมานะ”
่บ่ายเซี่ยโม่ออกไปตัดฟืน ไปไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมา เมื่อถึงหน้าบ้าน เห็นเฉินเฟิงตัวน้อยกำลังเล่นคนเดียวอยู่แถวนั้น
พอเห็นเธอ น้องชายก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ
“พี่ แขกยังไม่มาเลย พี่กลับมาเร็วจัง”
“พี่กลัวเราอยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเบื่อ ก็เลยรีบกลับมายังไงละ” เธอตอบ
เฉินเฟิงตัวน้อยยิ้มกว้าง “พี่ดีที่สุดเลย!”
เซี่ยโม่นำฟืนที่ตัดมาไปวางรวมกับกองฟืน น้องชายคิดจะเข้ามาช่วย กลับถูกเธอห้าม
“เราไปตักน้ำใส่กะละมังไว้ให้พี่ล้างมือหน่อย เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ตามไป”
“ได้ครับ!” เฉินเฟิงตัวน้อยใช้ขาสั้นๆ วิ่งไปทำตามที่พี่สาวบอก
เซี่ยโม่หยิบหญ้าออกมาจากในโกดังสินค้า วางตากเอาไว้บนพื้นให้มันแห้ง
จากนั้นถือหญ้าที่แห้งแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว นำข้าวและเส้นบะหมี่แยกใส่คนละถัง
เธอจัดแจงอย่างดี เนื่องจากเซี่ยโม่มักจะเป็คนทำอาหาร คุณตาคุณยายเลยไม่ทราบความนัยที่เธอทำเช่นนี้
ต่อมาเธอไปล้างมือในกะละมังที่เฉินเฟิงเตรียมเอาไว้ ให้รางวัลน้องชายเป็ลูกอมหนึ่งห่อ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่จะไปทำอาหาร เราเล่นไปคนเดียวก่อนนะ หากมีใครมาก็ะโเรียกพี่”
“ครับ!” รับคำแล้วเฉินเฟิงตัวน้อยก็วิ่งไปเล่นที่หน้าบ้าน
เมื่อวานตอนเย็น เนื่องจากอากาศร้อน เธอเลยกลัวเนื้อหมูกับกระดูกหมูจะเสีย พอเธอนำเื่นี้ไปปรึกษากับคุณยาย คุณยายเลยเอาไปเก็บในห้องเก็บผักที่ชั้นใต้ดิน
หลังจากเห็นคนในบ้านหลับกันไปหมดแล้ว เธอเดินลงไปที่ชั้นใต้ดิน นำกระดูกหมูและเนื้อหมูเข้าไปเก็บในโกดังสินค้า แล้วเอาเนื้อหมูที่อยู่ในโกดังสินค้าออกมาเก็บไว้บนชั้นในห้องเก็บผักในห้องชั้นใต้ดินแทน
พูดตามตรง คุณภาพของเนื้อหมูที่อยู่ในโกดังสินค้าแตกต่างจากคุณภาพของเนื้อหมูที่ขายในชนบทลิบลับ เธอจะไม่ซื้อ เอามาจากในโกดังสินค้าก็ได้ ไม่ง่ายเลยกว่าคนในบ้านเธอจะได้ทานเนื้อหมู เธอเลยอยากให้ทานเนื้อหมูเลี้ยงที่เลี้ยงโดยเกษตรกรในสมัยใหม่มากกว่า
เธอนำกระดูกหมูไปตุ๋น และนำเนื้อหมูไปหั่นเพื่อจะได้นำไปผัด
เธอเดินไปเด็ดพริกหยวก ถั่วฝักยาว แตงกวา หัวหอม ขิง และกระเทียมในสวน
หลังจากล้างผักจนสะอาด เช็ดโต๊ะเก้าอี้รวมถึงล้างจานชามและตะเกียบเสร็จเรียบร้อย เธอก็ได้ยินเสียงน้องชายะโมาจากหน้าบ้าน “พี่ครับ มีคุณปู่คนนึงมาครับ”
