ฉินซีพักผ่อนที่บ้านคืนหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาในวันถัดมา ก็ได้เจอกับเซี่ยชิงหลีที่หน้าโต๊ะทานอาหาร เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวคลุมเข่า ท่าทางของเธอยังคงดูบริสุทธิ์น่ารักสามารถทำให้ผู้คนใจสั่นไหวได้เช่นเดิม เธอกำลังพูดคุยกับเมิ่งหลิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเห็นฉินซีเดินออกมา เซี่ยชิงหลีก็ปรับสีหน้าและยังพยายามวางท่าพูดออกมาอย่างเรียบนิ่ง “ฉินซี ่นี้นายไปไหน? ฉันติดต่อนายไม่ได้เลย นายหมายความว่ายังไงกันแน่?” น้ำเสียงของเซี่ยชิงหลีแฝงไปด้วยการตำหนิและซ่อนความขมขื่นไว้
ฉินซีมึนงงไปสักพัก ตอนที่เขาเข้ากองถ่าย ก็ส่งข้อความบอกเลิกไปให้อีกฝ่ายแล้วนี่ ไม่มีทางที่เซี่ยชิงหลีจะไม่ได้รับมันแน่!
เมื่อเมิ่งหลิงเห็นสถานการณ์แล้ว ก็ถามเขาขึ้น “ฉินซี ่นี้ลูกยุ่งอะไรอยู่เหรอ? เื่ฝึกงานหรือเปล่า?”
เซี่ยชิงหลีพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “หนูอุตส่าห์หาบริษัทฝึกงานดีๆ ให้ฉินซีแล้ว แต่เขากลับบอกว่าจะไม่ไปด้วยโดยไม่ได้อธิบายอะไรเลยค่ะ”
เมิ่งหลิงเป็คนนอก จึงไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวเื่ระหว่างคู่รัก หากพูดอย่างเห็นแก่ตัวแล้ว เธอก็ต้องปกป้องลูกชายของตนเป็ธรรมดา เธอไม่พอใจที่เซี่ยชิงหลีแสดงสีหน้าแบบนี้ใส่ฉินซีนัก แต่หากพูดกันอย่างยุติธรรมแล้ว เซี่ยชิงหลีเองก็เป็ลูกสาวของคนอื่น จึงไม่สามารถออกปากตำหนิอีกฝ่ายได้
สีหน้าของฉินซีสงบนิ่งมาตลอด ในสายตาของเขาความหงุดหงิดของเซี่ยชิงหลีไม่ได้นับเป็ปัญหาอะไร เขาใช้จุดจบที่ขมขื่นในชาติที่แล้วเป็บทเรียน เขาได้รู้ว่าเซี่ยชิงหลีเป็คนอย่างไร และชีวิตนี้เขาไม่มีทางยอมถอยให้อีกฝ่ายแน่
“ฉันคิดว่า ฉันพูดไปชัดเจนแล้วนะ” ฉินซีหันหน้ามามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย เห็นว่าเมิ่งหลิงอยู่ที่นี่ด้วย ฉินซีจึงพูดเพียงว่า “งานที่ผู้อำนวยการจัดหามาให้เธอ ฉันรู้ดีอยู่ เธอยินดีจะไปก็ตามใจ แต่ฉันไม่ยินดี”
สีหน้าของเซี่ยชิงหลีกลายเป็ซีดขาว ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห “ฉินซี นายหมายความว่ายังไง?”
“ที่ฉันไม่พูดออกมาตรงๆ ก็เพื่อไว้หน้าเธอ ข้อความที่ฉันส่งไปเมื่อวันที่ 12 เธอก็น่าจะได้รับแล้ว” ฉินซีกล่าวจบก็ผายมือส่งอีกฝ่าย “กลับไปก่อนเถอะ ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอที่นี่”
เซี่ยชิงหลีคิดไม่ถึงว่าฉินซีจะทำแบบนี้ สีหน้าของเธอจึงยิ่งขาวซีดลงไปอีก เธอทำได้เพียงส่งสายตาน่าสงสารไปหาเมิ่งหลิง “คุณป้า...”
