อวิ๋นเหมยเอ๋อร์คิดแผนการอันแยบยลไว้ในใจ นางคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าไล่นางออกไปแน่ อวิ๋นฉี่รุ่ยยังไปขอกินได้ทุกวัน นางมาขอข้าวสักมื้อจะเป็ไรไป
ยามเที่ยงควันไฟจากบ้านเรือนลอยคละคลุ้งไปทั่วหมู่บ้าน กลิ่นหอมของอาหารโชยมาเตะจมูก อวิ๋นเหมยเอ๋อร์เร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว มุ่งหน้าไปยังที่ที่อวิ๋นโส่วจงจัดไว้ให้เป็ที่กินข้าวของคนงานโดยเฉพาะ
อวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่า เนื่องจากคนหนึ่งดูแลไร่นา อีกคนดูแลคนงาน จึงกินข้าวร่วมกับคนงานที่นี่
ดวงตาเฉียบคมของอวิ๋นเหมยเอ๋อร์พลันเหลือบไปเห็นชามข้าวในมือของอวิ๋นฉี่รุ่ยที่ข้าวพูนชามจนแทบจะล้นออกมา ้ายังมีเนื้อชิ้นโตมันวาววางอยู่ ทำให้นางอดกลืนน้ำลายไม่ได้
นางเดินเข้าไปในลานเล็กๆ แล้วะโเรียก “พี่ใหญ่ พี่สาม”
อวิ๋นโส่วกวงวางชามในมือลงแล้วเดินเข้าไปหา “เหมยเอ๋อร์ เ้ามาได้อย่างไร? ท่านพ่อท่านแม่มีธุระอะไรหรือ?”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ยิ้มๆ “พี่ใหญ่ ดูท่านพูดสิ หากไม่มีธุระข้าก็มาหาไม่ได้หรือ?” กล่าวจบอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็ไม่สนใจคนงานที่นั่งอยู่เต็มโต๊ะ เดินตรงไปยังห้องครัวทันที
ระหว่างที่เดินผ่านคนงานเ่าั้ นางยังส่งเสียงเย้ยหยันออกมาเบาๆ แสดงท่าทีดูถูกคนงานเหล่านี้
“แหม่ นี่คุณหนูบ้านไหนเล่า วางมาดใหญ่กว่านายจ้างเสียอีก” แม้คนงานตระกูลอวิ๋นส่วนใหญ่จะเป็คนซื่อๆ แต่ก็มีอยู่สองสามคนที่ปากคอเราะราย
นายจ้างของพวกเขาใจดี มีเมตตาต่อพวกเขามานาน พวกเขาไม่ชอบคนตระกูลอวิ๋นที่มารังแกนายจ้างของตนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ นางนับว่าเป็ตัวอะไรกัน?
คุณหนูเจียวเอ๋อร์พบพวกเขายังทักทายอย่างสุภาพ แต่นางเป็เพียงแค่คนี้เี มีสิทธิ์อะไรถึงมาดูถูกพวกเขาที่หาเลี้ยงชีพด้วยน้ำพักน้ำแรงเช่นนี้
“นั่นน่ะสิ เห็นไหมล่ะ คอเชิดถึงฟ้าแล้ว!”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่เคยถูกใครต่อว่าเช่นนี้มาก่อน นางโกรธจนหน้าแดงก่ำ อยากจะจากไปแต่ท้องก็ร้องประท้วง ยิ่งได้กลิ่นหอมของอาหาร ยิ่งทำให้เท้าของนางก้าวไม่ออก
“พี่สาม พวกเขารังแกข้า ท่านไม่คิดจะจัดการพวกเขาเลยหรือ?” อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่อาจโต้เถียงกับชายฉกรรจ์หลายคนได้ จึงได้แต่ไปฟ้องอวิ๋นโส่วเย่า
“แม่นางเหมยเอ๋อร์ เ้าอย่าไปถือสาพวกเขาเลย ปากคนพวกนี้พูดอะไรไม่เคยคิด พูดจาเหลวไหลจนเคยตัว” คนงานสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยห้ามปราม จากนั้นก็ใช้สายตาปรามคนงานอีกสองคนที่กำลังจะต่อว่าอวิ๋นเหมยเอ๋อร์
อย่างไรเสียอวิ๋นเหมยเอ๋งอร์ก็เป็น้องสาวแท้ๆ ของอวิ๋นโส่วเย่า อีกทั้งอวิ๋นโส่วเย่ายังเป็คนดูแลพวกเขา ถึงอย่างไรก็เป็พี่น้องกัน ตัดไม่ขาดหรอก พวกเขาต่อว่าอวิ๋นเหมยเอ๋อร์เช่นนี้ ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าอวิ๋นโส่วเย่าไปด้วย
สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า ไม่เห็นแก่หน้าพระ ก็เห็นแก่หน้าพุทธ [1]
พอเห็นว่ามีคนออกมายอมขอโทษ อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็เชิดหน้าขึ้น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูถูก “พวกเ้ามันเป็ใคร ถึงกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้”
ปึก! อวิ๋นโส่วเย่าโกรธจนตัวสั่น เขาวางตะเกียบลงกับโต๊ะอย่างแรง จ้องมองอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ด้วยสายตาเ็า “อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ หากเ้ามาหาเื่ก็รีบไสหัวไปเสีย!”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ถึงกับผงะ นางไม่คิดเลยว่าอวิ๋นโส่วเย่าจะไล่นาง พลันรู้สึกน้อยใจ น้ำตาไหลพรากออกมาทันที “พี่สาม ท่านไล่ข้าหรือ?”
