“ศิษย์น้องเล็ก ครึ่งเดือนที่แล้วเ้ารับหญ้าเซียนไปเก้าร้อยต้น เ้าหลอมหมดแล้วรึ?”
ผ่านไปชั่วครู่ จ้าวต๋าตันรีบเก็บสีหน้าตะลึงไว้ แต่สายตาที่ดูโหยวเสี่ยวโม่ยังไม่อยากเชื่อ เขายอมที่จะเชื่อว่าโหยวเสี่ยวโม่มีคนช่วย หรือไม่ก็หยิบจากครึ่งหนึ่งของตัวเองมารวมด้วย เพื่อเอาหน้า
“ไม่ใช่ขอรับ” โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้ความคิดเขา จึงส่ายหัวปฏิเสธไปก่อน
จ้าวต๋าตันโล่งอกทันใด เห็นทีเขาคงแค่อยากได้หน้า แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องคนนี้ช่างห่วงหน้าตาเหลือเกิน ในใจพลันรู้สึกดูิ่ แต่ไม่คิดว่าตัวเองก็เป็คนชอบเอาหน้าเช่นกัน
โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยต่ออย่างไม่คิดอะไร น้ำเสียงไม่แยแส “อีกครึ่งข้ายังไม่ได้หลอม”
จ้าวต๋าตันเหวอจนเบิกตาโตมองเขา ครู่หนึ่งถึงเรียกสติคืนมา รีบลุกขึ้นยืน ไม่อาจเก็บสีหน้าได้อีกต่อไป พลันอยากคว้าข้อมือเขาขึ้นมาถาม ดีที่เขายังนึกได้ว่าที่นี่คือเรือนหญ้าเซียนและนั่งอยู่เก้าอี้ประจำตำแหน่งของพ่อ จากนั้นสูดหายใจลึก สงบสติลง
“ศิษย์น้องโหยว ตอนที่เ้าหลอมยาไม่เคยล้มเหลวเลยรึ?” จ้าวต๋าตันสืบถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะจนไม่เป็ตัวเอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่จ้าวถึงมีท่าทีแปลกๆ เช่นนี้ สงสัยเพราะจี้ใจดำเขาเข้าซะแล้ว พลันลังเลว่าจะพูดความจริงหรือโกหกไปดี
หากโกหกไป เขาก็กลัวศิษย์พี่จ้าวจะดูออก เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ลุงจ้าวก็รู้มาตลอดว่าเขาไม่เคยหลอมยาล้มเหลวมาก่อน ทั้งสองเป็พ่อลูกกัน แค่ถามผู้เป็พ่อก็รู้คำตอบได้ ถูกจับไต๋ได้ เมื่อนั้นศิษย์พี่จ้าวที่รู้ว่าเขาหลอก ไม่รู้จะคิดเช่นไร ดังนั้นจะพูดโกหกไม่ได้เด็ดขาด
แต่หากพูดความจริงไป ดูจากตอนนี้เขาก็ตะลึงอยู่ไม่น้อย หากยิ่งทำให้เขาอึ้งมากไปกว่านี้ อีกหน่อยคงอยู่ไม่สุขแน่
ซ้ายไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ ตัวเลือกที่ผลกระทบเบาหน่อยละกัน
โหยวเสี่ยวโม่ตีหน้าตายกล่าว “เื่นั้น…คือ…เหมือนว่า…จะไม่เคยล้มเหลวมาก่อน”
พูดจบปุ๊บ โหยวเสี่ยวโม่รับรู้ได้ว่าศิษย์พี่จ้าวพลังพลุ่งพล่าน คงมัวแต่อึ้งมากไปจนทำให้พลังปราณิญญาไม่มั่นคง เหมือนที่เขาคิดไว้ไม่ผิด เงยหน้าขึ้นก็เห็นศิษย์พี่จ้าวจ้องเขาไม่วางตา
“ศิษย์พี่ห้า ท่าน…เป็อะไรรึเปล่า?” โหยวเสี่ยวโม่มองเขา ลังเลชั่วครู่แล้วถามไถ่
จ้าวต๋าตันยังคงจ้องเขาอยู่ แต่ไม่ได้ตอบกลับ เพราะเขารู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ไม่มีทางโกหกเขาแน่ ไม่เช่นนั้นแค่ถามพ่อก็ได้คำตอบแล้ว จุดนี้เขารู้ดีที่สุด แต่เพราะเช่นนี้จึงยิ่งทำให้เขายากที่จะยอมรับเพราะคุณสมบัติของโหยวเสี่ยวโม่เทียบเขาไม่ได้สักนิด…
