เจินจูเรียกจางซื่อและพานซื่อออกไปข้างนอก เพื่อกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูอย่างจริงจัง
พวกนางเป็ผู้ทำงานมานาน ให้พวกนางช่วยชุ่ยจูมากหน่อย ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ หากมีปัญหาอะไรให้มาบอกนางและหวังซื่อได้อย่างเต็มที่ ผู้ใดชอบแอบอู้หรือบ่นนินทาให้จดจำไว้ ปีหน้าตอนจะจ้างคนมาทำงานอีกก็จะต้องไตร่ตรองอีกทีให้มากหน่อย
ชุ่ยจูยืนหน้าแดงอยู่ด้านข้าง ล้วนเป็นางไร้ความสามารถจนเกินไป ท่านย่ามอบหมายให้นางทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แต่นางกลับไม่สามารถดำเนินการปฏิบัติได้
จางซื่อกับพานซื่อต่างเป็คนคุ้นเคยของสกุลหูมานาน สองครอบครัวล้วนได้รับประโยชน์จากสกุลหูค่อนข้างมาก รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณต่อสกุลหูอย่างมั่นคงเสมอมา การจัดการไม่กี่วันมานี้ของชุ่ยจู พวกนางมองอยู่ตลอดและเป็กังวลอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่มีตำแหน่งให้จัดการได้อยู่ดี ครั้งนี้พวกนางต่างก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็หัวหน้ากลุ่ม สามารถพูดและกระทำการช่วยชุ่ยจูได้อย่างสาเหตุสมผลแล้ว
สุดท้ายเจินจูเตือนชุ่ยจูอีกครั้ง “พี่รอง ตอนนี้ท่านเป็คนรับผิดชอบสถานที่ทำอาหารหมัก ทุกอย่างในสถานที่นี้ล้วนเป็สิ่งที่ท่านจัดการได้ทั้งหมด ใบรายการสั่งของของสือหลี่เซียงจะเกิดความผิดพลาดไม่ได้ ทั้งคุณภาพสุขอนามัย หรือรสชาติรูปลักษณ์ และเวลาในการตากแห้งรวมถึงการส่งมอบอาหารหมักสำเร็จรูป ล้วนต้องอยู่ในลักษณะที่เป็ระเบียบ หากเกิดปัญหาขึ้นที่ตรงไหน ล้วนเป็ครอบครัวสกุลหูของเราที่ขาดทุนเสียหายทั้งสิ้น ท่านต้องมองการไกลให้มากหน่อย อย่าทำชื่อสกุลหูของเราพังเด็ดขาด”
คำพูดที่กล่าวมาทั้งหมดของเจินจู ทำเอาชุ่ยจูตื่นใยิ่งขึ้น ใช่สิ... สกุลหูอาศัยการขายอาหารหมักให้กับสือหลี่เซียงแล้วร่ำรวยขึ้นนี่ หากว่าสถานที่ทำอาหารหมักเกิดปัญหาขึ้นขณะที่นางดูแลอยู่ เช่นนั้นนางก็เป็ผู้กระทำความผิดต่อสกุลหูแล้ว ไม่ได้... นางต้องฮึกเหิมขึ้น จะเป็เหมือนเช่นเมื่อก่อนไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ชุ่ยจูเม้มปากและพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เมื่อหาทางออกให้กับปัญหาของสถานที่ทำอาหารหมักได้ เจินจูก็จูงมือเล็กของซิ่วจูกลับบ้านไป
“วันนี้ซิ่วจูเป็เด็กดียิ่งนัก ตอนพี่ยุ่งอยู่ เ้าไม่ก่อกวนเลย”
เจินจูพาซิ่วจูกลับมาในห้องของหลี่ซื่อ ถอดรองเท้าให้นางและอุ้มนางขึ้นไปบนเตียงอิฐ จึงหันไปกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ วันนี้ซิ่วจูเป็เด็กดีเช่นนั้นหรือ?” หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมาจากงานเย็บปักถักร้อย พลางยิ้มแล้วลูบใบหน้ารูปไข่ของบุตรสาวคนเล็ก
“ท่านพี่ โมโห น่ากลัว” ซิ่วจูฟ้องด้วยเสียงหวานที่ไร้เดียงสา
หลี่ซื่อชะงักงัน และหันไปมองเจินจู “ทำไมถึงโมโหได้ล่ะ?”
