“คุณชายใหญ่ช่างน่าขัน ทั้งย้อนแย้งทั้งไร้ยางอาย! สกุลโจวมันไม่มีอะไรดีจริงๆ!” ดวงตาหลินฟู่อินเย็นเยียบ นางโมโหจนะเิคำพูดออกมาจริงๆ สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือคนสารเลวเช่นนี้ รวมไปถึงพวกญาติหน้าไม่อายของคนสารเลวพวกนี้ด้วย
ในตอนนี้นางคิดอยากจะข่วนหน้าสองแม่ลูกน่าขยะแขยงนี่ให้เนื้อหลุดจริงๆ!
“อย่าโมโหไปเลย ตาเฒ่าหลี่ยังถือไพ่เหนือกว่า” เห็นนางโกรธเช่นนี้ หวงฝู่จินก็ตบบ่าเด็กสาวเบาๆ แต่คิดในใจกับตัวเองว่า ‘สงสัยเด็กคนนี้น่าจะรังเกียจคนแบบคุณชายบ้านนี้กระมัง?’
เช่นนั้นเมื่อโตขึ้นแล้วแต่งงานไป มิใช่นางคงยิ่งรังเกียจหากสามีไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยกระมัง?
พอคิดไปว่ารอบตัวเขาล้วนล้อมรอบด้วยบุรุษสะอาดสะอ้าน ไร้กระทั่งสาวใช้ หวงฝู่จินก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาดำขลับโดยไม่รู้ตัว
หลินฟู่อินไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ชายหนุ่มยื่นมือออกไปตบบ่านางเบาๆ ด้วยความเป็ห่วง ทำให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง “ข้าสบายดี แค่ทนเห็นความไร้ยางอายของพวกสกุลโจวไม่ไหว”
ที่จริงเื่นี้ไม่ได้เกิดกับนาง เกรงว่าออกอาการมากเกินไปจะทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาได้
เพราะถึงแม้ผู้อื่นจะต่อสู้เพื่อความเป็ธรรม แต่ก็ไม่มีใครโกรธเท่านาง นางแทบจะะโจากหลังคาไปอัดคนอยู่หลายครั้งแล้ว…
จากนั้น หลินฟู่อินก็ได้ยินผู้เฒ่าหลี่ถ่มน้ำลายใส่หน้าคุณชายใหญ่โจวแล้วสบถ “หากลูกสาวเ้าเจอเื่เช่นนี้ เ้าที่เป็พ่อจะสามารถแสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยลูกใช้ชีวิตอยู่กับสามีโสโครกไร้ยางอายอยู่ในสถานที่กินเนื้อคนได้อีกหรือ? ยังกล้าเรียกว่าสงบสุขงดงาม? ถุย!”
ได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินก็ชื่นชมนายท่านผู้เฒ่าหลี่ขึ้นมา คนผู้นี้รักบุตรสาวโดยไร้เงื่อนไขจริงๆ
ในยุคโบราณเช่นนี้ คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ถือว่าสุดยอดมาก
เท่านี้ก็เป็ห่วงหลี่ซื่อน้อยลงแล้ว
หวงฝู่จินมองหลินฟู่อินแล้วเอ่ยเสียงเบา “นายท่านผู้เฒ่าหลี่เข้าใจสถานการณ์การเมืองดี ตอนนี้ดึงขุนนางขั้นสูงมาเกี่ยวด้วย จากนั้นก็ดึงผู้ตรวจการหลวงเข้ามา สกุลโจวยามนี้โดนโจมตีอยู่ เ้าวางใจเถอะ ข้าเป็ห่วงหลี่ซื่อคนนั้นมากกว่า ข้าพาเ้ากลับไปดีหรือไม่?”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ!” เห็นอีกฝ่ายกล่าวว่าเป็ห่วงหลี่ซื่อ หลินฟู่อินก็กังวลขึ้นมา รีบผุดลุกขึ้นทันที
ไม่รู้เพราะรีบร้อนหรืออย่างไร หรืออาจเป็เพราะนั่งคุกเข่าอยู่นาน พอลุกขึ้นก็สะดุดขาตัวเองจนเซทั้งร่างเกือบพลัดหล่น ถลาลงไปตามแนวเฉียงของหลังคา ดูอย่างไรก็คงตกพื้นแน่แล้ว