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา บรรยากาศเงียบงันอยู่พักหนึ่ง
“ศิษย์น้องโหยว เ้า…ทำได้ยังไงกัน?” จ้าวต๋าตันทำลายความเงียบ แม้จะทำใจยอมรับว่าตัวเองเทียบกับศิษย์น้องเล็กไม่ได้ แต่มันคือเื่จริง ท่านพ่อสอนเขาเสมอว่าเป็คนนั้นอวดดีได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถ่อมตนให้เป็ มีเพียงเช่นนี้ที่ทำให้ตัวเองเก่งกาจขึ้นได้ เขาก็อยากเก่งให้ได้เหมือนศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก ท่าทีของศิษย์พี่จ้าวผิดจากที่เขาคาดไปไกล
เขานึกว่าเมื่อศิษย์พี่ห้าได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วจะยิ่งอิจฉาชิงชัง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเื่แบบนี้เกิดขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่เขาได้ยินจากศิษย์พี่ห้ากลับเป็ความอิจฉาที่แฝงการวอนขอคำชี้แนะด้วยเสียอย่างนั้น คิดไม่ถึง!
เพราะเขาคิดมาตลอดว่า ศิษย์พี่ห้าชอบโอ้อวด นิสัยคงยอมแพ้ไม่เป็ แต่ดูจากตอนนี้ เขาคิดผิดแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ส่งยิ้มให้เขา แล้วแบ่งปันข้อมูลกับเขาอย่างไม่ปิดกั้น “ศิษย์พี่ห้า อันที่จริงการหลอมยาสำคัญที่สุดคือต้องมีสมาธิ ท่านลองคิดว่า ทุกครั้งที่ท่านหลอมยาเม็ดนึงนั้นเสมือนการสร้างลูกคนหนึ่งออกมา แล้วต้องรวบรวมพลังปราณิญญาทั้งหมดไว้บนเม็ดยาที่กำลังหลอมอยู่ในมือ ระวังห้ามล่อกแล่กเด็ดขาด เท่านี้ความสำเร็จในการหลอมยาก็จะมีมากขึ้นขอรับ”
เขาไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ที่ไม่พร่องเลยก็คือสมาธิ
ใน่หลอมยาเขาจะมีสมาธิเป็พิเศษ ดังนั้นความผิดพลาดตอนหลอมยาจึงเป็ศูนย์ แต่นี่ก็เป็เพียงหนึ่งในเหตุผล ที่จริงยังมีเื่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาต้องหาเงิน หากว่าผิดพลาด ก็เท่ากับว่าเงินที่จะได้นั้นลดลงไปหนึ่งเม็ดน่ะสิ?
แน่นอนว่า ข้อนี้เขาไม่ได้บอกศิษย์พี่ห้า
จ้าวต๋าตันวิเคราะห์สิ่งที่เขาพูดมา ไม่อาจปฏิเสธว่าสมเหตุสมผล บางทีครั้งหน้าที่หลอมยา เขาอาจลองดูก็ได้…
คิดเช่นนี้ จ้าวต๋าตันก็รู้สึกตัว ก้มหน้ามองโหยวเสี่ยวโม่ที่ไม่ทันเก็บรอยยิ้ม พลันรู้สึกหงุดหงิด เขาเป็ศิษย์พี่ ทำไมต้องให้ศิษย์น้องมาจ้องหน้าด้วยท่าทีเช่นนี้ จึงรีบปรับสีหน้าขึงขัง “ศิษย์น้องเจ็ด หากไม่มีธุระอะไรแล้ว เ้าไปได้”
โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มจนตาคว่ำเป็สระอิ “งั้นข้าขอตัวก่อน ลาก่อน ศิษย์พี่ห้า!”