เจินจูมองเ้าเด็กขี้ฟ้องในอ้อมกอดมารดาด้วยความขบขัน จึงเล่าเื่ชุ่ยจูที่อยู่ในสถานที่ทำอาหารหมักให้หลี่ซื่อฟัง
หลี่ซื่อฟังจบแล้วถอนหายใจ “กล่าวขึ้นมาแล้วก็แปลกนัก ตอนเด็กๆ ชุ่ยจูกล้าหาญอย่างมาก หลังเติบใหญ่ขึ้นมาไม่รู้ว่าทำไมกลับเปลี่ยนไปตรงกันข้ามเสียนี่ เื่นี้แม้นางจะมีความผิด แต่เ้ากับท่านย่าก็ใจร้อนเกินไป นางเป็แม่นางน้อยอายุสิบห้าปีเอง เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยออกจากบ้านอีกต่างหาก พวกเ้ากลับคิดให้นางจัดการคนมากมายเพียงนั้นในไม่กี่วันให้ดีจะได้อย่างไร”
คำพูดของหลี่ซื่อ เมื่อเจินจูฟังแล้วก็อึ้งทันที เป็พวกนางที่ใจร้อนเกินไปแล้วจริงหรือ?
“คนที่ชุ่ยจูสนิทสนมด้วยมีน้อย นิสัยก็เก็บกดอีก อุปนิสัยของคนจะเปลี่ยนไปทันทีได้ที่ไหนกัน ต้องค่อยๆ สอน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน เ้าคิดว่าทุกคนล้วนเฉลียวฉลาดและกล้าหาญเช่นเ้าหรือ” หลี่ซื่ออุ้มซิ่วจูและถอดเสื้อผ้าให้นาง เห็นว่าเล่นมาทั้งวันควรนอนได้แล้ว
เจินจูเงียบไม่พูดไม่จา คำพูดของหลี่ซื่อมีเหตุผลนัก เป็นางที่คิดจะ้าให้ได้ดังใจเกินไป เด็กสาวอายุสิบห้าปีหากเป็ยุคปัจจุบัน ก็เป็เพียงนักเรียนมัธยมต้นผู้หนึ่งเท่านั้นเอง ให้นางดูแลฟู่เหรินที่มีความคิดและจิตใจแตกต่างกันมากมายเพียงนั้นอย่างกะทันหัน ไม่ใช่เื่ง่ายจริงๆ
เอาเถอะ ตอนนี้มีความช่วยเหลือจากจางซื่อกับพานซื่ออยู่ เชื่อว่านางจะต้องดีขึ้นมาได้อย่างช้าๆ สองสามวันนี้นางจะเข้าไปช่วยตรวจดูทุกวันวันละรอบก็แล้วกัน
เจินจูตกอยู่ในความคิดของตัวเอง หลี่ซื่ออุ้มชุ่ยจูกล่อมโคลงเคลงไปมาเบาๆ
“เอ๊ะ เสี่ยวหวงกำลังเห่าอยู่นี่ เหมือนมีคนมาเคาะประตู”
เจินจูตะแคงหูตั้งใจฟังให้ละเอียด มีคนเคาะประตูอยู่จริงๆ
เสี่ยวหวงยืนอยู่หลังประตู อุ้งเท้าหน้าของมันเขี่ยที่ประตูลานบ้าน เอาแต่ส่ายหางไปมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
โอ๊ะ เป็คนรู้จักด้วย ผู้ใดกัน? ดูหางที่ส่ายอย่างตื่นเต้นนั่นสิ แทบจะกระดิกจนตัวลอยขึ้นฟ้าแล้ว
เจินจูหัวเราะพร้อมกับเคลื่อนไม้สลักออกและดึงประตูให้เปิด
เงากายหนึ่งสูงใหญ่ทรงพลังยืนสู้แสงเจิดจ้า เจินจูรู้สึกตาพร่าไปเล็กน้อย เหตุใดจึงเห็นเงากายหนึ่งที่ไม่ควรปรากฏออกมาอยู่ตรงนี้ได้นะ
เสี่ยวหวงโผออกไป มันครางหงิงๆ ใส่เงากายสูงใหญ่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่ามันจำเขาได้
ใบหน้าที่ยืนสวนทางกับแสงนั่นยิ้มอย่างสว่างไสวขึ้นทันที ฟันขาวราวหิมะสะท้อนรอยยิ้มที่คุ้นเคยออกมา
“เจินจู ข้ากลับมาแล้ว!”
