ผู้คนเห็นเย่เฟิงหักแขนข้างหนึ่งของหลิวหยาง กระทั่งกระดูกขาว ๆ โผล่ออกมาให้เห็น ช่างเป็ฉากที่น่าสะพรึงกลัว
“อ่อนหัด แต่กล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า ข้าล่ะนับถือในความใจกล้าของเ้าเสียจริง”
เย่เฟิงแสยะยิ้มขณะมองหลิวหยาง สายตานั้นยังแฝงด้วยความเย็นเยือก ทำให้หลิวหยางรู้สึกกลัวจากจิติญญา ใบหน้าก็ยังซีดเผือด แม้กระทั่งสายตาที่มองเย่เฟิงก็ไร้ซึ่งความยโสโอหัง แทนที่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
“ปล่อยข้านะ ไม่งั้นพี่น้องสำนักหลิงไถของข้าไม่ปล่อยเ้าไปแน่!” หลิวหยางข่มขู่เย่เฟิง เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับเย่เฟิงแม้เสี้ยววินาที
“สำนักหลิงไถ?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มเ็า “ข้าเคยฆ่าคนของสำนักหลิงไถมาไม่น้อย ถึงจะฆ่าเ้าไป มันก็ทำให้มือข้าสกปรกเปล่า ๆ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงก็จู่โจมไปที่ร่างหลิวหยางจนเขาส่งเสียงร้องด้วยความเ็ป ก่อนร่างจะกระเด็นออกไป เส้นลมปราณและกระดูกเสียหายหลายส่วน กลายเป็คนไร้ตบะอย่างสมบูรณ์แบบ!
“หมอนี่บ้าระห่ำมาก!”
เทพธิดาเทียนเซียงหลินในที่แห่งนั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตะลึงงัน แม้สำนักหลิงไถเป็กองกำลังหนึ่งของจักรวรรดิจิ่วโยวที่สู้เทียนเซียงหลินไม่ได้ แต่ก็เป็กองกำลังที่มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน
ทว่าชายผู้นี้ทำลายตบะของศิษย์สำนักหลิงไถอย่างไม่ลังเล กระทั่งลืมว่าตนเคยฆ่าศิษย์สำนักหลิงไถไปหลายคน นี่เป็การล่วงเกินและไม่เห็นสำนักหลิงไถอยู่ในสายตา
เทียนเซียงผู้เป็เ้าสำนักยังอดใไม่ได้ราวกับไม่คิดว่าเย่เฟิงจะลงมือกับหลิวหยางเช่นนี้
สีหน้าของหลิวหยางมีแต่ความสิ้นหวัง เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 จะตกอับได้อย่างไร? นับจากนี้เขากลายเป็คนไร้ซึ่งตบะและใช้ชีวิตเยี่ยงเศษสวะ เพียงเพราะเขาล่วงเกินเย่เฟิง หลิวหยางฉุกคิดได้เช่นนี้ก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ เสียใจที่ตัวเองล่วงเกินเย่เฟิง และเป็เขาที่ทำลายอนาคตของตัวเอง
เย่เฟิงไม่สนใจหลิวหยาง และเดินไปหาหลันเซียง หลันเซียงมองเย่เฟิงด้วยดวงตาสั่นไหว ชายผู้นี้ยังคงบ้าระห่ำไม่เปลี่ยน
ซวนหยวนจวิ้นเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบแฝงด้วยความดูแคลน ในความคิดของเขา การที่เย่เฟิงเอาชนะหลิวหยางได้นั้นเป็เื่ปกติ เพราะเย่เฟิงชิงที่หนึ่งในสองด่านแรก พลังต่อสู้ก็ย่อมไม่ธรรมดา แต่ถึงเย่เฟิงจะเอาชนะผู้อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 เขาซวนหยวนจวิ้นก็ไม่สนใจ เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด มีตบะสูงกว่าเย่เฟิง เย่เฟิงก็เป็แค่มดปลวกที่ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง
ซวนหยวนจวิ้นเผยท่าทีหยิ่งผยอง จากนั้นเขาเดินไปยังใจกลาง เพื่อเตรียมเข้าร่วมด่านสุดท้ายสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง
อย่างไรก็ตามสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงผลาญพลังไปไม่มากในหลายศึกก่อนหน้านี้ พวกนางจึงเริ่มสู้กับซวนหยวนจวิ้นโดยไม่หยุดพัก
