เสิ่นเสวียนไม่ใช่คนที่นี่ หากไม่ใช่เพราะ้าสังหารเหลยป้าเทียนเขาคงไม่เข้ามา
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการเดินทางมายังหุบเขาสุขาวดีครั้งนี้ เขาจะได้รับประโยชน์มหาศาล เขาได้เก็บตัวฝึกฝนโดยบังเอิญกว่าครึ่งปี หลอมรวมหยวนก่อกำเนิดหกธาตุได้สำเร็จ ทั้งยังกลายเป็ประมุขของที่นี่อีกด้วย
เส้นทางนี้ช่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
เสิ่นเสวียนไม่ได้พาแม่ทัพเทพทั้งสิบสองคนออกไปด้วย
แต่เขาให้แม่ทัพเทพสิบสองคนนั้นอยู่ในหุบเขาสุขาวดีต่อไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจน่ากลัวของหุบเขาสุขาวดี
พวกเขาแสดงความน่าเกรงขามให้คนภายนอกเห็น และยังทำให้อำนาจภายในหุบเขาหวาดกลัวได้เช่นกัน
พวกเขารับคำสั่งจากเสิ่นเสวียนโดยตรง เมื่อเสิ่นเสวียนออกเดินทางไปแล้ว จึงรับคำสั่งจากาามารทิศเหนือต่อไป
หลังจากอยู่ในหุบเขาสุขาวดีอีกสามวัน เสิ่นเสวียนและเริ่นเสี้ยวเทียนกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าออกหุบเขาสุขาวดี บอกลาาามารทิศเหนือและคนอื่นๆ ที่มาส่งพวกเขา
“เอาล่ะ กลับไปเถอะ จำไว้ว่าหากไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่มีระเบียบ หวังว่าเมื่อข้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง ที่นี่จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับาามารทิศเหนือและผู้าุโในหุบเขา
“ขอรับ ประมุขวางใจได้ หากใครไม่เชื่อฟัง พวกข้าสี่คนจะจัดการให้เอง”
สี่เซี่ยงกล่าวกับเสิ่นเสวียน พลางตบหน้าอกตนเองอย่างมั่นใจ
ครั้งนี้พวกเขากลายเป็ผู้าุโคุมกฎแห่งหอกฎหมายไปแล้ว ยิ่งคิดไปถึงการจัดการดูแลทั่วทั้งหุบเขาสุขาวดียิ่งทำให้พวกเขาตื่นเต้นกันไม่น้อย
แม้ตอนนี้พวกเขาจะถูกควบคุมมากขึ้น แต่พวกเขาก็ได้ควบคุมดูแลคนอื่นมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าพวกเขามีตำแหน่งสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน
คนที่มาส่งพวกเสิ่นเสวียนครั้งนี้ไม่มีาามารตะวันตก
หลังจากที่าามารตะวันตกคุยกับเสิ่นเสวียนแล้ว เช้าตรู่วันต่อมาเขาก็หอบเอาห่อผ้านั้นจากไป เขาในตอนนั้นเลื่อนขั้นเป็ขั้นจักรพรรดิได้สำเร็จ และเนื่องจากเขาสั่งสมพลังมาเป็เวลานาน หลังจากทะลวงเลื่อนขั้นไปแล้ว พลังยุทธ์ของเขาพุ่งไปสู่จุดสูงสุดของขั้นจักรพรรดิระดับต้นในทันที จนเหนือกว่าาามารทิศเหนือ อยู่ในระดับเดียวกับขั้นจักรพรรดิที่โดนเสิ่นเสวียนสังหารก่อนหน้านี้
ตอนเขาจากไปเขาบอกเสิ่นเสวียนว่าจะพานางไปท่องเที่ยว ไปดูอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก ใช้ชีวิตในเรืออย่างโดดเดี่ยว
เสิ่นเสวียนเข้าใจว่าาามารตะวันตกมองเห็นทุกอย่างแล้ว เมื่อใดที่เขาทำตามความปรารถนาสุดท้ายได้สำเร็จ เขาจะก้าวหน้าขึ้นไปอีก
หลังจากบอกลาาามารทิศเหนือและคนอื่นแล้ว เสิ่นเสวียนและเริ่นเสี้ยวเทียนก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเสียเยว่
กระทั่งทุกคนลับจากสายตาไป เสิ่นเสวียนจึงให้เสิ่นเสี่ยวเม่ยและเสิ่นเลี่ยนออกมาจากมิติ
“ในที่สุดเ้าก็ได้ออกมาสักที”
เมื่อเห็นเสิ่นเลี่ยนออกมา เริ่นเสี้ยวเทียนมีสีหน้าตื่นเต้น หลายวันมานี้เขาไม่ได้ถามเสิ่นเสวียนเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นเลี่ยน ตอนนี้ได้เห็นว่าเขาออกมาแล้ว จึงตั้งใจตรวจสอบพลังของเสิ่นเลี่ยนด้วยตัวเอง
ขั้นราชัน ไม่ใช่ขั้นจักรพรรดิด้วยซ้ำ!
