ผ่านความวุ่นวายมาหลายวัน ในที่สุดจางจ้าวฉือก็จัดการเื่ราวในเรือนจนเสร็จเรียบร้อย
ถึงแม้ป้าจ้าวจะรับเงินเดือนจากสำนักงานด้านหน้า แต่จางจ้าวฉือก็ยังจ่ายเงินเดือนให้นางเพิ่มอีก เป้าหมายในการจ่ายเงินเดือนยอดนี้ก็เพื่อให้ป้าจ้าวสามารถชี้นำคนที่นางจ้างมาให้ทำงานออกมาดี อีกทั้งจางจ้าวฉือยังได้มอบหน้าที่จัดการเื่ของที่จะต้องซื้อเข้าเรือนให้กับนาง เื่นี้ทำให้ป้าจ้าวรู้สึกซาบซึ้งใจต่อจางจ้าวฉือมาก
ยังไม่พูดถึงของที่ว่าจะต้องซื้อมาจำนวนมากเพียงใด แต่เ้านายมอบเื่สำคัญเช่นนี้ให้กับตนเอง นั่นถือว่าเป็การให้เกียรติ ได้ยินมาว่าั้แ่ครอบครัวสวี่ออกมาจากจวนเดิม อีกทั้งเพิ่งจะเป็จิ้นซื่อ [1] ทว่าอีกฝ่ายกลับให้เกียรตินางมากถึงเพียงนี้ เื่นี้ทำให้ป้าจ้าวมีความรู้สึกได้รับความเชื่อใจเป็อย่างมาก
ถึงแม้จางจ้าวฉือจะเรียนแพทย์มา แต่สำหรับการบริหารจัดการนั้นก็ถือว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แม้จะเคยเห็นผ่านตามาบ้าง การแบ่งหน้าที่ มอบหมายหน้าที่ว่าผู้ใดรับผิดชอบส่วนใด ตรงไหนเกิดปัญหาจำเป็ต้องทำอย่างไร จำเป็ต้องให้ผู้ใดรับผิดชอบ นางพูดคุยเื่นี้กับป้าจ้าวจนชัดเจน อีกทั้งตอนที่จ้างคนใหม่เข้ามาในจวนก็ต้องมีการทำสัญญาประทับลายนิ้วมือ นี่คือการทำสัญญาอย่างหนึ่งของพวกนาง ในเมื่อพวกนางได้รับเงินเดือนแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำงานให้คุ้มกับเงินที่ได้รับ และอย่างน้อยที่สุดต้องมีความซื่อสัตย์ด้วย
สำหรับการชื่นชมของฮูหยินผู้พิพากษาท้องถิ่น ทำให้ความกระตือรือร้นในการทำงานของป้าจ้าวเพิ่มขึ้น อีกทั้งเพิ่มความรู้สึกภักดีต่อเ้านายให้รุนแรงมากขึ้นด้วย นางจึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการดูแลแม่ครัวในเรือน สาวใช้ที่คอยช่วยแม่ครัว และสาวใช้ที่รับผิดชอบต้มน้ำอาบอีกสองคนเป็อย่างดี
แม่นมลู่จับตาดูการบริหารจัดการภายในจวนของจางจ้าวฉืออยู่ตลอด เมื่อเห็นว่านางยกเื่นี้ไปให้ป้าจ้าวรับผิดชอบ ส่วนตนเองน่ะหรือ ก็เพียงแค่จดบันทึกบัญชีในตอนที่ป้าจ้าวมารายงานก่อนมื้ออาหารกลางวันในทุกๆ วันเท่านั้น เพียงสอบถามเื่ราวภายในเรือนต่างๆ นอกจากนี้ก็ไม่ได้ทำอันใดแล้ว แม่นมลู่รู้สึกว่าจางจ้าวฉือนั้นหละหลวมเกินไป เหตุใดถึงได้ปล่อยให้ลูกน้องสบายเช่นนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้พวกนางมารายงานแก่เ้านายให้เป็ทางการกว่านี้สิ