โชคร้ายจริงๆ…
“ระวังหน่อย” หวงฝู่จินจับมือหลินฟู่อินไว้ได้อย่างรวดเร็ว ดึงตัวนางเข้าสู่อ้อมอกแกร่ง ร่างกายนางเล็กยิ่งนัก สูงถึงเพียงปากเขาเท่านั้น
หวงฝู่จินช่วยนางไว้
ทั้งร่างกระทบเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นของเขา เด็กสาวยังคงตกตะลึง คว้ากอดเอวแกร่งเอาไว้แน่น
แม้หวงฝู่จินจะดูผอมบาง แต่สองมือของนางโอบไม่รอบเอวเขาด้วยซ้ำ ภายหลังเด็กสาวกลับมานั่งคิดว่าเพราะนางเด็กเกินไป แขนขาสั้นจึงเช่นนี้
ที่จริงชาวเป่ยหรงส่วนมากล้วนแข็งแรงตัวสูงทั้งนั้น
พอเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน ไม่เพียงฝั่งหลินฟู่อินที่ใจนไม่ยอมขยับจากอ้อมกอดหวงฝู่จินอยู่เป็นาน ทว่าคนนอกอย่างเหล่าลิ่วก็อึ้งไปด้วย
นี่เขาใสซื่อไปหรือไม่ แต่เหตุใดถึงรู้สึกว่าดูนายท่านกอดดอกไม้งามดอกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน?
ราวกับมีสายลมพัดผ่าน นำเอากลิ่นหอมและหวานล้ำมาอย่างไรอย่างนั้น
หวงฝู่จินไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าร่างกายกลับแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาหงส์ทอประกายวาบ
พอเหล่าลิ่วรู้สึกตัวก็กลั้นหัวเราะ หันหน้าหนีจากสองคนที่กำลังกอดกันทันที
สายลมพัดผ่านใบหน้า ในใจหลินฟู่อินกระจ่างชัดขึ้นมาก นางจึงได้ปล่อยมือแล้วดิ้นออกจากอ้อมกอดเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างพูดไม่ออกกันอยู่พักหนึ่ง
“นายท่าน ส่งคุณหนูไปที่เรือนหลี่ซื่อเถอะขอรับ” เหล่าลิ่วทำลายบรรยากาศน่าอายได้อย่างถูกจังหวะ เขาข่มรอยยิ้มเอาไว้ แล้วหันไปพูดกับหวงฝู่จินด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูเป็ผู้ช่วยชีวิตโดยแท้ขอรับ ครั้งนี้ตั้งใจมาที่นี่เพื่อหลี่ซื่อโดยเฉพาะ หากคุณหนูเล็กสกุลหลี่กับเด็กในท้องเป็อะไรขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคุณหนูจะรับมือไม่ไหว”
คำพูดของเหล่าลิ่วเตือนให้หวงฝู่จินตื่นจาก่เวลาเหม่อลอยสั้นๆ เขากอดหลินฟู่อินอีกครั้ง คราวนี้กดใบหน้านางแนบแผ่นอกแล้วพูดเสียงเบา “หลับตา”
หลินฟู่อินหลับตาตามเขาว่า ในใจรู้สึกปลอดภัยอย่างที่สุด
นางไม่ได้คิดถึงความรู้สึกในใจเขา ทั้งตัวนางเองก็ไม่อยากจะคิดอะไรมากด้วย เพราะอายุในร่างปัจจุบันนี้ก็ไม่ควรจะคิดอะไรมากมายนัก
ทั้งเื่ตัวตนของเขา ตัวตนของนาง ชาวเป่ยหรงกับชาวต้าเว่ย…
ในอนาคตอาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกมากมาย แค่ทำปัจจุบันให้ดีก็พอ หลินฟู่อินบอกกับตัวเองในใจเช่นนี้
ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน จะคิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ เช่นนั้นเหตุใดต้องไปคิดมากด้วย?
