ต้วนเสี่ยวโหลววิ่งมาขอร้องให้เกิ่งปิ่งซิ่วทำหน้าที่เป็พ่อสื่อสู่ขอสาวน้อยเป็ภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย ทว่าเขากลับอ้างหลายเหตุผล เช่น “การไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาเป็เื่ไม่เหมาะสม” “ควรแต่งงานกับสตรีที่มีฐานะคู่ควร” หรือ “ควรพิจารณาอย่างละเอียดเกี่ยวกับการแต่งงาน” อันที่จริงเขาเพียงกลัวว่าจะได้เห็นแววตาคู่นั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามันเป็ภาพลวงตาหรือไม่ หลังเขาเห็นฉากในตรอกด้านหลังของห้องครัวก็นึกถึงครั้งสุดท้ายที่แม่ชีไท่ซั่นขอให้เหอตังกุยตอบคำถามเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ ตอนนั้นสายตาของนางเ็าราวกำลังตัดสินบางอย่างกับเขา
หลังเดินทางกลับเมืองหลวง ต้วนเสี่ยวโหลวที่ล้มเหลวในการสู่ขอครั้งที่แล้วได้ยินว่าตนจะไปทำงานที่เมืองหยางโจวอีกครั้ง จึงขอให้ตนทำหน้าที่เป็พ่อสื่อเจรจาสู่ขอกับตระกูลหลัว ครานี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเห็นด้วย
เมื่อมาถึงเมืองหยางโจว นอกจากจัดการคดีทุจริตของเว่ยหงผู้ว่าการเมืองหยางโจวแล้ว เขายังต้องทำหน้าที่เป็พ่อสื่อสู่ขอสาวน้อยผู้นี้ให้ต้วนเสี่ยวโหลว เขาสงสัยมาตลอดว่าเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นอาจไม่มีกำลังภายในสูงส่ง ไม่มีดวงตาเฉียบคมเช่นที่เคยเห็นในวัดสุ่ยซัง ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากจินตนาการของเขาทั้งสิ้น ตราบใดที่เขาได้พบนางอีกครั้งก็จะพบว่านางเป็เพียงเด็กสาวธรรมดาที่เฉลียวฉลาดเท่านั้น
ครั้งนี้เขาไปเพียงคนเดียวในชุดธรรมดาแต่กลับได้รับาเ็สาหัสจากเด็กหนุ่มสวมหน้ากากสีเงิน เขาจึงหนีเข้าถ้ำในป่าไผ่ขมของจวนตระกูลหลัว คิดไม่ถึงว่าคืนนั้นวิชาเหมียวชื่อจะกัดกินเส้นลมปราณ ทั้งยังทำให้เขาเ็ปมากถึงขั้นต้องวิ่งไปดูดเืองครักษ์จวนตระกูลหลัวและหมูหริ่งอีกหนึ่งตัว อาการจึงดีขึ้นเล็กน้อย เขาคิดว่าเนี่ยชุนจะมาหาแล้วนำตัวเขาส่งทางการ กระทั่งลงมือสังหารเขาอย่างโเี้ เขาจึงทำกับดักในถ้ำล่วงหน้า ทุกสิ่งเป็จริงดังคาด เนี่ยชุนมาหาเขา ทว่าสิ่งแรกที่เขาคือวางศักดิ์ศรีทั้งหมดแล้วขอร้องให้เนี่ยชุนไว้ชีวิตพลางพูดถึงความสัมพันธ์ในอดีตที่เคยมีร่วมกัน จากนั้นก็เข้าโจมตีทันทีในขณะที่เนี่ยชุนไม่ทันระวัง ก่อนปล่อยกับดักในถ้ำเพื่อฆ่าเนี่ยชุน อย่างไรก็ตาม อาการาเ็ของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แม้เนี่ยชุนจะใช้ลูกศรพิษแทงแขนขวาของเขาได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเขาก็หนีออกมาได้