สวี่เหราซึ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ เพราะมิรู้ว่าไฟทั้งสามจะเริ่มต้นจุดเพื่อทำอาหารจากตรงไหน ดังนั้นจึงไปสั่งไข่กินที่สำนักงานเงียบๆ ทุกวัน ความจริงแล้วเขตเหอซีเป็สถานที่พิเศษ เป็เมืองใหม่ ดังนั้นความสัมพันธ์ต่างๆ จึงไม่เกี่ยวพันกันวุ่นวายเหมือนกับที่อื่น และเพราะอยู่ในจุดค่ายทหารของแคว้นนี้ หลายครั้งจะต้องฟังคำสั่งของจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ นี่
ถึงแม้จวนจะเล็ก แต่ของที่ควรจะมีก็มีครบถ้วนไม่น้อย นอกจากสวี่เหราที่เป็ผู้พิพากษาแห่งนี้แล้ว ยังมี เซียงเฉิง จู่ปู้ เตี้ยนซื่อ [2] และคนงานอีกหกคน ทั้งยังมีผู้ที่ทำงานอยู่ด้านนอกสามกะ ผู้พิพากษาเขตเล็กๆ นี้ยังต้องเลี้ยงคนอีกเป็จำนวนมาก
คนพวกนี้บางคนถึงแม้จะได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก แต่บางครั้งก็ต้องหารายได้ค่ากระดาษ พู่กัน ค่าคัดแบบ ค่าอาหารเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆเพื่อดำรงชีวิต
สวี่เหราปฏิบัติกับลูกน้องที่ติดตามตนเองโดยไม่สนใจว่าแต่เดิมพวกเขาเคยทำงานใดมา และไม่สนใจว่าผู้ใดเป็คนของใครที่ส่งมาเป็อุปสรรคหรือส่งเข้ามาสอดแนมหรือไม่ ขอแค่ติดตามเขา เช่นนั้นก็เป็คนที่เขาจำเป็ต้องดูแลปกป้อง นับเป็คนที่เขาต้องรับผิดชอบ เฮ้อ นี่ล้วนแต่เป็ความกดดันทั้งนั้น
ตอนกลางคืนสวี่เหรากลับมาทานข้าวที่เรือน ก็ได้พูดถึงเื่พวกนี้ให้คนในครอบครัวฟัง
บนโต๊ะอาหารของครอบครัวสวี่มิได้ห้ามให้สนทนากันเสียทีเดียว ยามทานข้าว นอกจากครอบครัวสวี่ทั้งสี่คนแล้ว ก็ยังดึงดันลากแม่นมลู่เข้ามานั่งทานด้วยกัน ในคราแรกแม่นมลู่ไม่ยอม จางจ้าวฉือก็อ้างว่าต่อไปจะเลี้ยงดูแม่นมลู่ยามแก่เฒ่า นี่เป็กฎของสกุลสวี่ ต่อไปยังหวังว่าแม่นมลู่จะสามารถคุ้นชินกับกฎของสกุลสวี่นี้อีกด้วย
หลังจากสวี่เหราพูดถึงความกดดันของตนเองออกมา สวี่ตี้ก็เอ่ย “ท่านพ่อ ก็แค่เื่เงินมิใช่หรือขอรับ ขอแค่ท่านมีความสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของที่นี่ให้ดียิ่งขึ้น ยังจะต้องกังวลว่าคนพวกนี้จะไม่สามารถหาเงินได้อีกหรือขอรับ?”
สวี่เหราถอนหายใจ “ที่ลูกคิดน่ะมันง่ายแต่เวลาทำจริงนั้นมันยาก ลูกรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหน? ไหนพูดกับพ่อสิว่าในเมืองชายแดนเล็กๆ แห่งนี้พ่อจะพัฒนาสิ่งใดได้?”