เด็กชายใบหน้าเขินอายที่ยังไม่มีความเป็ผู้ใหญ่ได้กลายเป็ชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงรูปร่างสูงใหญ่ขึ้น
ประสบการณ์เมืองชายแดนสามปี เปลี่ยนแปลงเขาไปอย่างมาก แววตาเปลี่ยนไปดุดัน ความเฉียบคมเปลี่ยนไปชัดเจน เบ้าตาเจินจูชุ่มขึ้นเล็กน้อย นางยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ ให้เขา
หลัวจิ่งจับจ้องเด็กสาวตรงหน้าด้วยใจปรารถนา นางรูปร่างสูงขึ้น เส้นผมยาวขึ้น ความสว่างไสวในดวงตาก็ยิ่งแวววาวขึ้นอีกด้วย เหมือนดังกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยที่เบ่งบานสะพรั่งนั่น ทั้งงดงามทั้งน่าหลงไหล ทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้อยู่นานมาก
สองคนไม่รู้ว่าจ้องมองกันและกันอยู่นานเท่าไร จนกระทั่งด้านหลังเจินจูมีเสียงร้องดีใจระคนแปลกใจของหลี่ซื่อแว่วมา
“อ๊ะ… ยู่เซิง? เป็ยู่เซิงกลับมาแล้วหรือ?” หลี่ซื่อยกชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้ามา
เจินจูถอยหลบไปครึ่งก้าวอย่างเงียบๆ
หลี่ซื่อมายืนตรงที่เดิมของนางทันที “ยู่เซิง เ้ากลับมาแล้ว!”
กล่าวจบเบ้าตาของนางก็เริ่มแดงรื้นขึ้น
“ท่านอาสะใภ้รอง ข้ากลับมาแล้วขอรับ” หลัวจิ่งรู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูกเล็กน้อย เขาตื้นตันใจอย่างมาก หลี่ซื่อดูแลเขาด้วยความใกล้ชิดมาโดยตลอด ให้ความอบอุ่นแก่เขาเหมือนกับผู้เป็มารดาอย่างยิ่ง
“ฮือๆๆ กลับมาก็ดีแล้วๆ” ในที่สุดหลี่ซื่อก็กลั้นไว้ไม่อยู่และร้องไห้ออกมา
เจินจูจนปัญญา เดินไปข้างหน้าแล้วตบบ่าของหลี่ซื่อเบาๆ “ท่านแม่ ยู่เซิงไม่ได้กลับมาคนเดียว ท่านอย่าทำให้คนเขาเห็นเป็เื่ตลกสิเ้าคะ”
หลี่ซื่อตื่นใทันที รีบหันมองไปข้างหลังของหลัวจิ่ง ชายหนุ่มร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่หนึ่งคน จูงม้ายืนอยู่เื้ัของหลัวจิ่ง
“ท่านอาสะใภ้รอง นี่เป็รองแม่ทัพหลัวสือซานของข้า ครั้งนี้ติตตามข้าเดินทางมาจากชายแดนด้วยกันขอรับ” หลัวจิ่งรีบแนะนำ
“คารวะฮูหยินหู ข้าน้อยหลัวสือซาน รบกวนท่านแล้วขอรับ” หลัวสือซานปรากฏใบหน้ายิ้มกว้างออกมา
“อื้ม ในเมื่อเป็สหายที่ยู่เซิงพามาจะรบกวนอะไรกัน เร็ว... เข้ามาในบ้านก่อน” หลี่ซื่อดึงประตูลานบ้านเปิดออก และนำทางหลัวสือซานไปเพิงม้า
เจินจูปิดประตูลงเงียบๆ เมื่อหันศีรษะกลับไปก็พบชายหนุ่มยืนรอคอยอยู่ที่เดิม
นางหันไปยิ้มกับเขา “เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ ไม่เจอกันสามปี คงไม่ใช่ว่าแม้แต่ห้องโถงของบ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้กระมัง”
“ไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ ตอนข้าไป บ้านประตูสองชั้นแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จเลย” เสียงของเขาเข้มใสมีพลัง ไม่มีความแหบต่ำเหมือนในปีนั้นแล้ว
“ฮ่าๆ แม้ยังสร้างไม่เสร็จ แต่ลักษณะรูปแบบก็เคยเห็นแล้วนี่” สองคนยืนพูดคุยกันข้ามเงาของกำแพงลานบ้าน
หลัวจิ่งเงยหน้ามองไปรอบๆ อยากเก็บรายละเอียดของสกุลหูไว้ในความทรงจำ
เสี่ยวหวงตามอยู่ข้างหลังเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก้าวตามไปด้วยทุกที่
หลัวจิ่งเพิ่งนั่งลง หลี่ซื่อก็นำทางหลัวสือซานเข้ามา
“เจินจู เร็ว เ้าไปห้องครัวดูว่ามีอะไรทานบ้าง ยู่เซิงกับสือซานเร่งเดินทางกันมาหลายวัน อาหารร้อนๆ สักมื้อคงไม่ได้ทานกันเลยกระมัง?”
เร่งรีบเพียงนั้นเลยหรือ? เจินจูมองหลัวจิ่งแวบหนึ่ง เส้นผมถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อย เครื่องหน้าที่แข็งแรงดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ริมฝีปากก็แห้งเป็ขุยนิดหน่อย ท่าทางเหมือนจะเร่งเดินทางมาไกลจริงๆ ด้วย
เจินจูรีบลุกขึ้นยืน คิดจะไปชงชาร้อนๆ ให้เขาก่อน แต่เพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็คิดอะไรขึ้นได้ “ต้าไป๋กับต้าฮุยล่ะ?”
เขากลับมา ไม่ได้พาพวกมันมาด้วยหรือ?
“พวกมันอยู่กับพี่ชายใหญ่ข้าทางนั้น ผ่านไปสองสามวันจะบินมาที่นี่” หลัวรุ่ยยังมีเื่ที่ต้องจัดการ หลัวจิ่งจึงให้เขายืมนกพิราบสองตัวนั้นเป็การชั่วคราว แม้ต้าไป๋กับต้าฮุยจะไม่ค่อยยินดี แต่ภายใต้เงื่อนไขชักจูงของหลัวจิ่งก็เลยยอมลงได้
เงื่อนไขของหลัวจิ่งคือ ทำงานอยู่สิบวัน แล้วจะให้พวกมันกลับมาพักอยู่หมู่บ้านวั้งหลินได้สิบวัน
ต้าไป๋กับต้าฮุยที่น่าสงสารก็เป็เช่นนี้ ถูกหลอกให้ไปทำงานอย่างคึกคักขึ้นทันที
เจินจูพยักหน้า หลังจากนั้นจึงไปหลังบ้านต้มน้ำชงชาให้พวกเขา
ข่าวหลัวจิ่งกลับมาหมู่บ้านวั้งหลิน ไม่นานก็แพร่ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เขากับหลัวสือซานขี่ม้าสองตัวที่ทรงพลานุภาพและแข็งแรงกำยำเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านไม่น้อยล้วนเห็นกันทั้งสิ้น
ไม่นานหูเฉวียนฝูกับหวังซื่อก็จูงหลานชายคนเล็กมา
ฟางเสิงกับอาชิงเมื่อเลิกชั่วโมงเรียนก็มารวมตัวที่บ้านสกุลหู หลิงเสี่ยนที่อยู่ข้างบ้านพอได้ยินข่าวก็มาด้วยเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวในห้องโถงบ้านสกุลหูได้คึกคักขึ้นมากเป็พิเศษ