เกิ่งปิ่งซิ่วเดาว่ากองทหารปิดล้อมจวนตระกูลหลัวเพื่อจับตัวเขา ต้องเป็เนี่ยชุนที่ใช้วิธีการบางอย่างปลุกปั่นทหารทางการจนพวกเขาเชื่อว่าฆาตกรอันดับหนึ่งของราชสำนักซ่อนตัวในจวนตระกูลหลัว จึงปิดล้อมตระกูลหลัวอย่างเอิกเกริก เกิ่งปิ่งซิ่วอยากหนีออกจากจวนตระกูลหลัวยิ่งนักแต่วิชาเหมียวชื่อยังคงกัดกินชีพอย่างต่อเนื่อง พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นเป็ครั้งคราวก่อนจะอ่อนแอลง ในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นนี้เป็เื่ยากที่จะหลบหนีจากจวนตระกูลหลัวได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ปะทะกองทหาร เขาจึงคิดจับตัวคนสำคัญเป็ตัวประกัน บังคับให้ทหารเ่าั้ถอนกำลังออกจากจวนเพื่อหลีกทางให้เขาหนี เหล่าไท่จวินตกเป็เป้าหมายอันดับหนึ่งเพราะนางเป็ผู้าุโ มีตำแหน่งที่สูงส่ง ทั้งยังอ่อนแอ
หลังต้วนเสี่ยวโหลว เมิ่งชานและคนอื่น ๆ ออกจากห้องโถงใหญ่ เขาก็หาโอกาสเหมาะเจาะปีนเข้าทางหน้าต่าง จนกระทั่งสามารถจับเป้าหมายได้สำเร็จ ขณะนี้สาวน้อยแซ่เหอผู้นั้นก็อยู่เบื้องหน้าเขาด้วย นางจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีดำขลับพลางเอ่ยเกลี้ยกล่อม “หากเ้าบอกข้าว่าเ้าหยิบหน้ากากนี้มาจากที่ใด ข้าจะบอกเ้าว่าจะออกจากจวนตระกูลหลัวอย่างปลอดภัยได้อย่างไร”
เกิ่งปิ่งซิ่วรู้สึกว่าหญิงสาวมองเห็นแผนการในใจของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเสียจนเขาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้อีก นางเป็เพียงเด็กหญิงตัวเล็กแสนอ่อนแอที่สามารถสังหารได้ง่าย ๆ แต่เหตุใดใจของเขาจึงหวาดกลัวเช่นนี้? เขาควรเชื่อวิธีการ “ออกจากตระกูลหลัวได้อย่างปลอดภัย” ที่นางว่าหรือไม่? หรือควรจะฆ่านางเสียแต่ตอนนี้ ฆ่าความหวาดกลัวที่ไม่มีวันจบสิ้นไปจากใจ? เหตุใดเขาต้องเชื่อแผนการของนาง หากเขาจับเหล่าไท่จวินเป็ตัวประกันก็สามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน ใช่ เขาควรฆ่านางก่อนที่จะสายเกินไป
เหล่าไท่ไท่ััได้ว่าชายสวมหน้ากากแผ่รัศมีสังหารอย่างแรงกล้า พลันะโเสียงดัง “เสี่ยวอี้ถอยกลับไป” สถานการณ์ขณะนี้อันตรายนัก หากตายน้อยลงสักหนึ่งคนจะเป็การดีกว่า หากหลานสาวคนโปรดของหลัวตู้จ้งตาย นางก็คงไม่มีหน้าไปพบตาแก่ผู้นั้น
เมิ่งเซวียนได้ยินดังนั้นก็ผลักเผิงเจี้ยนที่กำลังหรี่ตามองตนออกไปทันที เมื่อเขาเห็นรัศมีบนฝ่ามือซ้ายของชายสวมหน้ากากกะพริบแผ่ขยายก็ใทันที เห็นได้ชัดว่านั่นคือการรวบรวมพลังเพื่อสังหารคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เหตุใดต้องลงมือกับเด็กสาวตัวเล็กถึงเพียงนี้?