ทันทีที่ชายหนุ่มประคองร่างหลินฟู่อินลงบนพื้นสนามในเขตเรือนของหลี่ซื่อ เสียงโหวกเหวกโต้เถียงก็ลอยแว่วมาให้ได้ยิน นางจึงหันไปมองหน้าเขา “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย ระวังตัวด้วย!”
หวงฝู่จินพยักหน้าตอบกลับ “ไม่ต้องกังวล คนของข้าซ่อนอยู่ในมุมมืด…”
หลินฟู่อินเข้าใจว่าคนที่ซ่อนอยู่เ่าั้มาเพื่อปกป้องนาง ซึ่งแปลว่านางอยากจะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องกังวลเื่ความปลอดภัย
เด็กสาวหันไปพยักหน้าหนักแน่นให้เขา จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปในตัวเรือน
ทันทีที่เข้าไปถึง หลินฟู่อินก็ใจนตาแทบถลน
ในเรือนของหลี่ซื่อมีสตรีแต่งตัวงดงามหลายคนกำลังยืนเท้าสะเอวะโใส่เ้าของเรือนอยู่ ทุกคนล้วนแต่เร่งร้อนจะเข้าไปในห้องให้ได้
หลี่ฮูหยิน เจียงหมัวมัว เจิ้งหมัวมัวร่วมมือกันป้องกันไม่ให้คนพวกนั้นเข้าไปข้างใน ปิ่นผมและเสื้อผ้าของหลายคนถูกฉีกกระชาก ล้วนดูราวกับคนเสียสติ
หลี่ฮูหยินตวาด “คนไม่เคยเห็นต่างก็บอกว่าสกุลโจวมีชื่อเสียง เป็ตระกูลที่ย้อมกลิ่นหมึกเต็มไปด้วยพิธีการ แล้วดูพวกเ้าเถอะ กระทั่งวิ่งเข้ามาโหวกเหวกในเรือนสตรีมีครรภ์เช่นนี้ มีมารยาทตรงที่ใดกัน!”
สตรีที่สวมชุดสีแดงเข้มร้องเฮอะ “พวกเ้าสกุลหลี่เล่าเป็ตัวดีอะไรกัน? ไม่เพียงกล่าวหาว่าน้องสี่ไปมีบ้านเล็กอยู่ข้างนอก ยังเอาบุรุษสกุลหลี่หลายคนบุกมาถึงประตูบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนล้มป่วย เ้าว่าพวกเราไปเรือนหน้าไม่ได้ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องให้สะใภ้สี่ออกมาคืนความเป็ธรรมแล้ว!”