หวังซื่อ หลี่ซื่อ และจ้าวหงยู่จัดโต๊ะเลี้ยงขึ้นมาหนึ่งโต๊ะด้วยความรวดเร็ว ให้พวกเขาทานไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
เนื้อพะโล้ในบ้านล้วนเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในโถใบใหญ่สองสามใบมีเนื้อกวางพะโล้ เนื้อแพะพะโล้ เครื่องในหมูพะโล้ เมื่อนำมาอุ่นร้อนและหั่นเป็ชิ้นๆ ใส่ถาดให้เรียบร้อย อาหารประเภทเนื้อก็เพียงพอแล้ว
อาหารที่เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้วยังมีกุนเชียงและเนื้อตากแห้งอีกด้วย นึ่งสักนิด ผัดสักหน่อยก็เป็อาหารสองอย่าง ตุ๋นหัวไชเท้าเข้ากับกระดูกหนึ่งหม้อใหญ่ รสชาติสดอร่อยและยังบำรุงร่างกายได้ดี สุดท้ายผัดผักอีกหนึ่งอย่าง เท่านี้โต๊ะเลี้ยงก็เรียบร้อยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลัวจิ่งกำลังทานเนื้อพะโล้ รสชาติที่คุ้นเคยเอร็ดอร่อยเช่นนี้ไม่ได้เจอเสียนาน ภายในใจเขาอิ่มเอมขึ้นมาพักหนึ่ง ทุกครั้งที่แทะเนื้อแห้งอยู่ชายแดนทั้งแข็งทั้งเค็ม เขาคิดถึงเนื้อพะโล้ของสกุลหูเป็อย่างมาก
หลัวสือซานทานไม่ได้หยุดปากเลยทีเดียว อาหารของสกุลหูรสชาติอร่อยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้คุณชายของเขาคิดถึงอยู่เสมอมา
พวกเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาจากชายแดน ม้าสองตัวล้วนเหน็ดเหนื่อยจวนจะเป็อัมพาตอยู่แล้ว ต้นขาด้านในของเขาเสียดสีจนหนังด้านหนา ทำให้ใช้เวลาสั้นๆ เพียงแปดวันก็เร่งมาจนถึงเขตเอ้อโจวได้
หลัวสือซานได้รับความยากลำบากและอ่อนเพลียจากการเร่งเดินทาง เมื่อได้ทานเนื้อพะโล้อันหอมกรุ่นเข้าในปาก ความยากลำบากทั้งหมดแทบจะมลายหายสิ้นไปจนไม่เหลือ
ไม่แปลกใจเลยที่คุณชายอยู่ในค่ายทหารมักทานอาหารตามอำเภอใจอย่างมาก อาหารทางชายแดนไม่มีทางเทียบกับของสกุลหูได้เลย อื้ม อาหารประเภทเนื้อเหล่านี้อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ
“ยู่เซิง ทานให้มากหน่อย เ้าอยู่ชายแดนคงได้รับความยากลำบากมามาก” หูฉางกุ้ยคีบกีบหมูพะโล้ให้เขาหนึ่งชิ้น เขากับหูฉางหลินเพิ่งเชือดหมูในตอนบ่ายเสร็จก็ได้ยินข่าวว่าหลัวจิ่งกลับมา
หูฉางกุ้ยตื่นเต้นมาก เขามอบหมายเื่แยกเนื้อออกเป็ส่วนๆ แก่หูฉางหลิน ให้เขานำเจิ้งซวงหลินกับจ้าวเฮยโต้วทำงาน ส่วนเขาเองก็วิ่งกลับมาทันที
แม้หลัวจิ่งจะอยู่บ้านสกุลหูไม่นาน แต่หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อล้วนชื่นชอบเขาเป็อย่างมาก สำหรับการกลับมาของเขา ทั้งสองคนต่างดีใจมากยิ่งนัก
หลัวจิ่งเงยหน้ายิ้ม “ขอบคุณท่านอารอง”