สวี่ตี้เอ่ยตอบบิดา “พัฒนาการค้าชายแดนอย่างไรเล่าขอรับ ที่นี่ก็มีตลาดแลกเปลี่ยนอยู่แล้วมิใช่หรือ? สองวันมานี้ข้าได้ไปสอบถามมาแล้ว ตลาดแลกเปลี่ยนนั้นราชสำนักเป็ผู้ดูแลก็จริง แต่หลายปีมานี้ค่อนข้างจะซบเซา พวกเราติดต่อกับร้านค้าใหญ่ๆ ภายในอาณาเขต ให้พวกเขานำสินค้ามา จากนั้นพวกเราก็นำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับพวกนอกด่าน ไม่ว่าจะเป็วัวเอย แพะเอย แล้วก็ม้า พวกนี้ล้วนเป็เงินทั้งสิ้น”
สวี่เหราเอ่ย “พวกเราพูดกันที่นี่ก็ง่ายน่ะสิ ยังต้องค่อยๆ คำนวนให้ถี่ถ้วนถึงจะดี”
จางจ้าวฉือเอ่ยขึ้น”สามารถพัฒนาการเพาะปลูกได้ ที่นี่นอกจากข้าวธัญญาพืชแล้ว หากอยากจะกินข้าวขาวก็ต้องจ่ายเงินราคาสูงซื้อมา พวกเราให้คนไปหาเกษตรกรที่ปลูกพืชของที่นี่หรือเมล็ดพันธุ์ผักมา ปลูกให้หลากหลายขึ้นหน่อย อาหารบนโต๊ะของพวกเราจะได้อุดมสมบูรณ์ขึ้นอีก”
แม่นมลู่ฟังสองสามีภรรยาถกเถียงกันเื่การเมืองด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ สวี่จือคิดได้ว่าตอนที่ไปหลิงหนานเคยเห็นมันฝรั่งและข้าวโพด จึงพูดขึ้นว่า“ที่นี่ไม่มีมันฝรั่ง และไม่มีข้าวโพดเ้าค่ะ”
ไม่ใช่แค่ที่นี่เท่านั้น แม้แต่ในอาณาเขตของต้าเหลียงล้วนไม่เห็นร่องรอยของทั้งสองอย่างนี้ ยังมีมันเทศ และพวกพืชพันธุ์ที่นำกลับมาจากต่างแดนอีก
สวี่เหราพูดออกมาด้วยความปวดหัว “จ้าวฉือเอ๋ย ทางด้านพ่อตาหลายปีมานี้ยังไม่มีข่าวคราวเลยหรือ? หลายปีก่อนพวกเขาออกทะเลอยู่ตลอด ดูสิว่าสามารถนำเมล็ดพันธุ์กลับมาได้หรือไม่”
จางจ้าวฉือตอบ “ไอ๊หยา ยังมีพริกด้วย เช่นนั้นจะต้องไปสอบถามเสียหน่อยแล้ว”
เื่พวกนี้แม่นมลู่ล้วนไม่เข้าใจ แต่นางรู้สึกว่าฮูหยินในจวนผู้หนึ่ง มายุ่งเื่ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง แม่นมลู่จึงคิดว่าจะต้องหาเวลาพูดแนะนำจางจ้าวฉือแบบอ้อมๆ เสียหน่อย เื่นี้หากฝ่ายตรวจการทั่วไปรู้เข้า คงจะต้องตรวจสอบสวี่เหราอีกเป็แน่
สวี่เหรามาอยู่ที่เมืองนี้ได้หลายวันแล้ว ส่วนใหญ่จะนั่งอยู่ในสำนักงาน ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของเขตเหอซี รวมถึงอำเภอเล็กๆ ที่อยู่ภายในเขต ว่ามีกี่หมู่บ้าน มีคนเท่าใด รวมไปถึงเส้นทางูเาและเส้นทางน้ำไหลในเมือง รวมถึงพื้นที่ทั้งหมด
ผ่านไปหลายวัน ก็มีกลุ่มคนขี่ม้ามุ่งตรงมาที่สำนักงานเขต คนที่เดินทางมาถึงแนะนำตัวเองกับสวี่เหรา บอกว่าเป็ลูกน้องของจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อ มาเชิญใต้เท้าสวี่รวมถึงคนในครอบครัวไปเป็แขกของจวนแม่ทัพ
