กู้ฉีคุ้มกันโหยวอวี่เวยเข้ามาส่งในกำแพงเมือง
พวกเขาไม่ได้กลับจวนในทันที ทว่ามาหาโรงเตี๊ยมที่กว้างขวางและสะอาดเรียบร้อยแห่งหนึ่งเพื่อทานอาหารเช้ากัน
เนื่องจากรีบออกมาส่งสองพี่น้องเดินทางั้แ่เช้าตรู่ พวกเขาต่างก็ยังไม่ได้ทานอาหารกันมา
ห้องส่วนตัวของชั้นสอง จื่อยู่เฝ้าอยู่นอกประตู
“พี่ห้า หลัวจิ่งอยู่ที่บ้านสกุลหูมาตลอดเลยหรือ? ตอนพวกเราไปบ้านสกุลหู ทำไมถึงไม่เคยเห็นเขาเลยล่ะ?” โหยวอวี่เวยประหลาดใจอย่างมาก นางได้รู้จากปากของกู้ฉี ว่าหลัวจิ่งพักรักษาอาการาเ็อยู่บ้านสกุลหูมาเกือบหนึ่งปีแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะไต่ถามอย่างละเอียด
“เขาคงตั้งใจเลี่ยง อย่างไรเสียสถานะของเขาในตอนนั้นก็ละเอียดอ่อนมาก” กู้ฉีจิบน้ำชาพลางกล่าวอย่างเชื่องช้า
“เฮ้อ” โหยวอวี่เวยถอนหายใจ “จะว่าไปแล้วครอบครัวเขาถูกดึงเข้าไปพัวพันเช่นนั้น ทั้งตระกูลโดนค้นบ้านยึดทรัพย์สินและสั่งปะาชีวิต น่าสงสารเกินไปแล้วจริงๆ หลัวจิ่งเมื่อก่อนร่าเริงมาก มายามนี้คนได้เปลี่ยนไปจนเคร่งขรึมเสียแล้ว ยามนั้นเขาเพิ่งอายุสิบสองหรือสิบสามปีเอง แต่ยังหลบหนีเคราะห์ภัยไปได้ช่างเป็โชคดีของเขานัก”
กู้ฉีมองโหยวอวี่เวยที่เป็กังวลต่อหลัวจิ่งปราดหนึ่ง ในใจหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ตอนยังเด็กเขาร่างกายไม่ดี แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงของแต่ละจวน กับเด็กผู้อื่นก็ไม่ได้เล่นสนุกด้วยกัน เด็กในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันมีเพียงโหยวอวี่เวยเท่านั้นที่มักมาเยี่ยมเขาอยู่บ่อยๆ ในยามนี้พอคิดไปคิดมาแล้ว เด็กที่ร่างกายแข็งแรงร่าเริงสนุกสนานของแต่ละจวนมีมากมาย ทว่านางกลับเอาแต่มาหาคนป่วยอ่อนแออย่างเขาเพื่อเล่นด้วยอยู่ตลอด
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็อ่อนโยนขึ้นอย่างเสียไม่ได้
“อีกอย่างทั้งครอบครัวน้องสาวเจินจูช่างมีเมตตาจริงๆ คนที่ไม่รู้จักก็ล้วนช่วยกลับไป ทั้งยังดูแลเขาที่นอนรักษาอาการาเ็อีก วันข้างหน้าพวกนางต้องได้รับบุญวาสนาตอบแทนแน่ๆ” โหยวอวี่เวยชื่นชมจากใจจริง