“ถุย!” หลี่ฮูหยินถ่มน้ำลายดังลั่น สบถด่าว่าสกุลโจวจนไม่มีชิ้นดี
หลินฟู่อินเข้าใจได้ทันที เกรงว่าคงเป็อีกแผนร้ายของฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้น พอเรือนหน้าทราบว่าสกุลโจวไม่อาจควบคุมหลี่ซื่อได้แล้ว ก็เลยแทงมีดใส่หลี่ซื่อที่ยังไม่รู้เื่รู้ราว ให้บรรดาพี่สะใภ้ทั้งหลายมาลากตัวหลี่ซื่อให้คนออกหน้าคุยกับพวกผู้ชายสกุลหลี่ที่บุกมา
โกรธจนตายยังดีกว่า หากไม่โกรธแทบตาย ด้วยนิสัยของหลี่ซื่อก็คงไม่อยากก่อปัญหา อาจจะถึงขั้นยอมอดทนก็ได้ จากนั้นเมื่อนางรอจนใกล้คลอดจนกลายเป็หนึ่งศพสองชีวิตแล้วก็จะผลักความผิดให้สกุลหลี่ กล่าวว่าสกุลหลี่มาก่อปัญหาที่จวนสกุลโจว จึงกระทบกระเทือนถึงครรภ์ของนาง…
นางเป็ห่วงสะใภ้สกุลหลี่คนนี้จริงๆ ดูเหมือนพวกสตรีสกุลโจวน่าจะเข้าเรือนนี้มานานแล้ว ไม่มีทางที่เ้าตัวจะไม่ทราบ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมาตอบคำถามให้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าไม่ปกติ
เด็กสาวไม่สนใจคนสองกลุ่มที่โต้เถียงกัน แต่ยกชายกระโปรงสาวเท้าตรงเข้าห้องด้านในทันที
พอเข้าไปถึงก็ได้เห็นสะใภ้จากสกุลหลี่นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ทำให้ใจผ่อนคลายลง ก่อนหน้านี้นางกลัวแทบตายแล้ว
“แม่นางหลินมาแล้วหรือ?” หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่าย
หลินฟู่อินนิ่วหน้าเล็กน้อย มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย จากนั้นจึงถามเสียงเบา “นายหญิงสี่เ้าคะ ท่านสบายดีหรือไม่?”
“ข้าสบายดี” หลี่ซื่อพยักหน้า นางนั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดลายดอกบัวแรกผลิและกุหลาบเหลืองชูช่อ ดูสงบเงียบราวภาพวาดน้ำหมึก
หลินฟู่อินไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายทราบเื่สกปรกที่เกิดขึ้นแล้วหรือไม่?
“แม่นางหลินเชิญนั่ง” หลี่ซื่อเห็นหลินฟู่อินยืนละล้าละลังก็ยกมือเล็กขาวขึ้นตบเบาะข้างกายด้วยรอยยิ้ม
หลินฟู่อินคิดๆ แล้วก็เดินไปนั่ง
“แม่นางหลิน ที่จริงท่านกับพี่สะใภ้ทราบเื่นั้นอยู่แล้วใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นหลี่ซื่อก็เอ่ยปากถามขึ้น ดวงตากลมโตชุ่มฉ่ำจ้องดวงตากระจ่างใสของหลินฟู่อิน บางสิ่งในสายตาทำให้เด็กสาวไม่อาจโกหกออกไปได้
หลี่ซื่อเพียงใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ไม่ได้แปลว่าซื่อบื้อ ตรงกันข้าม นางเป็คนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ขอเพียงใส่ใจสักหน่อยก็สามารถเดาเื่ราวต่างๆ ได้จากร่องรอยที่ปรากฏ
ดังนั้นเมื่อเห็นหลินฟู่อินไม่ตอบคำ นางจึงได้ยิ้มจาง “ท่านกับพี่สะใภ้มาจากชิงหยางถึงที่นี่เพื่อดูแลร่างกายกับเด็กในท้องให้ข้า ยามนี้คงปิดบังได้ยากแล้ว ข้าขอขอบคุณในน้ำใจท่านที่มีต่อข้าและลูกนะเ้าคะ บุญคุณนี้ขอทดแทนด้วยการเป็วัวเป็ม้าให้ท่านในชาติหน้าเ้าค่ะ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว หลินฟู่อินก็ตกตะลึง ใเพราะหลี่ซื่อทราบเื่โสโครกของสามีตนเองแล้ว อีกอย่างคือหลี่ซื่อดูใจเย็นเป็อย่างยิ่ง ทว่าการใจเย็นเช่นนี้เป็เื่ผิดปกติ ทำให้หลินฟู่อินกังวลขึ้นมา
แต่นางยังคงทำท่าร่าเริง “นายหญิงสี่พูดจริงจังเกินไปแล้วเ้าค่ะ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้ดีๆ คลอดบุตรให้ราบรื่น พวกเราก็มีความสุขแล้วเ้าค่ะ!”
