ตำหนักคุนหนิง
มงกุฎหงส์ที่ประดับด้วยทองและหยก ฮองเฮาทรงประทับอยู่ในตำแหน่งแรกด้วยเครื่องแต่งกายที่งดงาม ในพระหัตถ์ถือถ้วยชาหอมกรุ่นหรูหรา และก้มลงจิบอย่างช้าๆ
ที่ด้านล่างมีนางกำนัลน้อยที่เพิ่งเข้ามาจากด้านนอกกำลังถวายคำนับให้อยู่
“ชิวเหลียน ยังไม่พบซุนมามาอีกหรือ?” เสียงของฮองเฮาราวกับหุบเขาลึกที่ว่างเปล่า ดูเหมือนไม่มีตัวตนและกว้างไกล
“ทูลเหนียงเหนียง หาตามสถานที่ที่ควรพบทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่พบซุนมามาเพคะ” ชิวเหลียนส่ายหัวด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮองเฮาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของพระนางทั้งสงบและสง่างาม แต่ดวงตายังมีความวิตกกังวลขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง “เ้าไปหาที่ตำหนักเยียถิง [1] แล้วหรือ?”
ตำหนักเยียถิงเป็ที่ที่นางกำนัลใช้พักผ่อนในยามค่ำคืน
ก่อนหน้านี้ซุนมามาเคยเป็นางกำนัลข้างกายของฮองเฮา ด้วยนางมีความภักดี และยังได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮา การปฏิบัติต่อนางจึงค่อนข้างพิเศษ สถานะของนางย่อมมีความแตกต่างโดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงมักจะอาศัยอยู่ในตำหนักคุนหนิง
อย่างไรก็ตาม ซุนมามาก็เคยพักอยู่ในตำหนักเยียถิงมาก่อน และในยามนี้จู่ๆ คนดีๆ ก็หายตัวไป ฮองเฮาย่อมเป็กังวล
“ไปมาแล้ว แต่หาไม่เจอเพคะ” ชิวเหลียนยังคงส่ายหัวและตอบกลับอย่างมั่นใจ นางหยุดแล้วกล่าวต่อว่า “เหนียงเหนียง ซุนมามาไม่ได้กลับไปพักผ่อนเมื่อคืนนี้ ผ้าปูที่นอนไม่มีการขยับเลย ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม"
“ยังไม่กลับหรือ?” พระหัตถ์ของฮองเฮาที่ถือถ้วยน้ำชาชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าของพระนางยังคงดูสง่างามและสงบ แต่นางกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายใน
นางจำได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อคืนซุนมามารอให้นางเข้าบรรทม แต่ด้วยนางมีเื่หนักใจ จึงพลิกตัวไปมาและนอนไม่หลับในยามค่ำคืน
และเมื่อไม่นานมานี้ นางต้องวิตกกังวลเพราะมู่จื่อหลิงยายเด็กหน้าเหม็นนั่น จึงทำให้มีปัญหาในการนอนหลับและรับประทานอาหาร นางนอนไม่หลับในทุกคืน
แต่เมื่อคืนนางหลับลึกเป็ครั้งแรก และหลับจนถึงเช้า ดูเหมือนนางจะไม่รู้สึกตัวเลย
นางคิดว่ามันเป็เพราะซุนมามาที่จุดกำยานให้ในยามค่ำคืน นางจึงนอนหลับฝันดีเมื่อคืนนี้
แต่ใครจะรู้ว่ายามเช้าเมื่อนางตื่นขึ้นมาในวันนี้ ไม่เพียงแต่นางไม่เห็นซุนมามาที่รอนางอยู่เท่านั้น แต่กระถางกำยานก็ยังว่างเปล่าอีกด้วย ไม่มีขี้เถ้าของกำยานที่ช่วยให้ผ่อนคลายแม้แต่น้อย
ผลงานของซุนมามา แต่ไหนแต่ไรมาก็ทำให้ฮองเฮาสามารถอุ่นใจที่สุดได้เสมอมา และจะรายงานทุกอย่างให้นางรับทราบล่วงหน้า อีกทั้งนางก็ไม่เคยประมาทเลินเล่อ
แต่เช้าวันนี้ ซุนมามาหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล่าวว่านางหายตัวไป
และเมื่อนางตื่นขึ้นในตอนเช้า หัวใจของนางเต้นแรง จนบัดนี้เปลือกตาของนางยังคงกระตุกอยู่ และในใจของนางรู้สึกอยู่ตลอดว่าสิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อนางตื่นขึ้นมา ถึงแม้ว่านางจะไม่พบซุนมามา แต่นางก็ยังสั่งให้คนไปตามตัวมู่จื่อหลิงมาเข้าเฝ้าในเช้าวันนี้
เพราะในยามนี้นางไม่รู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด รู้สึกว่าผู้ที่สามารถคุกคามนางได้ก็คือมู่จื่อหลิง นางกลัวความฝันในค่ำคืนอันยาวนาน ดังนั้นนางจึงต้องทำอะไรบางอย่างโดยเร็วที่สุด
นอกห้องโถงใหญ่ มู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวเจ๋อได้มาถึงแล้ว