“อื้ม ครอบครัวพวกนางต่างก็มีเมตตากันทุกคน” กู้ฉีพยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็อาศัยครอบครัวของพวกนางถึงได้มีชีวิตที่แข็งแรงมาจนถึงตอนนี้ได้เช่นกัน หากไม่ได้พบกับสกุลหู เขากับหลัวจิ่งไม่แน่ว่าตอนนี้อาจไปพบหน้ากันในปรโลกแล้ว
ดวงตาโหยวอวี่เวยไหววูบขึ้น นางถามด้วยเสียงแ่เบา “พี่ห้า ท่านว่าหลัวจิ่งชอบน้องสาวเจินจูใช่หรือไม่ พวกเขาสองคนพอยืนอยู่ด้วยกันแล้วค่อนข้างเหมาะสมกันยิ่งนัก”
กู้ฉีสีหน้าชะงักไปพักหนึ่ง
เขาดูออกนานแล้ว เ้าหลัวจิ่งที่ยืนอยู่ข้างเจินจู ท่าทางอย่างกับผู้คุ้มครองบุปผางาม แววตามีความปรารถนาของบุรุษ ที่อยากยึดมาครองเป็ของตัวเองแต่เพียงผู้เดียวอย่างชัดเจน
ในอกเกิดความทุกข์ขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็รู้สึกถอนหายใจโล่งอกออกมาทีหนึ่งเช่นกัน แม้เขาไม่ได้สนิทสนมกับหลัวจิ่ง แต่สายตาของหลัวจิ่งเผยทุกอย่างออกมาชัดเจน ท่าทางสง่าผ่าเผยอกผายไหล่ผึ่ง สายตาที่มองไปยังเจินจูอ่อนโยนและให้ความสำคัญ
สองคนเหมาะสมกันอย่างมากจริงๆ แม้เขาไม่อยากยอมรับมันเลยก็ตาม
“หากหลัวจิ่งแต่งงานกับน้องสาวเจินจู เช่นนั้นวันข้างหน้าพวกเขาจะกลับมาลงหลักปักฐานอยู่เมืองหลวงไหมนะ ว้าว... ข้าอยากให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงยิ่งนัก หากเป็เช่นนั้นข้าจะได้ไปเยี่ยมพวกเขาได้บ่อยๆ” โหยวอวี่เวยประคองแก้มสองข้างของตัวเองอย่างตื่นเต้นดีใจจนโยกตัวไปมา
“หากคดีของสกุลหลัวไม่ได้ตัดสินให้ถูกต้อง หลัวจิ่งก็ไม่อาจกลับมาลงหลักอยู่เมืองหลวงได้” แม้ไม่อยากกล่าวคำพูดดังสาดน้ำเย็นใส่นาง แต่ความเป็จริงก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน
โหยวอวี่เวยชะงักค้าง ใช่สิ... สกุลหลัวถูกองค์ไท่จื่อตัดสินใส่ความสมคบคิดฏ ทั้งตระกูลถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์ไปแล้ว หากไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงให้พลิกกลับมาได้ ก็จะไม่สามารถกลับมาลงหลักอยู่เมืองหลวงได้จริงๆ
“พี่ห้า องค์ไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ข้อกล่าวหาของสกุลหลัวไม่สามารถพลิกกลับมาได้หรือ?”
