ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็สีดำสนิท วันนี้หนิงมู่ฉือเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ต้องขี่ม้าทั้งวัน ร่างกายจึงทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย นางเดินกลับไปที่ห้อง ล้มตัวนอนบนเตียงก่อนจะหลับไป
กลางดึก นางรู้สึกได้ว่ามีแขนคู่หนึ่งกำลังโอบกอดนางเอาไว้ ตอนแรกนางนึกว่ากำลังฝันจึงไม่ได้สนใจ หากแต่ัันี้มันดูเป็เื่จริงมาก นางจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่าเป็จ้าวซีเหอที่กำลังกอดนางเอาไว้ นางพลันร้องะโอย่างใ
จ้าวซีเหอกำลังหลับสนิทอยู่ท่ามกลางกลิ่นกายหอมกรุ่นของหนิงมู่ฉือ เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างใ เขาลืมตา ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขมวดคิ้ว “เ้าเป็อันใดไป”
หนิงมู่ฉือรีบเลิกผ้าห่มออก ครั้นพบว่าเสื้อผ้าตัวเองยังอยู่ครบก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางหันไปมองจ้าวซีเหออย่างไม่พอใจ “ท่านมาอยู่บนเตียงข้าได้อย่างไร!”
จ้าวซีเหอนึกดีใจกับความสำเร็จครั้งนี้ยิ่งนัก ขณะใบหน้าแสร้งใ “นั่นสิ ข้ามาอยู่บนเตียงเ้าได้อย่างไร” จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างตัวเองจนมิด ชี้มือไปที่หนิงมู่ฉือ “เ้าบอกมาว่าเ้าทำอะไรข้าหรือไม่!”
หนิงมู่ฉือรู้สึกโมโหยิ่งนัก นางยังไม่ทันทำอะไรเลย ต้องเป็อีกฝ่ายแน่ที่แอบปีนขึ้นเตียงนางมาตอนกลางดึก อีกฝ่ายทำผิดแต่กลับเป็ฝ่ายฟ้องก่อนเช่นนั้นหรือ
นางใช้หมอนฟาดไปที่อีกฝ่ายอย่างแรง ขณะที่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัด “ท่านมันหน้าไม่อายที่สุด!”
จ้าวซีเหอเอี้ยวหลบหมอนที่ฟาดมา ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เ้าคิดไม่ซื่อกับข้ามานานแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้เลย!”
“ท่านออกไปประเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ครั้นเห็นหนิงมู่ฉือไม่พอใจจริงๆ จ้าวซีเหอจึงรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากจ้าวซีเหอออกจากห้อง หนิงมู่ฉือนอนลืมตาอยู่บนเตียง ความจริงนางถูกหยอกเย้าเช่นนี้ควรต้องโมโห ทว่าตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น กลายเป็รู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ
นางนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนเวียนศีรษะ ในสมองปรากฏภาพตอนที่จ้าวซีเหอกอดนางเอาไว้ คิดถึงตรงนี้ใบหน้านางพลันร้อนผ่าว
นางลุกขึ้นนั่ง ยกมือขยี้ศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ “หนิงมู่ฉือ เ้ากำลังคิดเื่เช่นไรอยู่ รีบนอนได้แล้ว!” นางพึมพำกับตัวเองด้วยใจสั่นไหว ความที่กลัวว่าจ้าวซีเหอจะมาได้ยินเข้า จึงรีบล้มตัวนอนลง
จ้าวซีเหอกลับเข้ามาในห้องที่เฉินเกอเคยนอนพัก มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้ม นึกภาพเมื่อครู่ตอนที่เขากอดหนิงมู่ฉือเอาไว้ หัวใจก็พลันเต้นแรง
หนิงมู่ฉือยังคงนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง คิดนู่นคิดนี่จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา อากาศยามเช้าเต็มไปด้วยหมอกจางๆ หลังจ้าวซีเหอตื่นขึ้นมาก็เดินออกจากห้อง พบว่าประตูห้องของหนิงมู่ฉือยังคงปิดสนิท คาดว่าเมื่อคืนนางน่าจะนอนดึกเพราะมีเื่ต้องคิดมากมาย
เขาเดินไปที่ประตูห้องของหนิงมู่ฉือ เคาะประตูพร้อมกับเอ่ย “เ้ารีบตื่นเดี๋ยวนี้!”