ทว่าเมิ่งหลิงกลับไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอ และเพียงพูดยิ้มๆ ว่า “เื่ของวัยรุ่น พวกเธอจัดการกันเองเถอะ”
เซี่ยชิงหลีขบริมฝีปากของตน แล้วหมุนตัวเดินออกจากที่แห่งนั้น
ไม่ใช่เพราะฉินซีให้เธอออกมา แต่เซี่ยชิงหลีไม่กล้าไปแตะต้องฉินซีตอนโกรธ เธอคิดไม่ถึงว่า ฉินซีจะรู้เข้า… รู้เข้าแล้วว่าเธอตั้งใจออกหน้าหางานให้เขา เพื่อเสริมให้ภาพลักษณ์ของตนยิ่งดูดีงาม จึงใช้ประโยชน์ความรักใคร่ของผู้อำนวยการคนนั้นที่มีต่อเธอมานาน ทั้งที่คบกับฉินซีอยู่ แต่เซี่ยชิงหลีก็ยังคงแอบมีความสัมพันธ์กับเขาต่อไป
ในใจของเซี่ยชิงหลีนึกเสียใจขึ้นมา ที่ฉันทำแบบนี้… ไม่ใช่เพื่อพวกเราเหรอ?
ฉินซี นายมันไร้หัวใจจริงๆ!
…...
เมื่อเซี่ยชิงหลีจากไป ฉินซีก็สามารถทานอาหารเช้าได้สักที เมิ่งหลิงไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเื่นี้ พอทานอาหารเช้าเสร็จก็ใช้เวลาอยู่กับเมิ่งหลิง จากนั้นก็กดซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปกองถ่าย และในตอนนั้นเอง เขาก็บังเอิญได้รับข้อความหนึ่ง
“คุณชายฉิน กรุณามาตามนัดหมายที่โรงแรมฟู่หรงด้วยครับ”
เบอร์ที่ส่งข้อความเข้ามาเป็เบอร์ที่เขาไม่รู้จัก
เมื่อได้เห็นข้อความก็อดขำออกมาไม่ได้ คุณชายฉิน? คุณชายฉินที่ไหนกัน? อีกฝ่ายสมองมีปัญหาหรือเปล่า? ทั้งยังจงใจใช้เบอร์แปลกๆ ส่งข้อความมาหาเขาอีก
ฉินซีลบข้อความนั้นทิ้ง ไม่ได้ไปสนใจมันอีก
แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายยังคงส่งข้อความมาอีกหลายข้อความ และมันต่างก็เป็การเชิญชวนฉินซีไปทานอาหารสักมื้อ ฉินซีตอบกลับไปว่า “คุณเป็ใคร” จากนั้นอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “คนที่ยกย่องคุณ”
ฉินซียิ่งรู้สึกขบขัน ยกย่องเขา? ตอนนี้คนภายนอกยังไม่รู้ว่าเขาแสดงเป็ตงฟางปู๋ป้าย ใครจะมารู้จักฉินซีกัน? ฉินซีี้เีจะเล่นทายปริศนากับคนปลายสายต่อไป เขาจึงโทรศัพท์ไปหาเบอร์นั้นตรงๆ ปลายเสียงส่งเสียง “ตู๊ด...ตู๊ด...” ขึ้นมา หลังจากนั้นไม่ถึงนาที ปลายสายก็รับสาย
“ฮัลโหล จี่อวี้เซวียนครับ” ปลายเสียงส่งเสียงกลับมา เสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลราวกับเอ่ยพูดเบาๆ ข้างหู
ทว่าแผ่นหลังของฉินซีกลับชื้นเหงื่อด้วยความกลัว เขานิ่งอยู่ตรงนั้น ภาพการตายอย่างน่าสลดใจปรากฏขึ้นในสมองซ้ำไปมา...