แต่ผู้ฝึกตนขั้นราชันคนหนึ่ง เหตุใดถึงสังหารขั้นจักรพรรดิในกระบวนท่าเดียวได้
“พี่ใหญ่เริ่น”
เสิ่นเลี่ยนส่งเสียงเรียกเริ่นเสี้ยวเทียน เนื่องจากโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาแปลกๆ
“ร่างกายของเ้าสร้างมาจากอะไรกันแน่ พลังยุทธ์ที่ก้าวหน้าขึ้นนี้ไม่ได้รวดเร็วมากเกินไปใช่ไหม!”
เริ่นเสี้ยวเทียนมองเสิ่นเลี่ยนอย่างพิจารณา นอกจากที่ทำให้เขารู้สึกถึงความโเี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต่างออกไปเลย แต่ยิ่งดูธรรมดา เขายิ่งรู้สึกสงสัย
“ยังจำได้ไหมที่ก่อนหน้านี้ข้าให้เขาเข้าไปฝึกฝนในแอ่งเถียนซือ” เสิ่นเสวียนกล่าว
“จำได้” เริ่นเสี้ยวเทียนพยักหน้า
“ตอนนั้นข้าให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง ดังนั้นเ้ารู้ดี” เสิ่นเสวียนไม่ได้บอกออกมาโดยตรง แต่เริ่นเสี้ยวเทียนเข้าใจแล้ว
“ไม่แปลกใจเลย ต้องยากลำบากกว่าคนอื่นเพื่อให้กลายเป็ผู้ที่เหนือกว่า ข้าทำไม่ได้หรอก”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวชื่นชมพลางส่ายหัว ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่นเลย เขามิอาจรับมือกับแอ่งเถียนซือได้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าตอนนั้นเสิ่นเลี่ยนเพิ่งมีพลังยุทธ์ขั้นแม่ทัพเท่านั้น
“พลังยุทธ์ของเสี่ยวเม่ยถึงขั้นราชันแล้วเช่นกัน พวกเ้าสามคน... ใช้ได้เลยทีเดียว”
เริ่นเสี้ยวเทียนเบนสายตาไปมองเสิ่นเสี่ยวเม่ย แล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
การเดินทางมายังหุบเขาสุขาวดีครั้งนี้ทำให้พวกเขาสามคนฝึกฝนถึงขั้นราชันได้ทั้งหมด ความเร็วในการฝึกฝนขนาดนี้ หากเล่าลือกันออกไปไม่รู้จะก่อให้เกิดแรงสั่นะเืได้มากขนาดไหน
สิ่งนี้ไม่ได้กล่าวถึงว่าพร์ของพวกเขาเป็อย่างไร แต่แสดงให้เห็นว่าหยวนก่อกำเนิดของเสิ่นเสวียนเป็อย่างไร
พลังที่เกิดขึ้นนั้น กล่าวว่าหายากในรอบหนึ่งพันปียังไม่มากเกินไปเลย
การเดินทางผ่านไปท่ามกลางความตื่นใของอัจฉริยะอย่างเริ่นเสี้ยวเทียน
ณ นอกเมืองเสียเยว่ พวกเสิ่นเสวียนทั้งสี่คนกำลังมองดูเมืองแห่งนี้อีกครั้ง มันไม่ได้หยุดนิ่งลงเพียงเพราะใครคนหนึ่งหายตัวไป
ครั้งก่อนที่มา พวกเขายังมีพลังต่ำมาก
แต่ครั้งนี้ พวกเขามีพลังปกป้องตนเองแล้ว
เสิ่นเสวียนไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อแบ่งแยกผลประโยชน์ที่ตนเองได้รับมา แต่คิดหาวิธีออกไปจากที่นี่ก่อน
เนื่องจากหม่าเมี่ยนปรากฏตัวขึ้นทำให้มีคนเพ่งเล็งมาที่นี่ หากเขาทำบางอย่างที่นี่อีกอาจเป็จุดสนใจได้ง่าย เมื่อถึงตอนนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย
เขามายังเมืองเสียเยว่เพื่อโดยสารเรือเสวียนอู่ออกจากตะวันออก มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด
และเดิมทีพวกเขายัง้าไปยังสถาบันิญญาทางทิศตะวันตก มิอาจรอช้าได้อีกแล้ว
“เข้าไปเถอะ!”