อวิ๋นโส่วเย่าโพล่งออกมาด้วยความโมโห “คนที่นี่ล้วนเป็ญาติผู้ใหญ่ของเ้าทั้งนั้น เ้าใช้น้ำเสียงแบบไหน? เ้าเป็ใครกัน กล้าดียังไงถึงมาพูดจาเหลวไหลที่นี่? หากเ้ายังไม่ไป ข้าจะลากเ้าออกไปโยนทิ้งข้างนอกเสีย!”
“อาหญิงไม่ใช่คน!” อวิ๋นฉี่รุ่ย พ่อถูกจับ แม่หนีไป ทุกวันอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเก่าโดยไม่มีใครเหลียวแล มีเพียงที่บ้านอวิ๋นโส่วจงที่เขาได้กินอิ่มท้อง พอเห็นอวิ๋นโส่วเย่าต่อว่าอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ เขาก็รีบต่อว่านางตาม
เด็กอย่างเขาย่อมไม่รู้เื่อะไรมากมาย ประกอบกับเขาเป็เด็กเห็นแก่กินอยู่แล้ว แค่มีของกินก็พอแล้ว มีแม่นมก็เหมือนมีแม่ ส่วนพ่อแม่ของตนเองนั้น เขาไม่แยแสอีกแล้ว
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น นางไม่คิดเลยว่าพี่ชายแท้ๆ อย่างอวิ๋นโส่วเย่าจะไม่เห็นหัวนางแม้แต่น้อย นางอยากจะจากไปแต่นางก็หิวเหลือเกิน
สุดท้ายนางจึงกัดฟันกล้ำกลืนความโกรธแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อาเ็ ที่บ้านวุ่นวายไปหมด ไม่มีอะไรกิน ข้ามาขออาหารไปให้ท่านพ่อท่านแม่สักหน่อย” กล่าวจบก็เดินดุ่มๆ ตรงไปยังห้องครัวราวกับเป็บ้านของตนเอง
ป้าที่ทำครัวมองอวิ๋นโส่วเย่าด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ เป็ที่รู้กันดีว่าอาหารของบ้านตระกูลอวิ๋นนั้นอร่อยมาก แต่ละมื้อก็ทำตามจำนวนคนพอดีไม่มีเหลือ
อวิ๋นโส่วเย่าเดินเข้าไปคว้าแขนของอวิ๋นเหมยเอ๋อร์แล้วลากออกมาจากห้องครัว อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธจนแทบคลั่ง นางเปิดฝาหม้อออกแล้ว เห็นกากหมูที่อยู่ในผัดผักกาดขาว กลิ่นหอมของมันทำให้นางน้ำลายไหล
“พี่สาม ท่านทำอะไร ท่านอกตัญญูขนาดนี้เลยหรือ แม้แต่อาหารสักคำยังไม่ยอมให้ท่านพ่อท่านแม่กิน? หรือว่าเป็พี่รองที่ไม่ยอมให้พวกเขากิน?”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธมาก นางจึงใส่ร้ายอวิ๋นโส่วเย่าว่าเป็คนอกตัญญู ที่นี่มีคนงานมากมาย หากเื่ที่เขาอกตัญญู ถูกคนงานพูดเล่าลือกันออกไป เช่นนั้นอวิ๋นโส่วเย่าก็คงอยู่ที่หมู่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว
ฉะนั้น อวิ๋นเหมยเอ๋อร์มั่นใจว่าหากนางพูดเช่นนี้ออกไป อวิ๋นโส่วเย่าจะต้องยอมปล่อยนางให้เอาอาหารกลับไปอย่างแน่นอน ทว่า อวิ๋นโส่วเย่ากลับไม่สนใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย ยังคงลากนางออกไปข้างนอก
“เ้ามีมือมีเท้า แต่ไม่ยอมทำอาหารให้ท่านพ่อท่านแม่กิน ตอนที่ท่านพ่อป่วยเ้าไม่คิดจะดูแล แอบซ่อนตัวอยู่ในห้อง พอตอนนี้กลับมาบอกว่าข้าอกตัญญู งั้นข้าจะให้ชาวบ้านมาตัดสิน ว่าตกลงแล้วใครกันแน่ที่อกตัญญู!” กล่าวจบก็ผลักอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ออกไปนอกประตู จากนั้นก็ปิดประตูใส่หน้าทันที
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น นางกระทืบเท้าพลางด่าทอ “อวิ๋นโส่วเย่า ท่านมันอกตัญญู ท่านไม่ยอมให้ท่านพ่อท่านแม่กินข้าว! คอยดูเถอะ ข้าจะไปบอกท่านแม่!”