“องค์ไท่จื่อเพิ่งสิ้นพระชนม์ สภาพจิตใจฮ่องเต้ไม่สู้ดีจึงไม่มีผู้ใดจะไปแตะความกังวลเพิ่มขึ้นในตอนนี้แน่ ขณะนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีนัก รอผ่านไปอีกปีหรือสองปีให้อาการประชวรของฮ่องเต้มั่นคง พระพลานามัยแข็งแรงและอยู่ในสภาพอาการที่แน่นอนแล้ว อาจลองชี้แจงเพื่อพลิกคดีได้” กู้ฉีวิเคราะห์อย่างสุขุม
เช่นนั้นยังต้องรอไปอีกกี่ปีกันนะ โหยวอวี่เวยถอนหายใจ
...ม้าพันธุ์ดีหนึ่งตัววิ่งห้ออยู่บนถนนทางการเส้นกว้าง
บนหลังม้ามีเด็กชายหน้าตาน่ารักผู้หนึ่งสะบัดบังเหียนม้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“หยุด”
เขาเลี้ยวโค้งหนึ่งทีและดึงเชือกบังเหียนบังคับทิศทางให้หันกลับ จากนั้นตบม้าเบาๆ ให้วิ่งต่ออย่างรวดเร็ว
‘กุบกับๆ’ เสียงฝีเท้าม้าดังสะท้อนอยู่ข้างทางที่กว้างโล่ง
ไม่นานเขาก็กลับมาข้างขบวนรถม้าอีกครั้ง
“ผิงอัน เ้าพอได้แล้ว วิ่งไปๆ มาๆ กี่รอบแล้วนี่ เ้าไม่เหนื่อยแต่ม้าก็ไม่แน่ไหม?” เจินจูชะโงกศีรษะออกมาขมวดคิ้วกล่าวกับเขา
“แหะๆ” ผิงอันหัวเราะ เขาลูบลำคอของม้าและตอบรับ “ทราบแล้วขอรับ ท่านพี่ ข้าไม่วิ่งแล้ว”
“เขามีม้าเป็ของตัวเองครั้งแรกเลยตื่นเต้นดีใจไปหน่อย ให้เขาเล่นสนุกไปเถอะ ม้าฝีเท้าจัดเป็ม้าพันธุ์ดี ไม่ได้อ่อนแอเพียงนั้น” หลัวจิ่งยิ้มและช่วยหว่านล้อมให้ผิงอัน
ต่อให้เป็ม้าพันธุ์ดีก็ไม่อาจทนให้เขาทรมานวิ่งไปๆ มาๆ ได้เช่นกันนั่นแหละ เจินจูลอบกลอกตาอยู่เงียบๆ ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
ส่วนเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยที่กลับมาถึงภายในเกวียน ต่างก็ขดตัวหลับสนิทอยู่ในรังนอนเล็กๆ ของมัน
พวกมันรออยู่ในป่าหนึ่งชั่วยามกว่า อากาศหนาวเหน็บหิมะปกคลุมเป็วงกว้าง ทำให้พวกมันต้องลำบากแล้ว
เจินจูลูบขนของเสี่ยวเฮยด้วยความสงสาร มันส่งเสียงกรน “ครืด” ออกมาอย่างสบายตัว อีกทั้งยังพลิกตัวขึ้นเผยให้เห็นพุงเล็กๆ ของมันอีกด้วย
“พรืด” เ้าแมวนี่ ได้คืบจะเอาศอกนัก นางส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแต่ก็ลูบขนให้มันต่อ
คนหนึ่งขบวน รถม้าสี่เกวียน ผู้คุ้มกันของจวนสกุลกู้ยี่สิบคน องครักษ์ของจวนกั๋วกงสิบคน และยังมีผู้คุ้มกันส่วนตัวของหลัวจิ่งอีกสิบคน รวมกันขึ้นมาแล้วมีสี่สิบกว่าคน ต่างพากันเดินมุ่งหน้าไปตลอดทางอย่างยิ่งใหญ่
ถนนทางการในฤดูหนาว อากาศเยือกเย็นและเงียบเหงา จึงมีผู้สัญจรบนถนนไม่มาก ขบวนม้าของพวกนางคนมากม้ามีสง่าเตะตาเป็อย่างยิ่ง คนที่เดินทางผ่าน พากันเหลียวมองตลอดทาง
ท้องฟ้ามีแสงอ่อนๆ ปรากฏขึ้นอย่างหาได้ยาก พวกนางเดินทางได้ราบรื่นมาตลอดทาง เร่งมาจนถึงอำเภอฉีหลินก็เป็เวลาพลบค่ำลงแล้ว
อำเภอฉีหลินเป็อำเภอใหญ่อำเภอหนึ่ง มีผู้คนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง
ขบวนรถของพวกนางเข้ามาในเมืองที่เป็ที่ตั้งอำเภอ ทำการหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดพักค้างแรม แต่คนในขบวนมีจำนวนมากเกินไป ห้องพักของโรงเตี๊ยมมีไม่พอ ด้วยเหตุนี้หัวหน้าองครักษ์เหยาเฮ่าหลานของจวนเจิ้นกั๋วกงจึงนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปหาโรงเตี๊ยมละแวกใกล้เคียงขึ้นโดยสมัครใจ
เร่งเดินทางมาทั้งวันเช่นนี้ ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยกันทั้งสิ้น หลังรับประทานอาหารเย็นกันแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เจินจูให้ผิงอันชำระล้างเศษฝุ่นดินบนตัวเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุย ส่วนตัวนางชะโงกศีรษะออกมาดูด้านนอก อยากไปเดินเล่นบริเวณโดยรอบสักหน่อย ตอนนี้ขบวนรถม้ามีอยู่สี่เกวียน ที่ว่างให้ใช้ได้มีไม่น้อย นางอยากออกไปดูว่าที่แห่งนี้มีของโดดเด่นอะไรให้พอซื้อกลับไปได้บ้าง
“หือ... เ้าจะไปไหน?”