จี่อวี้เซวียน...
จี่อวี้เซวียน...
คนคนนี้คือคนที่ฆ่าเขาเมื่อชาติที่แล้ว!
“ฮัลโหล?” จี่อวี้เซวียนพูดซ้ำ น้ำเสียงของเขาเริ่มปะปนไปด้วยความสงสัย ฉินซีกดวางสายระหว่างที่กำลังลนลานสับสน เขากดโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะ เมิ่งหลิงเดินออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นสภาพของเขา เธอก็ใขึ้นมา “ฉินซี ลูกไม่เป็อะไรใช่ไหม? ทำไมเหงื่อไหลเยอะขนาดนี้ล่ะ? เป็หวัดหรือเปล่า? นี่ลูกตัวสั่นขนาดนี้แล้วนะ!” เมิ่งหลิงจับแขนของเขาไว้ด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่… ไม่เป็อะไรครับ” ฉินซีได้ยินเสียงของตัวเองเค้นออกจากช่องคออย่างยากลำบาก
ฉินซีเรียกสติตัวเองจากภาพตายอันน่าสลด สบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเมิ่งหลิง ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา “ผมไม่เป็อะไรจริงๆ คงเพราะต้องลมแอร์จนหนาวสั่นเท่านั้นเองครับ”
เมิ่งหลิงกลอกตามองบน และนำรีโมตมาปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นเล็กน้อย
ฉินซีถอนหายใจออกมา แต่ขณะเดียวกันก็เลิกคิ้วขึ้น ทำไมถึงเป็จี่อวี้เซวียนได้? ในชาตินี้เขาพยายามหลบเลี่ยงอีกฝ่ายเต็มที่แล้ว ก็ใครใช้ให้ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถอะไรแม้แต่น้อยกันเล่า? มีแต่ต้องรอให้เขาตั้งตัวได้เท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสไปแก้แค้น
หลังจากสงบสติลงได้ ความคิดของฉินซีก็กระจ่างขึ้นไม่น้อย
คนที่ส่งข้อความมาไม่มีทางเป็จี่อวี้เซวียน ตอนที่เขาโทรกลับไปเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าตอนรับโทรศัพท์จากเขา ในน้ำเสียงของจี่อวี่เซวียนฟังดูประหลาดใจ นั่นหมายความว่าคนที่ส่งข้อความมาก่อนหน้านี้อาจยืมโทรศัพท์ของเขา หรือถอดรหัสขโมยเบอร์โทรของเขามา แต่สำหรับคนอย่างจี่อวี้เซวียนแล้ว ความเป็ไปได้ข้อที่สองนั้นดูไม่ค่อยจะเป็ไปได้นัก
แบบนั้นแล้ว ใครกันที่แตะต้องโทรศัพท์ของจี่อวี้เซวียน?
ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก
...สู้ไปสถานที่นัดหมายเลยไม่ดีกว่าเหรอ?
ฉินซีอดคิดขึ้นมาไม่ได้
เมื่อบอกว่าจะทำ เขาก็ลงมือทำทันที ฉินซีไม่อยากเป็ฝ่ายถูกกระทำอยู่แบบนี้ หลังจากพูดคุยกับเมิ่งหลิงแล้ว ก็รีบร้อนออกจากบ้านมา เมื่อมาถึงหน้าร้านอาหารแล้ว ฉินซีกลับถูกพนักงานขวางไว้ด้านนอก “ขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่าวันนี้ที่นี่ถูกเหมาปิดร้านไปแล้วค่ะ”
ถูกเหมาปิดร้าน?
ฉินซีขมวดคิ้ว ทว่าก็ยังนำโทรศัพท์ออกมา และส่งที่อยู่ในข้อความให้พนักงานดู ถึงอย่างไรภายในนั้นก็เขียนเลขที่ห้องส่วนตัวไว้ชัดเจน เมื่อพนักงานดูแล้ว ก็หันมามองฉินซีด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนกล่าวขึ้น “ตามฉันมาค่ะ”
ถ้าเป็คนอื่นมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงถอยกลับไป เพราะไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวคือใครกันแน่ ทว่าฉินซีไม่อาจถอย เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สามารถกลับไปมือเปล่าได้ เกิดกลัวขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่ใช่ฉินซีแล้ว!