หนิงมู่ฉือที่ถูกปลุกรู้สึกง่วงงุนเป็อย่างยิ่ง เมื่อคืนนางคิดนู่นคิดนี่จนดึกถึงค่อยผล็อยหลับไป นางพึ่งจะหลับได้ไม่นานก็ต้องถูกปลุก
นางรับคำในลำคอ ลุกขึ้นมาแต่งตัวได้ครึ่งเดียวก็ต้องผล็อยหลับไปอีกครั้ง
หลิงชีตื่นขึ้นมา เมื่อพบว่าหนิงมู่ฉือยังไม่ตื่น ด้วยความที่รู้สึกหิวมากจึงไปต้มบะหมี่ทานรองท้องกับพ่อบ้านก่อน
“เ้าหลับอีกแล้วใช่หรือไม่ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว แสงอาทิตย์ส่องถึงก้นแล้ว!” จ้าวซีเหอที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยเรียกอีกครา หลังจากไม่เห็นหนิงมู่ฉือเดินออกมาจากในห้องเสียที
เขาผลักประตูเข้าไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว มองนางที่ยังสวมเสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยดีกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ท่านอนของนางดูแล้วช่างยั่วยวนยิ่งนัก เขาลอบถอนหายใจ ขณะที่ในใจเต้นแรง “หึๆ หนิงมู่ฉือ เ้ายั่วยวนข้าหรือ”
เขายืนจ้องหน้านางนิ่งพร้อมกับลอบกลืนน้ำลาย นางมีใบหน้าที่เห็นแล้วสบายตา ขอบตาดำคล้ำ อาจเป็เพราะเมื่อคืนนอนดึกก็เป็ได้ ขนตางอนยาว ริมฝีปากบางเม้มเป็เส้นตรง จมูกโด่งสูง และคิ้วโก่งได้รูปดุจพระจันทร์เสี้ยว
“ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรกับเ้าจริงๆ” เขาถอนหายใจ เห็นนางนอนหลับสนิทเช่นนี้ เขาทำใจปลุกนางไม่ลงจริงๆ เขาจัดผ้าห่มให้นางก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังห้องครัว
หนิงมู่ฉือนอนหลับไปนานมาก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าด้านนอกสว่างมากแล้ว นางมองออกไปทางหน้าต่าง แสงแดดสว่างเจิดจ้า นางมองเสื้อผ้าที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยและผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัว นางลุกขึ้นนั่ง หันไปมองทางประตู แล้วก็พบว่ามันถูกเปิดอ้าเอาไว้
นางรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัว ครั้นหลิงชีเห็นขอบตาดำคล้ำของหนิงมู่ฉือก็ส่งสายตาล้อเลียนมาให้ “คุณหนู เมื่อคืนทำอันใดจนดึกจนดื่นขอรับ ขอบตาดำคล้ำเชียว”
“ขอบตาดำหรือ” นางคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หน้าพลันขึ้นสีเข้ม พูดอย่างอึกอักออกไปว่า “นี่ยามใดแล้ว ข้านอนไปนานมากเลย”
“ตอนนี้เที่ยงแล้วขอรับ ข้ากำลังเตรียมอาหารให้นายท่าน คุณหนูไม่ยอมตื่นเสียที นายท่านทนหิวั้แ่เช้าจนตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว” ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็สีดำสนิท วันนี้หนิงมู่ฉือเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ต้องขี่ม้าทั้งวัน ร่างกายจึงทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย นางเดินกลับไปที่ห้อง ล้มตัวนอนบนเตียงก่อนจะหลับไป
กลางดึก นางรู้สึกได้ว่ามีแขนคู่หนึ่งกำลังโอบกอดนางเอาไว้ ตอนแรกนางนึกว่ากำลังฝันจึงไม่ได้สนใจ หากแต่ัันี้มันดูเป็เื่จริงมาก นางจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะพบว่าเป็จ้าวซีเหอที่กำลังกอดนางเอาไว้ นางพลันร้องะโอย่างใ
จ้าวซีเหอกำลังหลับสนิทอยู่ท่ามกลางกลิ่นกายหอมกรุ่นของหนิงมู่ฉือ เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างใ เขาลืมตา ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขมวดคิ้ว “เ้าเป็อันใดไป”
หนิงมู่ฉือรีบเลิกผ้าห่มออก ครั้นพบว่าเสื้อผ้าตัวเองยังอยู่ครบก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางหันไปมองจ้าวซีเหออย่างไม่พอใจ “ท่านมาอยู่บนเตียงข้าได้อย่างไร!”
จ้าวซีเหอนึกดีใจกับความสำเร็จครั้งนี้ยิ่งนัก ขณะใบหน้าแสร้งใ “นั่นสิ ข้ามาอยู่บนเตียงเ้าได้อย่างไร” จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างตัวเองจนมิด ชี้มือไปที่หนิงมู่ฉือ “เ้าบอกมาว่าเ้าทำอะไรข้าหรือไม่!”
หนิงมู่ฉือรู้สึกโมโหยิ่งนัก นางยังไม่ทันทำอะไรเลย ต้องเป็อีกฝ่ายแน่ที่แอบปีนขึ้นเตียงนางมาตอนกลางดึก อีกฝ่ายทำผิดแต่กลับเป็ฝ่ายฟ้องก่อนเช่นนั้นหรือ
นางใช้หมอนฟาดไปที่อีกฝ่ายอย่างแรง ขณะที่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัด “ท่านมันหน้าไม่อายที่สุด!”