อวิ๋นโส่วเย่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “เชิญตามสบาย พวกเราแยกบ้านกันแล้ว ทุกปีพวกเรายังต้องจ่ายเงินเลี้ยงดูพวกเขา ต่อให้ผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูลมาที่นี่ก็ไม่มีทางบอกว่าข้าอกตัญญูแน่ แต่เ้าสิ อายุสิบสี่ปีแล้ว ยังปล่อยให้ท่านพ่อท่านแม่มาปรนนิบัติ หากจะบอกว่าใครอกตัญญูนั่นก็คือเ้า!”
“ใช่แล้ว ท่านย่าไม่ยอมซักเสื้อผ้าให้ข้า แต่กลับซักเสื้อผ้าให้อาหญิงทุกวัน ข้าเห็นกับตาเลยนะ บนเสื้อของนางยังมีเืติดอยู่เลย ไม่รู้ว่านางไปทำอะไรมา” อวิ๋นฉี่รุ่ยพูดเสริม อาหญิงคนนี้ไม่เคยทำดีกับเขา เขาจำได้ไม่มีวันลืม
ทันทีที่คำพูดของเขาหลุดออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป พออวิ๋นเหมยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ก็ร้องไห้พลางวิ่งหนีไป นางไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อแล้ว
อวิ๋นโส่วเย่าโกรธจนมือสั่น เขามองอวิ๋นฉี่รุ่ยอย่างเอาเื่ “พูดจาเหลวไหลอะไร มีของกินแล้วยังปิดปากเ้าไม่ได้! หากยังพูดจาไร้สาระอีก ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมากินข้าวที่นี่แล้ว!”
อวิ๋นฉี่รุ่ยใรีบปิดปาก แล้วตั้งใจกินข้าวเงียบๆ เด็กอย่างเขาอาจไม่รู้เื่อะไร แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ที่นั่นต่างก็เข้าใจความหมายของคำพูดนี้เป็อย่างดี
มีเื นั่นไม่ใช่ผ้าซับระดูหรอกหรือ? โอ้โห่ นี่ถึงขั้นให้มารดามาซักให้ นางนี่ช่าง... กลับไปต้องบอกเล่าเื่นี้ให้ทุกคนฟัง อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ผู้นี้ จะสู่ขอนางไม่ได้เด็ดขาด
เนื่องจากโรงอาหารเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับบ้านของอวิ๋นเจียว พวกเขาจึงได้ยินเสียงความวุ่นวายฝั่งนั้นได้อย่างชัดเจน
ฟางซื่อส่ายหน้า “อวิ๋นเหมยเอ๋อร์คนนี้ ช่างสิ้นหวังจริงๆ จะอย่างไรก็แซ่อวิ๋น นางทำเช่นนี้ ก็พลอยทำลายชื่อเสียงของหญิงสาวตระกูลอวิ๋นไปด้วย”
นางสงสารเจียวเอ๋อร์บุตรสาวของตน มีหน้าตางดงามแต่ต้องมาถูกอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ทำให้เสื่อมเสียไปด้วย
ครอบครัวของนางยังดีหน่อย แต่อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กับอวิ๋นหลานเอ๋อร์นั้น กลับแยกตัวไม่พ้นจากความเกี่ยวข้องกับบ้านหลังเก่าเลย
อวิ๋นเจียวเห็นแววตาเป็กังวลของฟางซื่อจึงรีบปลอบ “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลไปเลย อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่ได้อยู่ในผังวงศ์ตระกูลของตระกูลอวิ๋น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบ้านนั้น”
“ยิ่งไปกว่านั้น รอให้ท่านลุงใหญ่กับท่านอาสามตั้งตัวได้ ชีวิตความเป็อยู่ดีขึ้น ฐานะทางบ้านดีขึ้น ชาวบ้านก็ไม่ใช่คนตาบอด ยังจะต้องกลัวว่าไม่มีใครมาสู่ขอพี่เหลียนเอ๋อร์กับพี่หลานเอ๋อร์อีกหรือเ้าคะ”
เชิงอรรถ
[1] ไม่เห็นแก่หน้าพระ ก็เห็นแก่หน้าพุทธ (不看僧面也得看佛面) เป็สำนวนที่สื่อถึงการให้เกียรติผู้อื่น ถึงแม้จะไม่ชอบหรือไม่เคารพตัวบุคคล แต่ก็ควรให้เกียรติคนที่อยู่เื้ัหรือคนที่มีอำนาจมากกว่า