เธอรีบวิ่งออกไปดู แล้วก็ได้เห็นคุณปู่จ้าวกำลังเดินตรงมาที่บ้านของเธอ
“คุณปู่จ้าว ลำบากแย่เลย”
ใบหน้าคุณปู่จ้าวระบายไปด้วยรอยยิ้ม “โม่โม่ ในที่สุดก็หาบ้านเธอเจอสักที เตรียมของอร่อยอะไรเอาไว้ให้ฉันงั้นเหรอ”
สมองของคนตรงหน้ามีแต่เื่กินสินะ
“ลองทายดูสิคะ”
คุณปู่จ้าวทำจมูกฟุดฟิด ก่อนที่แววตาจะเปล่งเป็ประกาย “เรานี่ไม่เลวเลย ทำเนื้อไว้ให้ฉันใช่ไหม”
“กะจะทำหนูอ้นอีกตัวด้วยค่ะ แต่ฉันไม่กล้าฆ่ามัน คุณปู่จ้าวช่วยจัดการมันให้หน่อยได้ไหมคะ จะได้เอาไปตุ๋นกับหน่อไม้”
“โม่โม่ แค่เนื้อหมูก็พอแล้ว ไม่ต้องฆ่าหนูอ้นอีกหรอก พรุ่งนี้ค่อยฆ่ามันมาทำอาหารก็ได้”
เธอรู้ได้ในทันที “คุณปู่จ้าว คุณจะมาพักอยู่ที่บ้านฉันหลายวันเหรอคะ”
ชายชราพยักหน้า “ฉันวางแผนว่าจะพักอยู่ที่บ้านเธอสักสามสี่วัน ตอนกลางวันว่าจะออกไปเดินรอบๆ หมู่บ้าน เผื่อเจอคนป่วยจะได้รักษาให้”
“ดีเหลือเกิน งั้นฉันไม่ฆ่าหนูอ้นแล้ว ฉันตุ๋นซี่โครงหมูเอาไว้แล้ว ใส่หน่อไม้ลงไปก็ใช้ได้แล้ว แล้วก็มีกับข้าวอย่างอื่นด้วย”
ชายชรายิ้มพลางเอ่ยเย้า “ในสมองเรามีแต่ของกินหรือไง หนังสือสมุนไพรที่ฉันให้ยืม เธอจำสมุนไพรในนั้นได้หมดหรือยัง”
คนตรงหน้าจงใจหาเื่เธอชัดๆ
แม้จะไม่พอใจ แต่เห็นแก่ที่อีกฝ่ายอายุมากกว่า เธอไม่ถือสาก็ได้ เธอเชิดหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงถือดี “จำได้หมดแล้ว แค่สามวันก็จำได้หมดแล้ว”
ชายชรายิ้มอย่างพออกพอใจ “นับว่าใช้ได้ ไว้มีเวลาฉันจะทดสอบเธอ”
“ได้เลยค่ะ!”
เวลานี้เองที่เสียงกริ่งจักรยานดังแว่วมาแต่ไกล ก่อนที่ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่งจะขี่จักรยานมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน
เฉินเฟิงตัวน้อยร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่ซ่งมาแล้ว…”
เหล่าจ้าวและเซี่ยโม่ต่างหันไปมอง
เหล่าจ้าวยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “เ้าเด็กนี่ เธอมาได้ยังไง”
เซี่ยโม่ชะงักนิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง คุณปู่จ้าวอาศัยอยู่ในตำบลไท่ผิง ส่วนพี่ซ่งทำงานอยู่ที่สถานีรถไฟ แม้ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟจะมีตำบลเล็กๆ อยู่ แต่ทั้งสองก็นับว่าอาศัยอยู่กันคนละที่อยู่ดี แล้วรู้จักกันได้ยังไง?