สวี่เหรารู้ว่าที่ซื่อจื่อเชิญครอบครัวของตนเองไป คงจะเพื่อขอบคุณที่ตอนแรกจางจ้าวฉือได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้จึงมิได้ใส่ใจมากนัก หลังจากกลับมาถึงจวนก็บอกเื่นี้ให้จางจ้าวฉือรับทราบ ให้นางพาลูกชายลูกสาวเตรียมตัวให้พร้อม อีกเดี๋ยวจะมีรถม้ามารอรับ
ทางตอนเหนือไม่ไกลจากเขตเหอซีเป็อาคารบ้านเรือนแถบหนึ่ง ด้านในนี้เป็สถานที่ของครอบครัวนายทหารที่คอยคุ้มครองด่านเยี่ยนเหมิน และมีประชาชนด้านในเขตของเหอซีปะปนอยู่ด้วยเช่นกัน ส่วนมากเป็ครอบครัวที่มาสร้างบ้านเรือนอยู่ที่นี่
อาคารที่พักแถบนี้อยู่มาหลายปีแล้ว หลังจากสร้างแคว้นต้าเหลียงก็นำสถานที่นี้มาบำรุงซ่อมแซมสร้างบ้านเรือน และอนุญาตใหเหล่าแม่ทัพรับภรรยาและบุตรจากบ้านเดิมมาพักด้วยได้ เพราะเหตุนี้ ความจริงแล้วที่นี่กับเขตเหอซีจึงครึกครื้นไม่ต่างกันมากนัก
จางจ้าวฉือมองทิวทัศน์ด้านนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเอ่ยกับสวี่เหรา “ที่นี่พอเทียบกับในเขตเมืองเหอซีก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ ข้าเห็นว่าทั้งสองที่นี้ก็ห่างกันไม่มาก เช่นนั้นเ้าพูดกับซื่อจื่อเสียหน่อย ว่าระหว่างกลางเส้นทางนี้ให้สร้างบ้านเรือนเพิ่มสักหน่อย เชื่อมสองที่เข้าด้วยกัน จากนั้นสร้างกำแพงเมืองให้สูงขึ้นอีกหน่อยก็ดีนะ”
สวี่เหราถอนหายใจ “เ้าพูดมาช่างง่ายดาย มีผู้ใดไม่อยากทำบ้าง แต่มันติดอยู่ที่คำว่าเงิน แค่คำเดียวอย่างไรเล่า? หากมีเงิน ที่นี่คงถูกสร้างขึ้นมาตั้งนานแล้ว”
จางจ้าวฉือเอ่ยขึ้นอีก “พวกเ้าเป็ขุนนางก็เพื่อทำให้ประชาชนเสียหน่อย อีกอย่างพวกเราร่ำรวยมิใช่หรือ? นี่คือหน้าที่ของเ้า ข้าเห็นเ้านั่งดื่มชาอยู่ในสำนักงานสบายใจเฉิบ”
สวี่เหราลูบศีรษะตนเองพลางกล่าว “เ้าคิดว่าเป็ขุนนางที่ดีมันง่ายอย่างนั้นหรือ? ั้แ่ข้ามาที่นี่ ตาทั้งสองข้างก็ดำปี๋ สถานการณ์เป็อย่างไรยังไม่ได้ัั ข้าก็ต้องเข้าใจสถานกาณ์พื้นฐานก่อนแล้วค่อยจัดการสิ? รอข้าอ่านเอกสารของสำนักงานให้หมดก่อน ข้าถึงจะเริ่มออกสำรวจดู ให้ข้าเข้าใจสถานการณ์พื้นฐานชัดเจนแล้วถึงจะสามารถคิดได้ว่าจะทำให้ประชาชนของข้าร่ำรวยได้อย่างไร เ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
จางจ้าวฉือตอบ “ใช่ๆๆๆ เ้าพูดถูกทั้งหมด ข้าก็เป็หมอคนหนึ่ง ข้าจะไปเข้าใจเื่ราวของเ้าชัดเจนได้อย่างไร”
สวี่เหราเห็นสวี่จือใช้ดวงตากลมโตจ้องตนเองและจางจ้าวฉือจึงยิ้มแล้วลูบศีรษะของสวี่จือพร้อมกล่าว “พวกเราพูดเสียงดังเกินไปแล้ว หากทำให้จือเอ๋อร์ของพวกเราใจะทำอย่างไร?”