เพิ่งเดินออกมานอกห้องได้สองก้าว เสียงทุ้มต่ำก็แว่วมาจากฝั่งตรงข้าม
เจินจูย่นจมูกส่งไปฝั่งตรงกันข้าม ช่างเถอะ ในเมื่อเขาเห็นเข้าแล้วก็ให้มาทำหน้าที่เป็ผู้คุ้มครองผุปผางามแล้วกัน
นางกวักมือเรียกเขา
หลัวจิ่งก้าวยาวๆ เข้ามาถึงในสามก้าวห้าก้าว
นางกะพริบตาอย่างงดงาม “ไปซื้อของเป็เพื่อนข้าได้หรือไม่”
ดวงตาคู่งามของหญิงสาวกะพริบถี่ หัวใจของหลัวจิ่งราวกับถูกขนนกปัดผ่าน ทั้งบางเบาทั้งอ่อนนุ่ม เขาพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิด
นางยิ้มอย่างสดใสหนึ่งที แล้วหมุนตัวเดินไปทางด้านนอกโรงเตี๊ยม
โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ใกล้กับถนนหลักของอำเภอฉีหลิน สองข้างทางถนนแขวนโคมสีแดงเข้มขึ้นสูง สะท้อนสีแดงไปทั่วทั้งถนน ร้านค้าสองข้างทางยังเปิดประตูต้อนรับนักเดินทางอยู่ไม่น้อย
เจินจูกับหลัวจิ่งเดินอยู่ข้างทางถนนอย่างเชื่องช้า
การเดินเคียงคู่กันของหนุ่มหล่อกับสาวงามมักดึงดูดสายตาของคนขึ้นเป็พิเศษ คนสัญจรทั้งสองฝั่งถนนพากันส่งสายตาตกตะลึงและอิจฉามองมา
“เ้าอยากซื้ออะไรหรือ?” เขาก้มศีรษะลงต่ำและถามด้วยเสียงอบอุ่น
“ไม่รู้สิ แค่อยากออกมาเดินเล่น นั่งรถม้ามาทั้งวันควรขยับตัวสักหน่อย” นางเงยหน้าส่งยิ้มไปทางเขา
“เอ๊ะ... เ้าสูงขึ้นอีกแล้วหรือ?”