เมิ่งเซวียนยืนฝั่งซ้ายของสาวน้อยผู้นั้นด้วยท่าทีลังเล เขาควรช่วยนางหรือไม่? หากต้องเข้าไปรับมือ เขาอาจใช้พลังถึงแปดส่วน ทว่าตอนนี้เขาพยายามซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ หากไม่สวมหน้ากากสีเงินบนใบหน้าก็จะไม่มีวันแสดงพลังที่แท้จริงเด็ดขาด เมื่อปีที่แล้วเขาใช้พลังเพียงสองส่วนเพื่อช่วยเด็กวัยหัดเดินที่จะถูกม้าเหยียบ ทำให้พ่อของเขาประหลาดใจมาก ด้วยคิดว่าเขามีพร์ในการฝึกวรยุทธ์จึงปล่อยให้เขาเข้าสนามรบเพื่อฝึกฝนจนกลายเป็แม่ทัพหนุ่ม ด้วยเหตุนี้เมิ่งเสียนพี่ชายต่างแม่จึงอิจฉาและเกลียดชังเขา ทั้งยังพยายามต่อสู้กับเขาหลายครั้ง...
ในจวนตระกูลหลัวขณะนี้ไม่ได้มีเพียงพ่อของเขาเท่านั้น ยังมีต้วนเสี่ยวโหลวหนึ่งในองครักษ์จิ่นอีเว่ยอยู่ที่นี่ด้วย เฟิงหยางและหนิงยวนคู่นั้นก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ตอนนี้เขาเป็เพียงเด็กชายอายุสิบเอ็ดปี หากแสดงพลังที่แท้จริงรับมือกับพลังเหมียวชื่อแสนชั่วร้าย...เขาแทบไม่อยากคิดถึงผลที่ตามมา แต่หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เด็กสาวผู้ชาญฉลาดด้านหมากรุกก็จะต้องตาย แม้กระทั่งศพก็ยังไม่ครบชิ้น เขาจะยืนดูเด็กสาวไร้เดียงสาถูกสังหารต่อหน้าต่อตาหรือ?
เหล่าไท่ไท่ เมิ่งเซวียนและคนอื่นต่างก็ััได้ถึงไอสังหารของชายสวมหน้ากาก เหอตังกุยไม่รู้ว่าตนตกเป็เป้าหมายของชายผู้นั้นได้อย่างไร?
เหอตังกุยจ้องมองชายสวมหน้ากากพลันััได้ว่าจุดไท่หยางตรงขมับของนางคล้ายถูกทิ่มแทงเล็กน้อย จึงรู้ทันทีว่ารัศมีบนฝ่ามืออีกฝ่ายคือพลังสูงสุดของเขา การโจมตีเช่นนั้นรุนแรงกว่าม้าเหยียบหน้าอกหลายสิบเท่า แน่นอนว่าอาศัยเพียงลมปราณเจินชี่ที่ช่วยปกป้องร่างกายก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้ ช่างแปลกประหลาดนัก ถึงขั้นต้องใช้พลังสูงสุดเพื่อโจมตีเด็กสาวผู้อ่อนแอเชียวหรือ? เป็จริงดังคาด ชายแข็งแกร่งที่สามารถฉีกนกด้วยมือเปล่าได้ย่อมมีความคิดไม่เหมือนคนปกติ ข้อนี้ก็พอเข้าใจได้
“ฮ่า ๆ ” เหอตังกุยหัวเราะเผยให้เห็นฟันสีขาว ทำให้เมิ่งเซวียนและเหล่าไท่ไท่กังวลไม่น้อย นางกล่าว “ฟังให้ดีผู้ยอดยุทธ์สวมหน้ากาก เ้าไม่อยากได้ยินแผนการของข้าก่อนลงมือหรือ? มันอาจเป็ประโยชน์กับเ้า อย่างน้อยก็เหมือนคำกล่าวที่ว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว” ฟังข้าสักหน่อยก็ไม่เสียหายใช่หรือไม่”
เกิ่งปิ่งซิ่วคิดในใจ ‘ใช่ ข้าสามารถฟังแผนการของนางก่อนลงมือสังหารได้ บางทีสาวน้อยเฉลียวฉลาดผู้นี้อาจมีแผนการดี ๆ ’ เขาจึงดึงพลังกลับพลางพยักหน้าเอ่ย “เอาล่ะ เ้าพูดมา”
เหล่าไท่ไท่และเมิ่งเซวียนโล่งใจไม่น้อย ทว่าไม่นานก็ได้ยินเหอตังกุยเอ่ยอย่างไม่กลัวตาย “อ๊ะ? แต่ เ้าต้องบอกข้าก่อนว่าเ้าได้หน้ากากมาจากที่ใด แล้วข้าจะบอกแผนการให้เ้าฟัง เอาล่ะ เ้าพูดก่อน ห้ามโกหกเด็ดขาด” เหล่าไท่ไท่และเมิ่งเซวียนได้ยินก็แอบสบถด่าในใจ “เฮ้ย ๆ สาวน้อย เ้าอายุเพียงสิบปีเท่านั้น ไม่อยากโตกว่านี้หรืออย่างไร?