เมื่อพนักงานเดินนำมาถึงหน้าห้องส่วนตัว เธอก็เคาะประตูห้องพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ “มีแขกอีกท่านมาถึงแล้วค่ะ” พนักงานหญิงผลักประตูออก ร่างของฉินซีถูกเปิดเผยต่อสายตาคนที่นั่งอยู่ข้างใน
ฉินซีกวาดตามองก่อนจะอดใไม่ได้ ภายในห้องส่วนตัวนี้… ภายในห้องส่วนตัวเล็กๆ นี้ มีคนที่สามารถรับมือกับเื่ยุ่งยากได้อย่างง่ายดายของเมืองหนิงชื่ออยู่หลายคน
ชายสวมชุดสูทสีดำ ท่าทางสุภาพเรียบร้อยคนนี้คือ จี่อวี้เซวียน
ชายที่ยังคงสวมชุดสบายๆ ไม่จัดจ้าน สีหน้าราบเรียบคนนั้นคือ เฉินเจวี๋ย
แล้วยังมีคนที่สวมชุดจีนประยุกต์ ใบหน้าหล่อเหลา ทว่าอายุกลับล่วงเลยวัย 40 ปีไปแล้ว คนคนนี้… เป็คนที่ผู้คนในเมืองหนิงชื่อต่างต้องหลีกทาง ก่อนหน้านี้ฉินซีเคยได้ยินคนพูดถึงเขามาก่อน เขาชื่อทังเจ๋อ
เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลังด้วยความหวาดกลัว
จี่อวี้เซวียนมองมาทางฉินซีเล็กน้อย ในแววตาเผยประกายตื่นตะลึงในความงาม ทว่าเขาก็ยังคงถามพนักงานคนนั้นต่อ “นี่มันอะไรกัน? พวกเรามีแขกอื่นด้วยหรือ?”
พนักงานได้ยินก็ตื่นตระหนก รีบร้อนดึงตัวฉินซีถอยออกมา “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ...” เธอพูดพร้อมกับเตรียมเรียกการ์ดมาพาตัวฉินซีออกไป
ทว่าในตอนนั้น อยู่ๆ เฉินเจวี๋ยกลับเปิดปากพูด “ฉันพาเขามาเอง”
น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยราบเรียบ หากไม่ได้ตั้งใจฟัง ก็ไม่แน่ว่าอาจถูกมองข้ามไป แต่จี่อวี้เซวียนกับทังเจ๋อต่างก็ได้ยินแล้ว จี่อวี้เซวียนเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “ที่แท้คุณเฉินก็เป็คนพามานี่เอง เธอไปเถอะ” จี่อวี้เซวียนแสดงท่าทางให้พนักงานออกไปได้ แต่ภายในดวงตาของจี่อวี้เซวียนกลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
เพียงมองฉินซีก็รู้แล้วว่า ความจริงจี่อวี้เซวียนไม่ชอบใจคำพูดนี้ของเฉินเจวี๋ยมากทีเดียว
ฉินซีเองก็รู้ว่าตัวเองน่าจะถูกคนหลอกเข้าแล้ว มารบกวนการสนทนาของพวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบของเขาจะน่าอนาถแค่ไหน จี่อวี้เซวียนไม่ชอบที่คนอื่นขัดใจเขาเป็อย่างมาก ในตอนนี้ก็คงไม่ชอบใจฉินซีแล้ว แต่ฉินซีคิดไม่ถึงว่าเฉินเจวี๋ยจะเอ่ยปากช่วยเขาไว้
“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ? เข้ามาสิ” อยู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็เปิดปากพูดอีก น้ำเสียงยังคงราบเรียบดุจเดิม แต่ครั้งนี้กลับแฝงความตำหนิไว้ และด้วยน้ำเสียงแบบนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเฉินเจวี๋ยและผู้มาเยือนนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นคงไม่อาจสร้างความลำบากแก่ฉินซีได้
ฉินซีมึนงงเล็กน้อย กระนั้นก็ยังเดินไปข้างกายเฉินเจวี๋ยอย่างว่าง่าย
ไม่ต่างไปจากที่คิดนัก สีหน้าของจี่อวี้เซวียนและทังเจ๋อดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว
และในตอนนั้น จู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็ตบลงที่ต้นขาของตัวเอง “มานั่งนี่”
ใบหน้าของจี่อวี้เซวียนและทังเจ๋อต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ฉินซีเองก็เกือบลื่นสะดุดไป เล่นอะไรเนี่ย? ให้เขานั่งบนหน้าตักของเฉินเจวี๋ยเนี่ยนะ?