เจินจูเทียบความสูงของสองคนขึ้น สัญชาตญาณได้บอกว่าเขาน่าจะสูงเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้ว
“อื้ม สูงขึ้นเล็กน้อย แขนเสื้อสั้นลงไปบ้างแล้ว”
หลัวจิ่งยื่นแขนเสื้อออกมาให้นางมอง แขนเสื้อปรากฏให้เห็น่ข้อมือเผยออกมา... สั้นลงไปจริงด้วย
ไอ๊หยา นี่จะทำอย่างไรดี งานเย็บปักของนางไม่ได้เื่ อยากจะช่วยเขาปรับแก้ไขแต่ก็ละอายเกินกว่าจะลงมือ เกรงว่าแก้ไปแล้วจะยิ่งดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมเ้าสูงขึ้นอีกแล้วล่ะ สูงขึ้นอีกก็จะกลายเป็เสาไฟฟ้าแล้วนะ”
เจินจูขมวดคิ้วทำมือวัดความสูง หลัวจิ่งน่าจะสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเิเได้ ส่วนนางน่าจะแค่หนึ่งร้อยหกสิบนิดๆ ไม่แปลกใจเลยที่นางต้องแหงนหน้าขึ้นสูงมองเขาอยู่ตลอด
“เสาไฟฟ้า?” หลัวจิ่งเลิกคิ้วขึ้น นั่นคืออะไรกัน? ทำไมนางมักเอ่ยคำบางคำที่เขาไม่รู้จักและไม่เข้าใจอยู่เรื่อยเลย
“เอ่อ... เหมือนลำต้นของต้นไม้ที่ใบร่วงลงไปเกือบหมดพวกนั้น สูงๆ ยาวๆ” เจินจูอธิบายขึ้นทันที
“เช่นนั้นควรเรียกเสาท่อนไม้สิ ทำไมถึงเป็เสาไฟฟ้าได้?” ผู้ที่เป็ดังเ้าหนูจำไมถามต่อ
“…”
หน้าผากเจินจูปรากฏเส้นดำสามเส้น
เมื่อเดินผ่านร้านขนมหวานร้านหนึ่ง นางจึงยกเท้าก้าวเข้าไปทันที
เกาเตี่ยนในร้านไม่เหมือนกับที่เอ้อโจวโดยสิ้นเชิง เจินจูมองอยู่หนึ่งรอบ ให้ลูกจ้างร้านห่อชนิดที่พบได้น้อยมาหลายๆ อย่าง เช่น หมีหมาฮวา [1] วานโต้วหวง [2] ซาฉีหม่า [3] จือมาซูเกา [4] กุ้ยฮวาเหนียนเกา...
เมื่อหลัวจิ่งจ่ายเงินเสร็จก็ยกเกาเตี่ยนกองพะเนินเดินออกจากร้าน
เจินจูหันกลับมามองเขาและเดินถอยหลังนำขึ้นไปสองก้าว มองเขาแล้วยิ้มแย้มไปทั่วทั้งใบหน้า... ความรู้สึกที่มีคนรับใช้นี่ดียิ่งนัก
ความเย้าหยอกเย้ยหยันในสายตานาง หลัวจิ่งเห็นมันอยู่ตลอด เขาส่ายหน้าอย่างขบขัน หญิงสาวผู้นี้บางครั้งก็สุขุมดูเติบใหญ่จนเหมือนผู้าุโที่ผ่านเื่ราวของโลกมามาก แต่บางครั้งก็บริสุทธิ์ซุกซนเหมือนเด็กวัยเยาว์อายุสิบปี
เจินจูหมุนตัวกลับ ขณะที่กำลังคิดจะเดินเล่นต่อ
จู่ๆ เงากายผอมเล็กร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตรอกด้านข้าง ชนเข้ากับเจินจูที่เพิ่งหมุนตัวกลับไป
“โอ๊ย”
หลังจากเงากายนั้นชนเข้ากับนาง ก็รีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วหลายก้าว ทั้งถอยไปพลางทั้งโค้งกายขออภัยไปพลาง “ขออภัยขอรับๆ”
หลัวจิ่งเดินเข้าไปข้างหน้าประคองนางไว้ทันที ดวงตาล้ำลึกหันไปกวาดมองเงากายผอมเล็กข้างหน้า “ไม่เป็ไรใช่ไหม?”