สวี่ตี้หันหน้าไปมองทิวทัศน์ด้านนอกอย่างหมดคำพูด พ่อแม่ของตนเองั้แ่มาที่นี่ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ายิ่งทำตัวเด็กลงถึงเพียงนี้ เพื่อเื่เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถถกเถียงกันได้อย่างยาวนาน ความงดงามที่เคยมียิ่งถอยห่างพวกเขาไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหรือ
หลังจากที่จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อกลับมารักษาตัวที่จวนในเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน ก็รีบเดินทางกลับมา เพราะที่นี่คือเขตชายแดน แม่ทัพไม่สามารถออกห่างจากพื้นที่ได้เป็เวลานาน
จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว จางจ้าวฉือเห็นซื่อจื่อก็ระมัดระวังสีหน้า รอจนกระทั่งถึงภายในเรือน ถึงได้นั่งลงแล้วตรวจชีพจรของซื่อจื่อก่อนจะกล่าว “ร่างกายซื่อจื่อฟื้นฟูได้ดีมากเ้าค่ะ แต่ก็ต้องบำรุงร่างกายดีๆ อย่าเห็นว่ายังอายุน้อยแล้วจะไม่ใส่ใจร่างกายได้นะเ้าคะ”
ซื่อจื่อยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นในจวนแม่ทัพขนาดใหญ่แห่งนี้จึงมีเพียงซื่อจื่อและคนรับใช้ที่ติดตามซื่อจื่อเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ช่วยซื่อจื่อดูแลครอบครัวสวี่ในครานั้นก็คือแม่นมชราคนหนึ่งที่เป็ผู้ติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าของจวนจิ้งเป่ยโหว เป็คนแซ่เฉิน จากที่ได้ยินมาว่าเป็คนติดตามฮูหยินผู้เฒ่าตอนที่นางออกเรือน หลังจากแต่งงานก็มีหน้าที่เป็แม่นมคอยดูแลภายในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า หลานชายของนางตอนนี้ล้วนเป็ทหารแนวป้องกันที่มีความสามารถมากผู้หนึ่ง
แม่นมเฉินค้อมตัวแสดงการขอบคุณจางจ้าวฉือ ซึ่งนางก็ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลยเ้าค่ะ ครอบครัวพวกเราสามคนเองก็ถูกพวกท่านช่วยเอาไว้ พวกเราเพิ่งจะย้ายมา มีหลายเื่ยังไม่ค่อยรู้เื่รู้ราวเท่าใดนัก และยังมีอีกหลายเื่ที่้าพึ่งพาซื่อจื่อเ้าค่ะ แม่นมเฉิน นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าเป็ผู้รับผิดชอบดูแลจวนอย่างเต็มตัว ตรงใดทำได้ไม่ถูกต้อง ขอท่านอย่าได้ตำหนิเลยเ้าค่ะ”
แม่นมเฉินชอบท่าทางเป็กันเองของจางจ้าวฉือมาก นางตอบรับยิ้มๆ “หามิได้เ้าค่ะ”
หลังจากซื่อจื่อทักทายกับสวี่เหราง่ายๆ แล้วก็กล่าวกับจางจ้าวฉือ “ฮูหยินสวี่ ข้าสนใจวิธีการจัดการกับปากแผลของท่านมาก ทางพวกเรามีแพทย์ทหารอยู่หลายคน ท่านช่วยดูว่ามีเวลาว่างพอจะมาชี้แนะสักหน่อยได้หรือไม่”
จางจ้าวฉือได้ยินแล้วก็มองสวี่เหรา ซึ่งสวี่เหราเองก็มองจางจ้าวฉือ ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อจะเสนอความ้าเช่นนี้ออกมา