“อืม” หลี่ซื่อยิ้มพยักหน้า สิ่งที่หลินฟู่อินมองเห็นคือรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าดวงตากลับว่างเปล่า ดูไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย
ไม่รู้อีกฝ่ายทำได้อย่างไร พอได้ทราบเื่สกปรกเช่นนี้แล้วยังสามารถพูดจากับนางอย่างสงบได้อยู่อีก
“ข้าอยากพบสตรีผู้นั้นกับลูกของนาง อยากเห็นว่าข้าแพ้นางได้อย่างไร? ทุกคนในครอบครัวสามีข้าจึงได้ปิดบังข้ามาเสียนานเพื่อพวกนางแม่ลูก” ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมองหลินฟู่อินแล้วจับมือเด็กสาวแน่น “ข้ารู้ว่าแม่นางหลินทำได้”
หลินฟู่อินอึ้ง
ทำให้หลี่ซื่อเอ่ยอีกครั้ง “ั้แ่ครั้งแรกที่พบท่าน ข้าก็รู้ว่าแม่นางหลินไม่ใช่แม่นางน้อยทั่วไป ที่แท้ข้าก็เดาได้ถูกต้อง”
เป็การบอกหลินฟู่อินว่าอย่าปิดบังข้า ข้ารู้ทุกอย่าง ทั้งยังเดาเื่ที่ไม่ควรรู้ได้อีกด้วย
คนงามซื่อใสไร้เดียงสาหายไปไหนแล้ว?
นี่เป็หลักฐานว่าบางครั้งคนเราก็แค่ไม่อยากคิดมากเกินไปจริงๆ คิดเื่ความรุ่งเรืองของตระกูลหรือ? เื่ความมั่งคั่งของตระกูลหรือ? มองถึงอนาคตอันสดใสเฟื่องฟูหรือ?
คนอย่างหลี่ซื่อไม่ใส่ใจสิ่งที่ไม่อยากจะได้รับ นิสัยเช่นนี้ของนางเกือบเอาชีวิตนางและเด็กในท้องไปเพราะบ้านสามีที่เสแสร้งนี่แล้ว
“แม่นางหลิน ท่านคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดีเ้าคะ?” หลี่ซื่อถามอีกครั้ง คราวนี้ทอดถอนหายใจเบาๆ “เด็กคนนี้ได้มายากเพียงใด ใครบ้างในสกุลโจวจะไม่รู้? กล่าวตามตรง ตอนนั้นบิดาชราของข้าแนะนำว่าข้าไม่ควรพยายามมีลูกมากกว่านี้แล้ว เพราะร่างกายข้าเหมือนมารดา ท่านแม่ข้าก็แท้งอยู่หลายครรภ์กว่าจะท้องข้าได้ ภายหลังเพื่อมีข้ายังต้องทนทุกข์อีกมาก ยิ่งกว่านั้นการจะช่วยชีวิตข้าไว้ก็ยากลำบาก มิคาดเมื่อเกิดมาแล้วข้าจะเป็คนสังหารท่านแม่…”
ในที่สุดหลี่ซื่อก็สะอื้นไห้ออกมา
เมื่อได้เห็นน้ำตาของนาง หลินฟู่อินค่อยโล่งใจ ประสบเื่ราวใหญ่โตเช่นนี้ร้องไห้ออกมาย่อมดีกว่า การไม่ร้องมีแต่จะน่าเป็ห่วงยิ่งกว่าเดิม
หลินฟู่อินเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดจากเอวหลี่ซื่อ แล้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้เ้าของผ้าโดยไม่ขัดคำพูดอีกฝ่าย
สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่หลี่ซื่อ้าที่สุดคือผู้ฟัง ไม่ใช่คนที่คอยปลอบใจ
“ข้าทราบเ้าค่ะ การคลอดลูกในท้องคนนี้ออกมาข้าอาจต้องตายเหมือนท่านแม่ก็ได้ แต่ข้าไม่กลัว!” นางหัวเราะ ทว่าน้ำตากลับไหลประดุจไข่มุกที่หลุดจากสายสร้อย “หากท่านแม่สามารถสละชีวิตให้กำเนิดลูกของท่านพ่อได้ เช่นนั้นข้าก็สามารถสละชีวิตข้าให้ลูกคนนี้กับสามีได้ ข้าจึงไม่อยากจะสู้รบปรบมือ หูหนวกตาบอดไม่มองอะไร… ข้าคิดเสมอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจเขาคือข้า แต่ที่แท้บ้านเล็กของเขากลับมีลูกอายุสองขวบแล้ว จึงยากจะปิดบัง!”