เสิ่นเสวียนมองประตูเมืองเสียเยว่เล็กน้อย แล้วเขาก็เดินเข้าไปพร้อมเสิ่นเสี่ยวเม่ย
เริ่นเสี้ยวเทียนและเสิ่นเลี่ยนถอนหายใจออกมา แล้วเดินตามเข้าไป
ครั้งนี้พวกเขามากินอาหารในโรงเตี๊ยมที่เคยโดนจับตัวไปครั้งก่อน แต่ไม่มีใครจำพวกเขาได้เพราะผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป พวกของเสิ่นเสวียนก็เติบโตขึ้นมาก ต่างจากก่อนหน้านี้ไม่มากก็น้อย ผู้คนจดจำพวกเขาไม่ได้ไม่ใช่เื่แปลก
หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนพากันเดินไปยังสถานีมิติขนาดใหญ่ของเมืองเสียเยว่
ตอนที่กินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม พวกเขาได้ข้อมูลใหม่มา
นั่นคือเมืองเสียเยว่ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจตระกูลเหลยอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็ตระกูลซูไปแล้ว
ตระกูลซูเดิมทีเป็อำนาจเล็กๆ ภายใต้ตระกูลเหลย โดนตระกูลเหลยกดขี่ข่มเหงมาตลอด ครึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้ เหลยป้าเทียนหายตัวไป คนอื่นในตระกูลมิอาจควบคุมความก้าวหน้าของตระกูลซูไว้ได้ ส่งผลให้ตระกูลเหลยตกเป็อันดับสอง
อย่างเช่นอำนาจควบคุมสถานีมิติใหญ่แห่งนี้ กลายเป็ของตระกูลซูไปแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปไม่ไกลจะมองเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้ยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะอาณาเขตกว้างใหญ่ด้านหลัง เรือเสวียนอู่เหาะขึ้นจากพื้นอยู่เรื่อยๆ เมื่อเหาะขึ้นจากพื้นไปราวยี่สิบลี้ เรือแต่ละลำจะมุ่งหน้าไปในทิศทางของตนเอง ในขณะเดียวกันยังมีเรือเสวียนอู่อีกมากมายเหาะมาจากที่ต่างๆ แล้วลงจอดอย่างปลอดภัย
เรือเสวียนอู่เหล่านี้เป็พาหนะหลักของการคมนาคมที่เชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ ทั้งสะดวกและรวดเร็วมาก ยอดเยี่ยมกว่าการเดินเท้าไม่รู้เท่าไร
โดยสารเรือเสวียนอู่จากที่นี่ จะถึงเขตตะวันตกได้ในสิบวัน
แต่หากเดินเท้าไป ครึ่งปียังไม่แน่ว่าจะไปถึงหรือเปล่า
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในสถานีมิติ เริ่นเสี้ยวเทียนคุ้นเคยกับที่นี่เป็อย่างดี ส่วนพวกเสิ่นเสวียนเพิ่งเห็นเรือเสวียนอู่เป็ครั้งแรก
แต่แม้เขาไม่เคยเห็นเรือเสวียนอู่มาก่อน แต่เขาเคยเห็นเครื่องบินมาจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
จากที่เริ่นเสี้ยวเทียนบอกเล่ามา เรือเสวียนอู่น่าจะคล้ายกับเครื่องบินมาก และในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ได้มีเพียงเครื่องบินเท่านั้น ยังมีจรวดอีกด้วย หากเทียบพลังต่อสู้ของที่นี่และพลังต่อสู้ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ใครแพ้ใครชนะยังบอกไม่ได้
หากว่ามนุษย์เอาศาสตราวุธขั้นสูงออกมาใช้กันจริงๆ เซียนพเนจรเก้าด่านเคราะห์อย่างเขาคงรับมือด้วยพลังมหาศาลและสิ้นเปลืองพลังอย่างมาก แน่นอนว่าแม้อีกฝ่ายตั้งเป้าหมายไว้แล้ว แต่เขาคิดหลบหลีกคงไม่ใช่ปัญหาอะไร
“คารวะคุณชาย ไม่ทราบว่า้าความช่วยเหลือด้านใด”
เริ่นเสี้ยวเทียนเดินไปยังแผนกต้อนรับ หญิงงามอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งกล่าวกับเริ่นเสี้ยวเทียน
“ข้าอยากทราบว่า เรือมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตกรอบเร็วที่สุดคือเวลาใด”
“คุณชายโปรดรอสักครู่”
หญิงงามนางนั้นดึงเครื่องมือที่ทำจากไม้ตรงหน้าขึ้นมาทันที นางสามารถตรวจสอบตารางเวลาได้จากสิ่งนั้น
“คุณชาย มีเที่ยวเดินทางหนึ่งเที่ยวในคืนนี้”
หญิงงามนางนั้นกล่าวกับเริ่นเสี้ยวเทียนด้วยรอยยิ้ม