เฉินเจวี๋ยเบิกตาขึ้นช้าๆ และเพียงการกวาดตามองโดยไม่ใส่ใจนี้ก็สามารถทำให้ฉินซีเชื่อฟังโดยง่ายขึ้นในชั่วพริบตา ก็ได้... ถ้าจะให้เฉินเจวี๋ยปกป้องจนเขาออกไปอย่างปลอดภัย เขาก็ควรเชื่อฟังเฉินเจวี๋ยเอาไว้จะดีที่สุด
ฉินซีปกปิดความสงสัยและความหวาดระแวงในใจ สีหน้าของเขาสงบนิ่งไม่ต่างจากเฉินเจวี๋ย หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ นั่งลงที่หน้าตักของเฉินเจวี๋ยอย่างอ้อยอิ่ง เมื่อแขนยาวของเฉินเจวี๋ยรั้งขึ้นมา ฉินซีก็ถูกคว้าเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน โชคดีที่ฉินซีควบคุมทักษะการแสดงของตัวเองเอาไว้ ไม่อย่างนั้นสีหน้าของเขาคงต้องย่ำแย่มากแน่ๆ
นี่มันจะน่ากระอักกระอ่วนเกินไปแล้ว...
ในชาติก่อน ต่อให้ทุบตีจนตาย เขาก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเฉินเจวี๋ย!
เพราะการปรากฏตัวของฉินซี บทสนทนาของพวกเขาจึงชะงักไป เฉินเจวี๋ยขยับถ้วยชาตรงหน้าไปตามอารมณ์ ก่อนเอ่ยปากถามฉินซี “หิวไหม? อยากจะทานอะไรสักหน่อยหรือเปล่า?”
เดิมทีฉินซีทานอะไรไม่ลงแล้ว แต่ก็ยังคงรอยยิ้มไว้บนหน้า และแสร้งทำเป็สงบนิ่ง “คุณเฉินทานอะไร ผมก็ทานแบบนั้นแหละครับ”
เฉินเจวี๋ยพยักหน้า ก่อนจะเรียกพนักงานให้นำอาหารร้อนๆ มาเสิร์ฟใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็บอกให้ฉินซีเริ่มทานอย่างจริงจัง เมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสามคนนี้ ฉินซีก็ได้เข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่า “กลืนไม่ลง” รอจนเขาทานอาหารเสร็จเรียบร้อยอย่างยากลำบาก จี่อวี้เซวียนกับทังเจ๋อก็ลุกขึ้น พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นก็ตั้งใจจะออกไปจากร้านอาหารส่วนตัวนี่แล้ว
ฉินซีเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินเจวี๋ยอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เดินออกจากร้านอาหารส่วนตัวนั่น รอจนเงาร่างของจี่อวี้เซวียนและทังเจ๋อจากไปไกล อจู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็หมุนตัวมาจ้องฉินซีด้วยสายตาเย็นเยียบ “นายนี่กล้ามากจริงๆ!”