หลินฟู่อินมองไหล่บอบบางสั่นสะท้าน หญิงสาวฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือ สะอื้นในความเงียบ ทำให้นางรู้สึกเศร้าตาม
เหตุใดผู้หญิงในยุคโบราณถึงได้ลำบากขนาดนี้!
สตรียุคนี้แทบทุกคนที่นางได้พบเจอไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรือยังสาว รวยหรือจน นอกจากจ้าวซื่อป้าสะใภ้นางกับอู๋ซื่อท่านย่านาง คนอื่นมีใครบ้างที่ได้ใช้ชีวิตตามใจอยาก? มีใครบ้างที่ไม่ต้องทนทุกข์เสียใจ
หลี่ซื่อคนนี้ก็ด้วย นางควรจะเป็คนที่เ็ปที่สุดในเหตุการณ์นี้ เพราะถูกอำนาจของคนในตระกูลโจวกดข่มและช่วยกันหลอกลวงนางมาจนป่านนี้…
“นายหญิงสี่เ้าคะ” หลินฟู่อินลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “ท่านต้องมีชีวิตต่อไปเ้าค่ะ เคยได้ยินคำนี้หรือไม่เ้าคะ? กล่าวว่าสตรีอ่อนแอแต่มารดาเข้มแข็ง ตอนนี้ท่านเป็มารดาแล้วเ้าค่ะ ดังนั้นท่านต้องสู้นะเ้าคะ เพื่อตัวท่านเอง ยิ่งกว่านั้นก็เพื่อเด็กในท้องของท่าน คนผู้นั้นไม่สมควรมีภรรยาดีๆ เช่นท่านเ้าค่ะ สกุลโจวก็ไม่ดีพอที่จะมีสะใภ้เช่นท่านเหมือนกัน”
หลินฟู่อินบอกนางแบบกว้างๆ ว่าให้เลือก
แต่นางแค่พูดถึงเท่านั้น ที่เหลือล้วนแต่เป็ความคิดของอีกฝ่าย นางไม่อาจบังคับให้คนอื่นทำตามอย่างที่นางคิดได้
ได้แต่หวังเท่านั้น
หากหลี่ซื่อยืนกรานจะอยู่ในจวนสกุลโจวต่อไป ใครจะรับประกันได้ว่าอีกหน่อยจะไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?
“สตรีอ่อนแอแต่มารดาเข้มแข็ง…” หลี่ซื่อทวนคำนี้ด้วยสายตาเหม่อลอย หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาเงียบๆ อีกครั้ง “เป็คำที่ดี เป็คำที่ดีจริงๆ แต่ข้าควรทำอย่างไรดีเ้าคะ?”