จ้าวซีเหอเอี้ยวหลบหมอนที่ฟาดมา ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เ้าคิดไม่ซื่อกับข้ามานานแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้เลย!”
“ท่านออกไปประเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ครั้นเห็นหนิงมู่ฉือไม่พอใจจริงๆ จ้าวซีเหอจึงรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากจ้าวซีเหอออกจากห้อง หนิงมู่ฉือนอนลืมตาอยู่บนเตียง ความจริงนางถูกหยอกเย้าเช่นนี้ควรต้องโมโห ทว่าตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น กลายเป็รู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ
นางนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนเวียนศีรษะ ในสมองปรากฏภาพตอนที่จ้าวซีเหอกอดนางเอาไว้ คิดถึงตรงนี้ใบหน้านางพลันร้อนผ่าว
นางลุกขึ้นนั่ง ยกมือขยี้ศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์ “หนิงมู่ฉือ เ้ากำลังคิดเื่เช่นไรอยู่ รีบนอนได้แล้ว!” นางพึมพำกับตัวเองด้วยใจสั่นไหว ความที่กลัวว่าจ้าวซีเหอจะมาได้ยินเข้า จึงรีบล้มตัวนอนลง
จ้าวซีเหอกลับเข้ามาในห้องที่เฉินเกอเคยนอนพัก มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้ม นึกภาพเมื่อครู่ตอนที่เขากอดหนิงมู่ฉือเอาไว้ หัวใจก็พลันเต้นแรง
หนิงมู่ฉือยังคงนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง คิดนู่นคิดนี่จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันต่อมา อากาศยามเช้าเต็มไปด้วยหมอกจางๆ หลังจ้าวซีเหอตื่นขึ้นมาก็เดินออกจากห้อง พบว่าประตูห้องของหนิงมู่ฉือยังคงปิดสนิท คาดว่าเมื่อคืนนางน่าจะนอนดึกเพราะมีเื่ต้องคิดมากมาย
เขาเดินไปที่ประตูห้องของหนิงมู่ฉือ เคาะประตูพร้อมกับเอ่ย “เ้ารีบตื่นเดี๋ยวนี้!”
หนิงมู่ฉือที่ถูกปลุกรู้สึกง่วงงุนเป็อย่างยิ่ง เมื่อคืนนางคิดนู่นคิดนี่จนดึกถึงค่อยผล็อยหลับไป นางพึ่งจะหลับได้ไม่นานก็ต้องถูกปลุก
นางรับคำในลำคอ ลุกขึ้นมาแต่งตัวได้ครึ่งเดียวก็ต้องผล็อยหลับไปอีกครั้ง
หลิงชีตื่นขึ้นมา เมื่อพบว่าหนิงมู่ฉือยังไม่ตื่น ด้วยความที่รู้สึกหิวมากจึงไปต้มบะหมี่ทานรองท้องกับพ่อบ้านก่อน
“เ้าหลับอีกแล้วใช่หรือไม่ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว แสงอาทิตย์ส่องถึงก้นแล้ว!” จ้าวซีเหอที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยเรียกอีกครา หลังจากไม่เห็นหนิงมู่ฉือเดินออกมาจากในห้องเสียที
เขาผลักประตูเข้าไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเปิดเข้าไปได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว มองนางที่ยังสวมเสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยดีกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ท่านอนของนางดูแล้วช่างยั่วยวนยิ่งนัก เขาลอบถอนหายใจ ขณะที่ในใจเต้นแรง “หึๆ หนิงมู่ฉือ เ้ายั่วยวนข้าหรือ”
เขายืนจ้องหน้านางนิ่งพร้อมกับลอบกลืนน้ำลาย นางมีใบหน้าที่เห็นแล้วสบายตา ขอบตาดำคล้ำ อาจเป็เพราะเมื่อคืนนอนดึกก็เป็ได้ ขนตางอนยาว ริมฝีปากบางเม้มเป็เส้นตรง จมูกโด่งสูง และคิ้วโก่งได้รูปดุจพระจันทร์เสี้ยว
“ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรกับเ้าจริงๆ” เขาถอนหายใจ เห็นนางนอนหลับสนิทเช่นนี้ เขาทำใจปลุกนางไม่ลงจริงๆ เขาจัดผ้าห่มให้นางก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังห้องครัว