เกิ่งปิ่งซิ่วสับสนไม่น้อย เหตุใดนางจึงสนใจหน้ากากของเขานัก? หรือหน้ากากนี้มีความลับซ่อนอยู่? อย่างไรหน้ากากก็อยู่ในมือของเขาแล้ว ค่อยสืบหาเื่นี้ภายหลังก็ได้ เขาจึงเอ่ยตอบตามจริง “ข้าหยิบมันขึ้นมาจากพื้นดิน”
“หยิบขึ้นมาจากพื้นดิน?” เหอตังกุยขมวดคิ้ว “เ้าคงไม่โกหกข้ากระมัง?”
เกิ่งปิ่งซิ่วถามกลับ “ข้ามีความจำเป็อันใดต้องโกหกเ้า?” จำเป็หรือไม่ที่ข้าต้องโกหกสตรีที่กำลังจะตายเช่นเ้า?
เหอตังกุยถามต่ออย่างไม่วางใจ “เ้าเก็บมันได้อย่างไร?”
เกิ่งปิ่งซิ่วตอบด้วยความหงุดหงิด “มันอยู่บนทางเดินของสวนดอกไม้ในจวนตระกูลหลัว เมื่อข้าเจอมันก็โน้มตัวลงเก็บเท่านั้น เอาล่ะ ตอนนี้เ้าบอกแผนการดี ๆ ของเ้าได้แล้ว” เหล่าไท่ไท่และเมิ่งเซวียนได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจมิน้อย ปีศาจตนนี้ไม่เพียงตอบทุกคำถามของสาวน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ซ้ำยังถามหา “แผนการดี ๆ ” จากนางอีกด้วย หัวเขาคงไม่ได้กระทบกระเทือนกระมัง?
เหอตังกุยลดศีรษะพลางไตร่ตรอง เขาไม่มีความจำเป็ต้องโกหกนางจริง ๆ ในเมื่อเขากล้าจับเหล่าไท่ไท่เป็ตัวประกัน เหตุใดจะไม่กล้ายอมรับในสิ่งที่เขาทำเล่า? เรือนเถาเหยาถูกล้อมรอบด้วยเส้นทางของดอกไม้ เป็สถานที่ที่ตรงกับคำพูดของเขา แต่เหตุใดหน้ากากที่แขวนในห้องของนางถึงอยู่ที่นั่นได้? ขณะเดียวกันชายสวมหน้ากากก็มีท่าทีราวอดทนรอฟัง “แผนการดี ๆ ” ของนางไม่ไหว มีสองสาเหตุที่เป็ไปได้ ประการแรกคือเขาเป็คนถ่อมตัวและชอบเรียนรู้จึงเอ่ยถามโดยไม่อาย ประการที่สองคือ…เขารู้จักนางและรู้ว่านางมีความสามารถไม่น้อย
เมื่อเหอตังกุยคิดได้เช่นนั้นจึงเดินไปหาชายสวมหน้ากากและเหล่าไท่ไท่... “หยุดตรงนั้น” เหล่าไท่ไท่ เมิ่งเซวียนและเกิ่งปิ่งซิ่วต่างร้องะโพร้อมเพรียงกัน
“หยุด” เกิ่งปิ่งซิ่วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เ้าจะเดินเข้ามาทำไม?”