ซึ่งซวนหยวนจวิ้นอายุไม่ถึง 23 ปีก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด พลังแห่งอำนาจบรรลุขั้นกายา ปลุกิญญาาขั้นครามคู่ พร์เช่นนี้ยอดเยี่ยมเป็อย่างมาก ดังนั้นเมื่อศึกระหว่างซวนหยวนจวิ้นและสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงเริ่มขึ้นก็ปะทะกันอย่างดุเดือด ซวนหยวนจวิ้นปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งสุดและิญญาาขั้นครามคู่ พลังแห่งอำนาจขั้นกายารายล้อมร่าง ทั้งยังมีดาบสีเงินปรากฏในมือเขา ก่อนจะตวัดดาบเข้าโจมตี
การผสานของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงน่ามหัศจรรย์อย่างมาก แม้พวกนางอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 แต่การผสานของสิบสามคนกลับมีพลังที่ทรงพลานุภาพยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด การโจมตีของพวกนางส่งเสริมกันและกัน ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างพากันตกตะลึง
แม้พวกนางเป็ศิษย์เทียนเซียงหลิน แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงลงมือสักเท่าไร มีเพียงการบุกด่านที่สามพวกนางจึงจะปรากฏตัว ดังนั้นพวกนางจึงตื่นเต้นมากที่ได้ดูศึกระหว่างสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงและซวนหยวนจวิ้น อีกอย่างพวกนางก็สามารถสั่งสมประสบการณ์จากการต่อสู้นี้ได้
ซวนหยวนจวิ้นกวัดแกว่งดาบต่อเนื่องจนรังสีดาบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ และที่ด้านหลังของซวนหยวนจวิ้นยังปรากฏเงาดาบั์และเงาเผิงสุวรรณ ปะทะกับการโจมตีของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นไม่หยุด คลื่นพลังทำลายล้างก็แผ่กระจายเป็วงกว้าง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างใจเต้นเร็ว จากนั้นได้ยินเทียนเซียงพูดขึ้นว่า “ซวนหยวนจวิ้นผู้นี้ร้ายกาจมาก แม้ในสองด่านก่อนหน้านี้จะถูกชายผู้นั้นกำราบ แต่ก็ปฏิเสธความแกร่งของเขาไม่ได้ ถึงสู้กับหนิงเซียงก็เกรงว่าจะพอฟัดพอเหวี่ยง ส่วนสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงก็คงพ่ายแพ้”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ใกับพลังของซวนหยวนจวิ้นที่ปลดปล่อยออกมา มันช่างน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินนั้นไม่มีผู้ใดผ่านด่านทั้งหมดมานานแล้ว วันนี้อัจฉริยะมากฝีมืออย่างซวนหยวนจวิ้นจะผ่านด่านได้หรือไม่?
“ปัง!”
ขณะที่ผู้คนตกตะลึงก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น การโจมตีของซวนหยวนจวิ้นทลายการป้องกันของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงคนหนึ่ง ก่อนจะโจมตีร่างอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงโอดครวญ กระทั่งร่างอีกฝ่ายกระเด็นไปกองกับพื้นและอาเจียนเืออกมา
เมื่อมีคนหนึ่งถูกซวนหยวนจวิ้นโจมตี นั่นหมายความค่ายกลเทียนเซียงแตกสลาย หญิงสาวอีก 12 คนจึงเริ่มสับสนวุ่นวาย
“เ้าชนะแล้ว!” หญิงสาวหนึ่งในสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงละทิ้งการต่อสู้และเป็ฝ่ายยอมแพ้ก่อน ค่ายกลที่พวกนางสร้างแตกสลาย เช่นนั้นสู้ต่อไปก็ไร้ความหมาย
“ข้าน้อยฝีมือต่ำต้อย!” ซวนหยวนจวิ้นเก็บดาบ ก่อนจะกล่าวพร้อมคำนับให้สิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียง
“คุณชายซวนหยวนเก่งกาจยิ่งนัก นานแล้วที่ไม่มีผู้ใดผ่านด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลิน วันนี้คุณชายซวนหยวนจวิ้นกลับทำสำเร็จ ดูท่าศิษย์พี่หนิงเซียงคงได้กับคุณชายซวนหยวนเป็แน่”