จากตอนนี้ไป ทุกครั้งที่โหยวเสี่ยวโม่เห็นศิษย์พี่ห้าก็รู้สึกมีความสุขเป็พิเศษ ไม่เคยคิดว่าศิษย์พี่ห้าที่อวดดี ชอบเอาหน้าจะเป็คนที่รับมือยากและน่าสนใจเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ปากไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ทนไม่ไหว รับมือยากแต่น่ารักดี คล้ายกับพวกปากอย่างใจอย่างเหมือนศิษย์พี่รองเลย
เมื่อกลับถึงห้อง โหยวเสี่ยวโม่ลงกลอนประตู จากนั้นเก็บตำราหลายเล่มไว้บนชั้นวาง แล้วหันหลังเข้าห้องนอน
เขาไม่ได้เร่งรีบหลอมยา เพราะทำได้ทุกเมื่อ อีกทั้งตอนนี้เขาเกรงว่าอาจมีคนมาหา เข้าห้องแล้ว เขานั่งขัดสมาธิบนเตียง พูดถึงคัมภีร์ิญญา์ ั้แ่ได้ฝึกฝน เขาก็ไม่ค่อยได้ฝึกนั่งสมาธิเช่นนี้เสียนาน
แม้ว่าตอนหลอมยาก็เสมือนการฝึกสมาธิ แต่ผลลัพธ์ไม่เท่าการนั่งขัดสมาธิ
เมื่อเตรียมตัวเสร็จ โหยวเสี่ยวโม่หลับตาลง ค่อยๆ ร่ายคัมภีร์ิญญา์ พลังปราณิญญาแผ่ออกมาช้าๆ เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณทั่วทั้งร่างนั้นถูกน้ำชะล้างอยู่ เมื่อชะล้างพลังปราณหนึ่งรอบ จากนั้นพลังปราณก็เคลื่อนเข้าสู่หว่างคิ้ว เมื่อพลังปราณเคลื่อนเข้าไปจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว พลังทั้งหมดนั้นเหมือนจะทะลักออกมาจากหว่างคิ้วให้ได้ จนเมื่อมีเสียง “อุ๋ง” ดังขึ้น จู่ๆ พลังปราณนั้นก็หายวับไป…
โหยวเสี่ยวโม่ประหลาดใจ เขารู้สึกถึงพลังปราณไม่ได้เลย ราวกับว่าพลังมันหายไปสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่า จากพลังเบื้องลึกที่แผ่ออกมานั้นกำลังหิวโหย
ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่าหว่างคิ้วกำลังส่องแสงร้อนวาบ จากนั้นพลังปราณรอบทิศเริ่มขยับอีกครั้ง จากที่ดวงตาสามารถเห็นได้มันเคลื่อนไหวรวดเร็ว จากนั้นก่อตัวเป็รูปน้ำวน และจุดศูนย์กลางน้ำวนคือตรงหว่างคิ้วเขาเอง พลังปราณมหาศาลพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้ว เติมเต็มพลังที่ว่างเปล่านั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจนเบื้องลึกสุดของพลังปราณรู้สึกถึงจุดอิ่มตัว ถึงหยุดดูดซับพลังปราณ
รับรู้ถึงดวงิญญาที่กำลังอิ่มแปล้ส่งเสียง “อุ๋ง” โหยวเสี่ยวโม่ถึงกับโล่งอก
ความรู้สึกเช่นนี้สุดยอดไปเลย เหมือนคนที่หิวโหยมาเป็อาทิตย์ ก็มีเนื้อปลาตัวโตโผล่มา ความปลื้มปริ่มนั้นยากที่จะอธิบายได้
โหยวเสี่ยวโม่รับรู้ได้ว่าชัดเจนว่า ดวงิญญาของเขาแข็งแกร่งขึ้น และพลังปราณิญญาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย พลังนั้นเพิ่มมากกว่าการหลอมยาอย่างยากเย็นแสนเข็ญเสียอีก สิบกว่าวันยังสู้หนึ่งชั่วยามนี้ไม่ได้
เมื่อค้นพบข้อดีของการสงบจิตทำสมาธิแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ตัดสินใจว่าจะใช้เวลาหนึ่งชั่วยามมาฝึกฝนคัมภีร์ิญญา์ทุกวัน เพื่อจะได้เป็นักหลอมโอสถขั้นสามในเร็ววัน
ขณะนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงดังอึกทึกขึ้น
โหยวเสี่ยวโม่รีบลืมตา มองไปตรงหน้าต่างด้วยความแปลกใจ ด้านนอกหน้าต่างมีเงาคนหลายคน ทั้งยังมีเสียงฝีเท้าหลายคู่ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ แต่คนเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่หน้าห้องเขาเอง
โหยวเสี่ยวโม่รีบสวมรองเท้า กำลังจะเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียกของคนที่เขารู้จักคุ้นเคย เป็เสียงของศิษย์พี่หยางที่อยู่ข้างห้องเขา ศิษย์พี่ท่านนี้ช่วยส่งข้อความจากศิษย์พี่ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง
เปิดประตูออก โหยวเสี่ยวโม่เห็นศิษย์พี่ที่อยู่บริเวณนี้มารวมกันหลายคน สายตาแปลกใจ จากนั้นมองไปที่ศิษย์พี่หยางแล้วเอ่ยถาม “ศิษย์พี่หยาง มีเื่อะไรกันหรือ?”