“นายหญิงสี่เ้าคะ นายท่านผู้เฒ่าหลี่พาลูกหลานสกุลหลี่มาหลายสิบคนเพื่อสนับสนุนท่าน ท่านไม่จำเป็ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้นเ้าค่ะ แค่ทำตามหัวใจก็พอ”
สิ้นคำ อีกฝ่ายก็เงยหน้าถามทันที “แม่นางหลิน หากเป็ท่านจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
หลินฟู่อินชะงักไปชั่วครู่ ไม่นึกว่าหลี่ซื่อจะถามนางเช่นนี้
แต่นางไม่เหมือนหญิงสาวตรงหน้า นางไม่ใช่คนในต้าเว่ยที่แท้จริง สิ่งที่นางปรารถนาที่สุดคือได้เป็อิสระ ไม่ถูกใครรั้งไว้ และนางก็ไม่สนว่าผู้อื่นจะมองนางอย่างไร นางมีความสามารถในการหาเงินและทำให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ
“ว่าอย่างไรเ้าคะ หากพบเื่เช่นข้า ท่านยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรหรือเ้าคะ?” สายตาคู่นั้นของหลี่ซื่อปรากฏร่องรอยผิดหวัง
หลินฟู่อินเม้มปาก คนอยากได้ยินความคิดนางจริงหรือ?
“ข้าอยากได้ยินว่าแม่นางหลินจะตัดสินใจอย่างไรเ้าค่ะ… น่าเสียดาย” หลี่ซื่อส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจ
“นายหญิงสี่อยากได้ยินความคิดข้าจริงๆ หรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินมองนางด้วยสายตาจริงจัง
หลี่ซื่อพยักหน้า
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะบอกให้ว่าหากเป็ข้าจะทำอย่างไร” หลินฟู่อินตอบ เปลือกตาขยับเล็กน้อย นางมองหลี่ซื่อด้วยสายตาเคร่งเครียด “หากข้าพบเื่เช่นนี้ อันดับแรกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีก่อนเ้าค่ะ ปกป้องเืเนื้อเชื้อไขในท้องข้า ให้คลอดลูกออกมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย สอง ก่อนหน้านั้นข้าจะไล่สามีที่หลอกลวงความรู้สึกข้ามาหลายปี แทนที่จะเขียนสัญญาตกลงหย่าร้างกัน ก็ออกเป็จดหมายขอหย่าโดยตรงแล้วหย่ากับเขาเสีย! สาม ข้าจะเลือกสถานที่สักแห่ง ซื้อบ้านและที่ดิน อยู่อาศัยกับลูกตามลำพัง หากได้พบบุรุษที่ดีจริงๆ และข้าชอบพอเขา เช่นนั้นข้าจะแต่งงานใหม่ และเขาต้องยอมรับได้ว่าข้าเคยแต่งงานและมีลูกแล้ว…”
หลี่ซื่อไม่ได้ยินประโยคต่อจากนั้นแล้ว ได้ยินเพียงสามข้อแรกก็รู้สึกเหมือนในหัวมีแต่เสียงหึ่งๆ
ตอนนี้สิ่งที่นางคิดไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไรดี แต่เป็เื่ที่ว่าแม่นางหลินคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่นางเป็คนที่สุดยอดมากๆ!
นางกล้าออกจดหมายหย่า?
กล้าหาที่อยู่ตามลำพัง…
น่าใที่สุดคือความกล้าหาญของนาง นางกล้าพูดว่าจะแต่งงานใหม่เมื่อได้พบบุรุษที่ชอบพอในอนาคต?
เป็ชีวิตที่น่าอิจฉาอะไรปานนั้น?
ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตเช่นนี้จะดีสักเพียงใดกันหนอ?
ในดวงตาหลี่ซื่อทอประกายน้อยๆ นางมองหลินฟู่อินแล้วถาม “แม่นางหลิน สตรีอย่างเราจะใช้ชีวิตเช่นนี้ได้จริงๆ หรือเ้าคะ?”
“เ้าค่ะ ข้าวางแผนจะใช้ชีวิตเช่นนี้” หลินฟู่อินยิ้ม มองใบไม้ที่กลายเป็สีเหลืองร่วงหล่นนอกหน้าต่างแล้วพูดเสียงหนักแน่น “ตอนนี้ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้เ้าค่ะ แม้จะอายุไม่ถึงสิบสี่ปีก็ตาม”
“จริงหรือ?” ทันใดนั้น ดวงตาของหลี่ซื่อก็ทอประกายสว่างไสวมากกว่าเดิม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้