เหล่าศิษย์เทียนเซียงหลินเห็นซวนหยวนจวิ้นทำลายค่ายกลสำเร็จต่างก็ใจเต้นโครมคราม และมองเขาด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา ชายเช่นนี้เป็ที่ชื่นชอบของหญิงสาวมากมาย
ซวนหยวนจวิ้นเผยสีหน้าได้ใจ ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ ผ่านด่านทั้งสาม นี่หมายความว่าเขามีสิทธิ์พาเทพธิดาเทียนเซียงหลินไปได้หนึ่งคน ซึ่งเขามีคนในใจแล้ว นั่นก็คือหนิงเซียงผู้โดดเด่นที่สุดในเทียนเซียงหลิน ตราบใดที่หนิงเซียงยินยอม เขาซวนหยวนจวิ้นก็สามารถพาหญิงงามกลับบ้านได้อย่างแท้จริง อีกอย่างเขายังดูออกว่าหนิงเซียงมีใจให้เขา ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีความมั่นใจอย่างมาก
“เทพธิดาหนิงเซียง ข้าซวนหยวนจวิ้นผ่านด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินแล้ว เ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่ เป็ผู้หญิงของข้าคนนี้?” ซวนหยวนจวิ้นเอ่ยถามหนิงเซียงด้วยความมั่นใจ
หนิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็แววตาสั่นไหวชั่ววูบ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกดีกับซวนหยวนจวิ้น แต่พอตอนนี้ได้ยินคำพูดของเขา นางกลับรู้สึกสับสน ก่อนจะกล่าวว่า “ยังมีอีกคนที่ยังไม่บุกด่าน อย่าเพิ่งใจร้อน”
ซวนหยวนจวิ้นได้ยินคำพูดของหนิงเซียงก็ชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ ๆ เขารู้สึกไม่สบายใจและอดมองไปที่เย่เฟิงไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าเื่ระหว่างเขาและเทพธิดาหนิงเซียง เหตุใดต้องรอสวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ? หรือว่าเขาซวนหยวนจวิ้นด้อยกว่าเศษสวะ?
แม้ซวนหยวนจวิ้นรู้สึกไม่พอใจ แต่ภายนอกเขายังดูนิ่งเฉย จากนั้นเขาพยักหน้าให้หนิงเซียง “ซวนหยวนจวิ้นจะรอคำตอบจากเทพธิดาหนิงเซียง”
เนื่องจากสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงสู้กับซวนหยวนจวิ้นทำให้สูญเสียพลังไปไม่น้อย จึงใช้เวลานานในการฟื้นพลัง เย่เฟิงเองก็ใช้่เวลานี้ไปกับการฝึกตนเช่นกัน เขารู้ว่าศึกต่อสู้หลังจากนี้เขาอาจได้หารือกับเ้าสำนักเทียนเซียงหลิน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงฟื้นพลังเสร็จสิ้น จากนั้นพวกนางไปที่ใจกลางเพื่อรอศึกต่อสู้สุดท้าย
“พลังต่อสู้ของสิบสามศิษย์แห่งเทียนเซียงไม่ธรรมดา เมื่อผนึกกำลังก็เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดได้ คิดว่าเมื่อครู่เ้าคงเห็นฝีมือของพวกนางแล้ว หากเ้าสู้ พวกนางจะไม่ออมมือให้เ้าเพียงเพราะตบะของเ้า เช่นนั้นจงตัดสินใจว่าจะสู้หรือไม่ สิทธิ์อยู่ที่เ้า ข้าเทียนเซียงหลินจะไม่บังคับ” เทียนเซียงกล่าวขณะมองเย่เฟิง ซึ่งแฝงด้วยคำถามหยั่งเชิง
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นไปเยือนเบื้องหน้าเทียนเซียง ซึ่งสีหน้าเขายังคงเฉยเมยแม้อีกฝ่ายจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะก็ตาม
“ขอบคุณผู้าุโที่เตือนข้า ผู้เยาว์เดินทางมาไกลก็เพื่อคนคนหนึ่ง ด่านนี้ข้าจำเป็ต้องผ่านไปให้ได้” เย่เฟิงกล่าวพร้อมคำนับเทียนเซียง
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ประหลาดใจ เย่เฟิงบอกว่าเขาเดินทางมาไกลก็เพื่อคนคนหนึ่ง ประโยคนี้ช่างมีความหมายลึกซึ้ง
ศักยภาพที่เย่เฟิงสำแดงในสองด่านแรกทำผู้คนตกตะลึงกันอย่างมาก ดังนั้นทุกคำพูดทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนเป็ที่สนใจของผู้คน และพวกเขายังเริ่มเดาว่าหญิงสาวที่เย่เฟิงเดินทางมาไกลเพื่อนางเป็ใคร?