ถึงแม้ราชวงศ์ต้าเหลียงจะไม่ได้ผูกมัดสตรีมากนัก แต่กฎพื้นฐานอย่างสตรีควรอยู่เหย้าเฝ้าเรือนก็ยังคงมีอยู่ ไม่เช่นนั้น จางจ้าวฉือที่เป็คนมีพร์ทางด้านการแพทย์สูงที่สุดในสกุลจาง เรียนรู้วิชาการแพทย์มาก็คงจะสามารถออกไปทำการรักษาด้วยตนเองได้แล้วมิใช่หรือ? หรือแค่ภายในจวนมีคนป่วย จางจ้าวฉือก็สามารถลงมือรักษาเองได้
ซื่อจื่อเห็นท่าทีของสองสามีภรรยาสกุลสวี่ ก็รู้ว่าเงื่อนไขที่ตนเองเสนอไปนั้นความจริงแล้วไร้เหตุผลมาก จึงพูดออกมาอย่างกระอักกระอวนว่า “ข้ามิได้มีความหมายอื่นนะขอรับ ปากแผลของข้า หลังจากหมอในจวนตรวจดูแล้ว บอกว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะการจัดการขั้นตอนแรกที่ใช้เข็มมาเย็บเข้าด้วยกันละก็ ไม่แน่ว่าผลจะออกมาเป็อย่างไร ดังนั้นข้าจึงคิดมานานมาก คิดว่าวิชาการแพทย์ของท่าน หากสามารถนำออกมาใช้กับพวกเราได้ก็คงจะดี พวกเราปกติจะออกไปสู้รบ ล้วนมีาแภายนอกกันทั้งนั้น บางครั้งเพราะจัดการกับแผลไม่ดี เืก็จะไหลออกมากเกินไปจนตายได้”
จางจ้าวฉือได้ยินถึงตรงนี้ ท่าทางที่แสดงบนสีหน้าก็อดไว้ไม่ไหวจริงๆ แต่สวี่เหรายังไม่เอ่ยปาก นางเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ จึงทำได้แค่เหล่มองสวี่เหราเท่านั้น
สวี่เหรามีความคิดที่จะตกปากรับคำ แต่ก็คิดได้ว่าสังคมในตอนนี้ที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของสตรีเป็อย่างยิ่ง จึงพูดออกมาอย่างลำบากใจว่า “ซื่อจื่อขอรับ ถึงแม้นางจะมีวิชาการแพทย์ที่สูง แต่นางเป็เพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น การออกไปเปิดเผยตัวนั้นย่อมไม่เหมาะสมเป็อย่างยิ่งขอรับ”
ซื่อจื่อเอ่ยตอบ “ข้าได้คิดถึงปัญหานี้แล้ว ข้ามิให้ฮูหยินสวี่ไปที่กองทัพหรอก ข้าจะสร้างเรือนหนึ่งในจวนแม่ทัพแห่งนี้ ไว้เป็สถานที่เปิดสอนของฮูหยินสวี่โดยเฉพาะ ข้าจะให้แพทย์ทหารมาที่นี่ โดยมีฮูหยินสวี่เป็คนชี้แนะ ท่านวางใจได้ ข้าไม่อนุญาตให้พวกเขาเอาเื่นี้ออกไปพูดกันภายนอกแน่นอน”
พูดกันมาจนถึงตอนนี้แล้ว หากจะปฏิเสธก็คงจะไม่ได้ สวี่เหราจึงทำได้แค่รับคำ จางจ้าวฉือคิดได้ว่าจะได้ทำงานที่ตนเองชอบแล้ว ในใจก็ดีใจมาก จนถึงขั้นแสดงออกมาทางสีหน้า
แม่นมเฉินจึงโค้งทำความเคารพกับจางจ้าวฉือ ซึ่งจางจ้าวฉือก็รีบโค้งตัวกลับพลางกล่าวว่า“ข้าไม่เหมาะให้แม่นมทำความเคารพหรอกเ้าค่ะ”
อย่าเห็นว่าแม่นมเฉินจะเป็แม่นมที่คอยดูแลเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเพียงเท่านั้น เพราะลูกชายและหลายชายของนางล้วนเป็กำลังหลักของทหารป้องกันชายแดน มีลำดับขั้นที่สูงทั้งคู่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงมีฐานะเป็ถึงมารดาของขุนนางแล้ว ส่วนจางจ้าวฉือตอนนี้เป็เพียงคนธรรมดาที่ไม่มีฐานะใดเท่านั้น