เหอตังกุยเอ่ยด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “เ้าไม่อยากรู้แผนการของข้าหรือ? ข้าต้องกระซิบข้างหูเ้า มิเช่นนั้นทุกคนจะได้ยินกันหมด” นางชี้เมิ่งเซวียน เผิงสือและเผิงเจี้ยนที่ยังคงระมัดระวังตัว “หากเป็เช่นนั้น แผนการของข้าก็ไม่ได้ผลสิ” เกิ่งปิ่งซิ่วเชิดคางพลางจะเอ่ยบางอย่าง แต่กลับถูกเหอตังกุยพูดขัด “นี่ หากเ้าคิดจะไล่พวกเขาออกจากห้องโถงซินหรงก็ถือว่าคิดผิดมหันต์ พวกเขาทั้งสามฉลาดมาก หากออกไปได้ อาจหารืออุบายบางอย่างเพื่อจัดการกับเ้าเป็แน่ ดังนั้นเ้าควรเฝ้าดูพวกเขาไม่ให้คลาดสายตาจะดีกว่า”
หากเป็เมื่อก่อน เกิ่งปิ่งซิ่วไม่มีทางใส่ใจพวกเด็กหัวขนเหล่านี้ แต่เพราะเขาเคยประสบเหตุการณ์ถูกลอบสังหารโดยเด็กหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินจึงไม่กล้าวางใจง่าย ๆ อีก ไม่ผิด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ออกจากห้องโถงนี้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาอาจออกไปหารือเกี่ยวกับแผนการรับมือและส่งข่าวอย่างลับ ๆ ทว่าเขาก็ไม่้าให้เด็กหญิงผู้นั้นเข้าใกล้ เพียงได้เห็นดวงตาสดใสและท่าทางอดใจรอจะเดินเข้ามาใกล้ไม่ได้ เขาก็มักรู้สึกว่านางกำลังคิดแผนการชั่วร้ายเพื่อทำร้ายเขาเสมอ
เหอตังกุยยิ้มอย่างไร้เดียงสาพลางพูดตะล่อม “ผู้ยอดยุทธ์ เ้ามีกำลังภายในแกร่งกล้า ข้าไม่มีแม้แต่วรยุทธ์จะทำร้ายผู้ใด ให้ข้าเข้าไปพูดใกล้ ๆ จะดีกว่า หากเ้าไม่พอใจแผนการของข้า เช่นนั้น...ก็สามารถจัดการข้าได้ตามใจชอบ”
เกิ่งปิ่งซิ่วไตร่ตรองโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรก็ยังน่าสงสัย เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นการกระทำและคำพูดของหลานสาวจึงคิดว่าเหอตังกุยจะเข้ามาช่วยเหลือตนแน่นอน นางซาบซึ้งใจยิ่งนักพลันคิดว่านางเป็ต้นเหตุของเื่นี้จึงอยากตายเสียให้มันจบไป พลางบอกใบ้เหอตังกุยตลอดเวลาว่าไม่ต้องเดินเข้ามา เมื่อเมิ่งเซวียนเห็นปีศาจที่ฝึกฝนวิชาเหมียวชื่อหวาดระแวงสาวน้อยตัวเล็กมาก จึงคาดเดาความเป็ไปได้ในทุกวิธีอย่างอดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เริ่มสนใจสาวน้อยผู้นี้มากขึ้น เผิงสือดึงแขนน้องชายแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำเื่โง่ ๆ ขณะเดียวกันก็พูดซ้ำคำเดิมข้างหูน้องชาย ด้านคุณหนูใหญ่หลัวไป๋อิ่งนั้นยืนข้างกำแพงพร้อมกลุ่มสาวใช้และมามา คอยสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้วยความกระวนกระวาย หากสาวใช้ที่ตัวสั่นด้วยความกลัวหันกลับไปพิจารณาหลัวไป๋อิ่ง พวกนางก็จะต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าดวงตาดอกท้อของคุณหนูใหญ่ที่ชอบมองดูพื้นที่ว่างเปล่าแสนไกล ยามนี้กลับมองคนอื่นได้ตามปกติ
ขณะทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบไม่ไหวติง หลัวไป๋ฉยงที่เดินไปทำธุระส่วนตัวในห้องโถงด้านข้างก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ััถึงบรรยากาศตึงเครียดได้ ดูจากท่าทางของหลัวไป๋อิ่งและคนรับใช้ที่หดหัว เช่นเดียวกับชายสวมหน้ากากผู้น่ากลัวที่กำลังจับลำคอเหล่าไท่ไท่... “กรี๊ด!!” หลัวไป๋ฉยงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
เกิ่งปิงซิ่วยกมือปัดโต๊ะที่ใกล้ที่สุดพลันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “หุบปาก”
หลัวไป๋ฉยงหุบปากทันที ขณะเดียวกันก็นั่งบนพื้นด้วยความใจนเกิดเสียงดัง “แกรก” เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดจึงน่ากลัวเช่นนี้ หากนางรู้เื่นี้แต่แรกคงจะอยู่ในห้องโถงข้างกับกวนไป๋และกวนอวิน ก่อนกลับจากไปห้องน้ำพร้อมสองพี่น้องตระกูลกวน พวกเขาบอกว่าเวียนหัวเพราะฤทธิ์เหล้าจึงอยากไปพักผ่อนที่ห้องโถงข้างก่อนกลับ นางจึงเดินผ่านทางเดินมืดมิดมายังห้องโถงซินหรงเพียงคนเดียว ชายสวมหน้ากากผู้นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ใครพอจะช่วยนางได้บ้าง?
“เหล่าไท่ไท่ ชาซานจาและอุปกรณ์ชงชาของคุณหนูสามมาแล้วเ้าค่ะ” กานเฉ่าในชุดสีเหลืองโน้มตัวผลักรถลากเข้าห้องโถง พลันเงยหน้ามองก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บ่าวยังนำ...อ๊ะ” กานเฉ่าใเหตุการณ์น่าหวาดกลัวในห้องโถงเช่นเดียวกัน เหล่าไท่ไท่ถูกชายสวมหน้ากากบีบคอ ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เกิ่งปิ่งซิ่วแค่นเสียงเ็าขึ้นจมูกด้วยความรำคาญ พวกนางเสียงดังเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ผู้นั้นเดินเข้ามาทางประตูหลัก ระยะห่างจึงเกินกว่าระยะลงมือ มิเช่นนั้นเขาคงใช้ฝ่ามือะเิตัวนางไปแล้ว
เมื่อได้เห็นทักษะแยกโต๊ะแตกเป็เสี่ยงของชายสวมหน้ากากผู้น่าอัศจรรย์ หลัวไป๋อิ่ง สาวใช้และมามาต่างก็ตกตะลึง หากไม่ช่วยประคับประคองกันไว้ พวกนางอาจต้องนั่งกองกับพื้นเหมือนหลัวไป๋ฉยง ยามนี้มีเพียงเหอตังกุยและเมิ่งเซวียนที่สงบสติได้ ขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองตาไม่กะพริบ เด็กสาวผู้นี้เป็ใครกันแน่? หรือนางไม่ใช่มนุษย์? นางไม่รู้ว่าความตายคืออะไรหรือ? หรือนางเคยผ่านความตายแล้วครั้งหนึ่ง? เมื่อเคยััความตายอย่างลึกซึ้งจึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องหวาดกลัว
“ข้าอยากดื่มชา” เหล่าไท่ไท่มองหลัวไป๋อิ่งพลางเอ่ย “เสียวอิ่ง ไปชงชาให้ข้าที”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้