ในใจเจินจูเย็นเยียบขึ้น ยื่นมือขึ้นคลำบริเวณหน้าอกอย่างฉับไว จริงดังคาด กระเป๋าเงินของนางหายไปแล้ว
“ยู่เซิง รีบจับเขาไว้ เขาขโมยกระเป๋าเงินข้า”
ขณะที่เจินจูเอ่ยขึ้น ร่างนั้นได้ถอยออกไปไกลมากแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นยิ่งวิ่งเผ่นเข้าไปในตรอกหนึ่งทันที
“ด้านในมีของสำคัญหรือไม่?” จะให้ทิ้งนางไว้กลางถนนใหญ่คนเดียว เขาไม่สบายใจนัก
“อัญมณีที่พี่สาวสกุลโหยวมอบให้อยู่ในนั้น” เจินจูรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ทำไมนางถึงลืมเก็บกระเป๋าเงินเข้าในมิติช่องว่างนะ
หลัวจิ่งขมวดคิ้วแน่น และวางเกาเตี่ยนลงบนพื้น ยังดีที่ตรงนี้ห่างจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาอยู่ไม่ไกล
“เ้ากลับไปรอที่โรงเตี๊ยมก่อน”
ขณะกล่าวคนก็ก้าวพรวดออกไปในตรอกมืดแล้ว
เจินจูยกเกาเตี่ยนบนพื้นขึ้นมา พร้อมกับจ้องเขม็งไปทางตรอกด้วยความเดือดดาล หัวขโมยมีอยู่ทั่วทุกที่เลยจริงๆ
บนถนนมีคนสัญจรไม่กี่คนเห็นเข้า ต่างปรากฏสีหน้าเห็นใจขึ้น เมืองฉีหลินเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูทำให้โจรขโมยมีมากไปด้วย อีกอย่างมักพุ่งเป้าไปที่คนสัญจรและพ่อค้าหาบเร่ต่างถิ่นโดยเฉพาะ เมื่อถูกขโมยเช่นนี้ต่อให้ไปแจ้งกับทางการก็ไม่ช่วยอะไร
เจินจูยกของเดินไปยังทิศทางขามา และหันกลับไปมองอยู่เป็ระยะๆ หลัวจิ่งมีฝีมือติดกายน่าจะจับขโมยผู้นั้นได้อย่างรวดเร็วกระมัง
นางเดินผ่านหัวมุมแห่งหนึ่ง เดินไปอีกไม่ไกลก็จะเป็ที่ตั้งของโรงเตี๊ยมฝูเซิงที่พวกเขาหยุดค้างแรมแล้ว
ทันใดนั้นเสียงแทรกผ่านอากาศดังขึ้นข้างหูของเจินจู นางััได้ถึงอันตรายอย่างตื่นตระหนก ขณะที่กำลังคิดจะหันกลับไปก็รู้สึกว่าต้นคอเจ็บแปลบ... สติดับวูบ
‘ผลุบ’ เกาเตี่ยนหล่นกระจายลงบนพื้น
เงากายแข็งแรงร่างหนึ่งเข้ามาประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของนางอย่างฉับไว ทันทีหลังจากนั้นก็ประคองนางขึ้นรถม้าสีดำที่รออยู่ด้านข้างทันที
“เก็บของที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาให้หมด จะได้ไม่เปิดโปงจุดที่เกิดเหตุ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งบนรถม้ากล่าวอย่างไม่ร้อนรนใจ
“ขอรับ คุณชาย” หลังจากเงากายนั้นเก็บเกาเตี่ยนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแล้ว ก็รีบเคลื่อนเกวียนออกไปจากตรงนั้นทันที
เวลาไม่กี่ลมหายใจ เจินจูก็หายเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด
เชิงอรรถ
[1] หมีหมาฮวา คือ ขนมหวานทานเล่นที่พบเห็นได้บ่อยทางเหนือของจีน มีอีกชื่อหนึ่งว่าถังเอ่อร์ตัว (น้ำตาลรูปใบหู) เพราะมีรูปร่างคล้ายใบหูของคน จึงถูกตั้งเป็ชื่อนี้ ลักษณะของแป้งบิดเป็เกลียวและเอาไปทอด โดยมีการใส่น้ำผึ้งเข้าไปเป็ส่วนผสม
[2] วานโต้วหวง คือ ถั่วกวนที่ทำจากถั่วลันเตาเหลือง
[3] ซาฉีหม่า คือ ข้าวซอยตัด
[4] จือมาซูเกา คือ เค้กงา