แม่นมเฉินกล่าวตอบ “วิชาการแพทย์ของท่านเก่งกาจลึกล้ำ จนไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ หากนำความรู้ทางการแพทย์ของท่านมาสอนแพทย์ทหารในกองทัพ ต่อไปทหารก็ได้รับการดูแลและมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น การทำความเคารพนี้มิได้มากเกินไปเลยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือเอ่ยกลับไปว่า “ท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลยเ้าค่ะ อย่างอื่นข้าก็ทำไม่เป็เช่นกัน มีแค่เื่นี้เท่านั้น ทั้งยังไม่สามารถนำมันออกมาใช้ประโยชน์ได้ ตอนนี้ซื่อจื่อได้ให้โอกาสเช่นนี้กับข้าแล้ว ทั้งยังมอบสถานที่ให้ข้าได้แสดงฝีมือ ข้าเองก็ต้องขอบคุณซื่อจื่อมากๆ เหมือนกันเ้าค่ะ”
ตอนเที่ยงก็รับสำรับร่วมกันในจวนของแม่ทัพ หลังจากทานข้าวเสร็จ สกุลสวี่ก็ถูกคนของจวนแม่ทัพพามาส่งที่เรือนด้านหลังสำนักงานเขต
หลังจากสวี่เหรากลับมาก็มุ่งหน้าไปที่สำนักงาน จางจ้าวฉือพาสวี่จือ สวี่ตี้รวมทั้งแม่นมลู่ มานั่งพักผ่อนในเรือนหลักทางตะวันตก
สวี่ตี้ไม่ชอบอยู่ในเรือนของตนเอง ว่างๆ ก็ชอบหยิบตำราเรียนมาอ่าน หรือฝึกคัดตัวอักษร บางครั้งก็จะอ่านตำราอยู่ในห้องของจางจ้าวฉือ สวี่จือหรือ ในตอนนี้ก็นั่งอยู่ข้างกายของสวี่ตี้ มองพี่ชายตนเองจำตัวอักษร บางครั้งก็จะตามอยู่ข้างกายของจางจ้าวฉือ ดูจางจ้าวฉือบันทึกบัญชี จัดการเื่ราวภายในเรือน สวี่จือยังเด็กเกินไป ตอนนี้ยังไม่สามารถเรียนรู้กฎระเบียบใดๆ ได้
สวี่ตี้ฝึกจำตัวอักษรได้ตัวหนึ่ง ก่อนจะพูดกับจางจ้าวฉือว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านว่าสาเหตุที่ท่านพ่อสามารถมาที่เขตเหอซีได้ เป็เพราะว่าจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อเป็คนช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ?”
จางจ้าวฉือที่กำลังช่วยแม่นมลู่ทำด้ายอยู่นั้น ได้ยินคำพูดของสวี่ตี้ก็เอ่ยตอบโดยไม่ได้เงยหน้า “พูดจาเลอะเทอะอันใด ตำแหน่งของพ่อเ้าเป็ฝ่ายบุคลากรเป็ผู้จัดสรรให้ มีที่ไหนที่จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อจะมาช่วยพูดกัน”
สวี่ตี้ส่ายหน้า “ข้าว่าต้องไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายเช่นนั้นแน่ขอรับ เชิญพวกเราไปจวนของเขา แล้วยังขอให้ท่านช่วยชี้แนะแพทย์ทหารอีก ข้าว่านะขอรับ มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นเป็แน่”
จางจ้าวฉือฟังคำพูดของสวี่ตี้แล้วครุ่นคิดอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้า “ไม่แน่ว่าเื่อาจจะเป็เช่นนั้นจริง ไอ๊หยา จากคะแนนท้ายแถวของพ่อเ้าจะมาอยู่ในเขตที่สำคัญขนาดนี้ได้หรือไร?”
สวี่ตี้ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าเื้ัจะมีเื่อันใดแอบแฝงหรือไม่ เพียงครู่เดียวหน้าร้อนนี้ก็ใกล้จะหมดแล้วนะขอรับ”
เชิงอรรถ
[1] จิ้นซื่อ คือตำแหน่งราชการในยุคสมัยนั้น
[2] เซียงเฉิง จู่ปู้ เตี้ยนซื่อ เป็ชื่อตำแหน่งของขุนนาง ซึ่งตำแหน่งจะเรียงกันจาก เซียงเฉิง ขุนนางขั้นแปด จู่ปู้ ขุนนางขั้นเก้า เตี้ยนซื่อจะยังไม่ได้อยู่ในระดับของขุนนาง เป็เพียงคนเฝ้าตรวจตราคุก