ศิษย์พี่หยางมองเข้าไปในห้องเขา จากนั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย “ศิษย์น้องโหยว เมื่อครู่เ้าฝึกฝนอยู่ใช่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่สีหน้าประหลาดใจ “ศิษย์พี่…รู้ได้ยังไง?” ในเมื่อเขาปิดประตูหน้าต่างแ่าแล้ว ไม่มีใครมองเห็นจากด้านนอกได้แน่ว่าเขากำลังฝึกฝนอยู่
ศิษย์พี่หยางเห็นท่าทีเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก่อนอธิบาย “เมื่อครู่ตอนที่เ้ากำลังฝึกฝนทำให้พลังดินฟ้าอากาศเคลื่อนตัวรึเปล่า พลังปราณรอบบริเวณนี้ถูกเ้าดูดกลืนมาหมด ทุกคนใกันหมดจึงพากันมาดู เ้าไม่รู้เื่งั้นรึ?”
พวกเขาหลายคนที่กำลังหลอมยานั้นต่างสะดุ้งจนยาเซียนตันในเตาหลอมนั้นใช้ไม่ได้ จึงทำให้ทุกคนต่างไม่พอใจ แต่พอเขาลองคิดดู จึงบอกเื่นี้ให้โหยวเสี่ยวโม่
“ข้าขอโทษที่ทำให้ศิษย์พี่ทั้งหลายใ ข้าไม่รู้ว่าจะเป็เช่นนี้ไปได้”
โหยวเสี่ยวโม่ร้องหาขึ้น ในตอนแรกนั้นเขาไม่รู้จริงๆ แม้ว่าเขาจะรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังดูดซับพลังปราณ แต่ไม่รู้ถึงสถานการณ์ด้านนอก หากให้พวกเขารู้ว่าเขากำลังฝึกฝนคัมภีร์ิญญา์ คงโดนฆ่าตายโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อคิดเช่นนี้ เล่นเอาเหงื่อซึมทั่วหลัง
โหยวเสี่ยวโม่แอบชำเลืองมองพวกเขา หลายคนมีสีหน้าริษยาและไม่พอใจ พวกเขาจะไม่พอใจเพราะเขาทำให้ใมันก็สมควรอยู่ แต่ความริษยานั้นมาจากไหนกัน?
เขาลองคิดดู ในที่สุดก็นึกได้ว่าเขาได้คัมภีร์ฝึกฝนดวงิญญามาจากอาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ เื่นี้ทุกคนคงรู้กัน เขารู้มาว่าศิษย์ทัพพิภพที่ได้เคล็ดวิชานี้มีไม่ถึงยี่สิบคน มิน่าทำไมพวกเขาถึงริษยา เสียดายเพียงเคล็ดวิชานั้นไร้ประโยชน์กับเขา
แต่ดีที่เอามาใช้เป็ข้ออ้างได้ และดีที่เขาได้คัมภีร์เล่มนั้นมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงอธิบายได้ยาก และหากอาจารย์รู้เข้าคงลำบาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้