หนิงมู่ฉือนอนหลับไปนานมาก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าด้านนอกสว่างมากแล้ว นางมองออกไปทางหน้าต่าง แสงแดดสว่างเจิดจ้า นางมองเสื้อผ้าที่ยังใส่ไม่เรียบร้อยและผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัว นางลุกขึ้นนั่ง หันไปมองทางประตู แล้วก็พบว่ามันถูกเปิดอ้าเอาไว้
นางรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัว ครั้นหลิงชีเห็นขอบตาดำคล้ำของหนิงมู่ฉือก็ส่งสายตาล้อเลียนมาให้ “คุณหนู เมื่อคืนทำอันใดจนดึกจนดื่นขอรับ ขอบตาดำคล้ำเชียว”
“ขอบตาดำหรือ” นางคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หน้าพลันขึ้นสีเข้ม พูดอย่างอึกอักออกไปว่า “นี่ยามใดแล้ว ข้านอนไปนานมากเลย”
“ตอนนี้เที่ยงแล้วขอรับ ข้ากำลังเตรียมอาหารให้นายท่าน คุณหนูไม่ยอมตื่นเสียที นายท่านทนหิวั้แ่เช้าจนตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว” หลิงชีหยิบวัตถุดิบขึ้นมาเตรียมทำอาหารขณะกล่าวเหน็บ
นางเดินไปหยิบวัตถุดิบมาจากมือหลิงชี “ยกให้ข้าจัดการเอง”
หลิงชียกมือลูบศีรษะอย่างสงสัย “คุณหนู คุณหนูบอกว่าวันนี้จะเดินทางกลับเมืองหลวงไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดถึงยังไม่ออกเดินทางอีกเล่า”
นางยิ้ม “กินมื้อนี้เสร็จข้าค่อยออกเดินทาง เ้าอยากให้ข้าจากไปขนาดนั้นเลยหรือ”
หลิงชีรีบโบกไม้โบกมือเป็พัลวัน “เปล่านะขอรับ คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว ข้าหรือจะกล้าคิดเช่นนั้น!”
นางทำอาหารสองอย่างแล้วยกออกไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะนำสุราดอกไม้ที่ไต้ซือมอบให้ยกไปวางบนโต๊ะเช่นกัน
นางปัดไม้ปัดมือ ก่อนจะะโออกมาว่า “ทานข้าวได้แล้ว”
สิ้นเสียง ไม่นานทุกคนก็มานั่งจนเต็มโต๊ะ จ้าวซีเหอเดินเข้ามาก่อนจะส่งสายตาหยอกล้อมาให้
เมื่อนางเห็นสายตาของจ้าวซีเหอ หน้าพลันแดงก่ำ เป็เวลาเดียวกับที่หลิงชีไอออกมาพอดี บรรยากาศจึงยิ่งดูกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้นไปอีก
ท่านตามองหนิงมู่ฉือและจ้าวซีเหอ ก่อนจะรินสุราดอกไม้ใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นเอ่ยเตือนอย่างเป็ห่วง “ท่านตา ท่านยังไม่หายดี ไม่ควรดื่มเยอะนะเ้าคะ”
หลิงชีหยิบวัตถุดิบขึ้นมาเตรียมทำอาหารขณะกล่าวเหน็บ
นางเดินไปหยิบวัตถุดิบมาจากมือหลิงชี “ยกให้ข้าจัดการเอง”
หลิงชียกมือลูบศีรษะอย่างสงสัย “คุณหนู คุณหนูบอกว่าวันนี้จะเดินทางกลับเมืองหลวงไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดถึงยังไม่ออกเดินทางอีกเล่า”
นางยิ้ม “กินมื้อนี้เสร็จข้าค่อยออกเดินทาง เ้าอยากให้ข้าจากไปขนาดนั้นเลยหรือ”
หลิงชีรีบโบกไม้โบกมือเป็พัลวัน “เปล่านะขอรับ คุณหนูเข้าใจผิดแล้ว ข้าหรือจะกล้าคิดเช่นนั้น!”
นางทำอาหารสองอย่างแล้วยกออกไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะนำสุราดอกไม้ที่ไต้ซือมอบให้ยกไปวางบนโต๊ะเช่นกัน
นางปัดไม้ปัดมือ ก่อนจะะโออกมาว่า “ทานข้าวได้แล้ว”
สิ้นเสียง ไม่นานทุกคนก็มานั่งจนเต็มโต๊ะ จ้าวซีเหอเดินเข้ามาก่อนจะส่งสายตาหยอกล้อมาให้
เมื่อนางเห็นสายตาของจ้าวซีเหอ หน้าพลันแดงก่ำ เป็เวลาเดียวกับที่หลิงชีไอออกมาพอดี บรรยากาศจึงยิ่งดูกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้นไปอีก
ท่านตามองหนิงมู่ฉือและจ้าวซีเหอ ก่อนจะรินสุราดอกไม้ใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นเอ่ยเตือนอย่างเป็ห่วง “ท่านตา ท่านยังไม่หายดี ไม่ควรดื่มเยอะนะเ้าคะ”