เธอมองทั้งสองคนสลับไปมาอย่างสงสัย
ซ่งมู่ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “ตอนที่เธอเล่าให้ฉันฟัง ฉันยังคิดอยู่เลยว่าคุณปู่จ้าวที่เธอพูดถึงใช่คนเดียวกับที่ฉันรู้จักไหม แล้วก็เป็คนเดียวกันจริงๆ ด้วย”
เหล่าจ้าวยิ้มพลางพูด “ไม่คิดเลยว่าเธอจะยังจำฉันได้”
“จำได้สิครับ คุณคือผู้มีพระคุณของผม หากไม่ได้คุณ ผมต้องแย่แน่ๆ” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
เซี่ยโม่งงหนักยิ่งกว่าเดิม ทั้งสองคนพูดถึงอะไรกันอยู่เนี่ย
เฉินเฟิงตัวน้อยมีสีหน้างงงวยเช่นกัน
ซ่งมู่ไป๋จึงเล่าเื่เมื่อตอนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มให้ฟังว่า “ปีที่แล้วตอนฤดูร้อน ฉันไปทำธุระที่ตำบลไท่ผิง จู่ๆ ฉันเกิดเป็ไส้ติ่งอักเสบขึ้นมา ไปหาหมอที่โรงพยาบาล เขาแนะนำให้ฉันไปผ่าตัดในอำเภอ แต่ตอนนั้นฉันปวดท้องจนทนไม่ไหวอยู่แล้ว จะมีแรงไปที่อำเภออีกได้ยังไง”
เซี่ยโม่ถามต่อทันทีว่า “แล้วต่อมาละคะ”
“มีคนแนะนำให้ฉันไปหาหมอที่ร้านยาฮุ่ยหมิน เขาบอกว่าหมอที่นั่นฝังเข็มเก่งมาก ฉันพยายามรวบรวมแรงไปที่นั่น ปรากฏว่าคุณปู่จ้าวไม่เพียงฝังเข็มให้ฉันหายปวด ยังฝังเข็มให้ฉันหายป่วยด้วย น่านับถือจริงๆ!”
คุณปู่จ้าวถอนหายใจด้วยสีหน้าหม่นเศร้า “ทั้งหมดมันเป็อดีตไปแล้ว ตอนนี้ฉันเป็แค่ตาแก่ธรรมดาที่พยายามหาอาหารประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น”
เมื่อวานเซี่ยโม่แค่พูดชื่อคุณปู่จ้าว ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ซ่งมู่ไป๋ฟัง
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
คุณปู่จ้าวเล่าเื่ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ ให้ฟัง ซ่งมู่ไป๋ฟังแล้วก็กำหมัดแน่นอย่างเดือดดาล “มีแต่พวกสารเลวทั้งนั้น ถูกคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทำแบบนี้เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ตำบลไท่ผิงขาดหมอฝีมือดีไปคนนึง ต่อไปหากในตำบลมีคนป่วยหนักเยอะๆ ดูซิว่าพวกนั้นจะทำยังไง”
เดิมทีเซี่ยโม่มั่นใจอย่างมากว่าคุณปู่จ้าวต้องมีฝีมือการแพทย์ไม่ธรรมดา ซึ่งประโยคนี้ซ่งมู่ไป๋ก็ได้ช่วยยืนยันความคิดนี้ของเธอ
เธอพูดปลอบใจคุณปู่จ้าวโดยยกประโยคอุปมาอุปไมยมาประโยคหนึ่งขึ้นมา “คุณปู่จ้าวคะ คุณเชื่อเถอะค่ะ ทองไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะเปล่งประกายเสมอ”
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กสาวอย่างตะลึงคาดไม่ถึง “โม่โม่ เธอพูดได้ดีมาก”
ประโยคนี้เธอไม่ได้คิดเอง มีคนสรุปเอาไว้ เธอแค่ยืมมาใช้เท่านั้น
เธออธิบายออกไปว่า “ฉันได้ยินคนอื่นพูดมาน่ะค่ะ เห็นว่าเหมาะกับเื่ของคุณปู่จ้าวดีก็เลยหยิบยกมา”
นับั้แ่เกิดเื่ คุณปู่จ้าวมีชีวิตที่ยากลำบากมาก ต้องแกล้งทำเป็เสียสติเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
นึกไม่ถึงเลยว่า่เวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต เขาจะได้เจอกับคนดีอย่างซ่งมู่ไป๋ และเด็กสาวที่จิตใจดีเช่นเซี่ยโม่
“ขอบใจมากที่พวกเธอให้กำลังใจและสนับสนุนฉัน ฉันหวังว่าตัวเองจะอายุยืนยาว ฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อรักษาคนป่วย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้