หูฉางกุ้ยยิ้มซื่อๆ ส่วนหูเฉวียนฝูที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญของโต๊ะ ได้ยื่นมือออกไปคีบกีบหมูพะโล้ให้หลัวสือซานเช่นกัน “ผู้กล้าหาญท่านนี้ ทานให้มากหน่อย”
“ขอรับ ขอบคุณท่านผู้าุโ” หลัวสือซานทำความเคารพแล้วรับมา ทั้งเด็กและคนชราครอบครัวนี้ต่างเต็มไปด้วยความเมตตาต่อคุณชายกันทั้งสิ้น
ผิงอัน ผิงซุ่น และอาชิงเป็สามคนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุด
“พี่ชายยู่เซิง ตอนนี้ท่านเป็ขุนพลขั้นสี่หรือ? ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ต้องฆ่าชาวตาตาร์และหว่าชื่อไปเท่าไรจึงจะเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้?” ผิงอันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเื่ของหลัวจิ่งตอนอยู่ชายแดน
อาชิงกับผิงซุ่นก็จ้องตาโต อยากฟังหลัวจิ่งเล่าเื่าสู้รบที่ชายแดนด้วยเช่นกัน
หลัวจิ่งหันไปยิ้มกับผิงอัน “เป็กุยเต๋อหลางเจียงขั้นสี่ คุณความดีทางการทหารไม่ใช่แค่อาศัยการเข่นฆ่าตัดศีรษะตาตาร์กับหว่าชื่อเท่านั้น ทั้งยังต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาหรือวางแผนงานอื่นๆ ให้สำเร็จด้วย”
“พี่ชายยู่เซิง สามปีนี้ท่านเข้าสนามรบไปกี่ครั้งแล้ว? เคยนำทหารไปมากเท่าไร?” ดวงตาผิงอันเต็มไปด้วยความยกย่องเชิดชูหลัวจิ่ง
หลัวจิ่งยิ้มแล้วเล่าสถานการณ์ทางชายแดนเล็กน้อยให้พวกเขาฟัง
ฟางเสิงกับหลิงเสี่ยนต่างก็ฟังด้วยความตั้งใจเช่นกัน ทั้งสองล้วนเป็คนที่ผ่านอุปสรรคมามากมาย จากคำพูดไม่กี่ประโยคของหลัวจิ่ง ก็สามารถดึงเอาข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การสู้รบทางชายแดนออกมาได้เล็กน้อย
“พอแล้ว อาหารล้วนเย็นหมดแล้ว ให้ยู่เซิงทานข้าวก่อน ทานเสร็จพวกเราค่อยคุยกัน” ชายชราสกุลหูรีบทำการหยุดพวกเขา
อากาศหนาวเย็นะเื อาหารในฤดูหนาวจึงเย็นอย่างรวดเร็ว เพราะการมาของหลัวจิ่งอย่างกะทันหัน หลี่ซื่อกับจ้าวหงยู่จึงไม่ทันได้เตรียมหม้อร้อน ทำได้เพียงทานอาหารที่จัดวางบนโต๊ะให้พอถูไถไปได้
หม้อร้อนก็คือหม้อไฟของยุคนี้ แค่ส่วนประกอบที่ใส่ลงไปในหม้อไม่ได้อุดมสมบูรณ์หลากหลายเท่ายุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็การใส่กระดูกตุ๋นลงไปในหม้อแล้วเติมเนื้อแต่ละชนิดเข้าไป ซึ่งใช้เนื้อแผ่นบางเป็หลัก
หม้อร้อนเป็หลังจากที่สกุลหูร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นแล้ว ถึงซื้อเนื้อมาทำหม้อร้อนสักรอบ
สกุลหูในเมื่อก่อนยากจนข้นแค้นจนถ้วยชามเสียงดังก๊องแก๊ง จะมีเงินเหลือที่ไหนมาทานหม้อร้อนได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้