จากหางตาของมู่จื่อหลิง นางเห็นนางกำนัลตัวน้อยกำลังวิ่งไปทางตำหนักคุนหนิงอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ และนางก็ได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่างในตำหนัก รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
มู่จื่อหลิงจึงวางกลอุบายเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว โดยให้ขันทีที่กำลังจะนำเข้าไปข้างในผล็อยหลับไป จากนั้นจึงขอให้หลงเซี่ยวเจ๋อลากขันทีที่หลับใหลไปยังมุมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นและหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้น มู่จื่อหลิงก็ดึงหลงเซี่ยวเจ๋อพากันไปซ่อนตัวอยู่หลังเสาต้นใหญ่
“พี่สะใภ้สาม เกิดอะไรขึ้น พวกเราไม่เข้าไปข้างในหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อถามด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาอย่างงุนงง
“รอก่อน ก่อนที่พวกเราจะเข้าไป มารอดูอาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อน” มู่จื่อหลิงกระซิบเบาๆ ข้างหูของหลงเซี่ยวเจ๋อ
“อาหารเรียกน้ำย่อยอะไรหรือ?” ดวงตาของหลงเซี่ยวเจ๋อเป็ประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยินว่ามีสิ่งดีๆ ให้ได้ชม
“เ้าอยู่ในวังนานถึงเพียงนี้ เคยเห็นฮองเฮาคลั่งหรือไม่?” มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างลึกลับ
“ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” หลงเซี่ยวเจ๋อส่ายหัวอย่างสงสัย
เขารู้ว่าฮองเฮานั้นร้ายกาจและมากเล่ห์ แทบไม่มีสนมในวังหลังคนใดสามารถต่อกรกับนางได้เลย แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นฮองเฮามีอาการโกรธเคืองเลยสักครั้ง และเขาอยากรู้ว่าฮองเฮาจะทำหน้าตาอย่างไรในยามที่นางโกรธจนคลั่ง
มู่จื่อหลิงตบไหล่หลงเซี่ยวเจ๋อ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเ้าก็สามารถมีประสบการณ์ที่ได้เปิดหูเปิดตาในวันนี้แล้ว”
“หรือว่า...” หลงเซี่ยวเจ๋อดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่มู่จื่อหลิงกล่าวว่าเป็การเปิดหูเปิดตา เขาไม่อยากเชื่อเลย และเกือบจะะโออกมาดังๆ
“หึ!” มู่จื่อหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทำท่าทางให้เงียบไว้ แล้วไม่พูดอะไรอีก
แม้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อจะยังไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะโกรธจนคลั่ง แต่เขาก็ยังตั้งตารอ เพราะเขาเชื่อในตัวของมู่จื่อหลิง
ในยามนี้นางกำนัลตัวน้อยในวังที่อยู่ไกลออกไปได้เข้ามาใกล้ห้องโถงแล้ว นางไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีคนสองคนหลบซ่อนตัวอยู่หลังเสาต้นใหญ่ เพียงแค่วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ภายในห้องโถง
ฮองเฮาทรงวางถ้วยชาศิลาดล [2] ลงช้าๆ ั์ตาสีเข้มฉายแสงเป็ประกาย ซึ่งมีร่องรอยของการอดกลั้น
เมื่อนึกถึงการหายตัวไปของซุนมามาโดยไร้สาเหตุ พระหัตถ์ของฮองเฮาที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อก็กำแน่นและขยับอยู่ตลอดเวลา เผยให้เห็นถึงความกังวลและความกระวนกระวายภายในใจของนาง
ในยามนี้ มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบอยู่ด้านนอกห้องโถง ก่อนที่นางกำนัลตัวน้อยจะเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“อะไรจะรีบร้อนถึงเพียงนี้” ฮองเฮาเหลือบมองอย่างเ็า พร้อมทั้งเอ่ยดุนางกำนัลตัวน้อยด้วยท่าทางสงบนิ่ง
นางกำนัลตัวน้อยก้มตัวและตอบด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า “เหนียงเหนียง เมื่อครู่ยามที่เหล่านางกำนัลและขันทีกำลังทำความสะอาดวัง พวกเขาพบแอ่งเืสีดำบนพื้นใกล้ๆ กับไข่มุกราตรีเพคะ”
ฮองเฮาทรงคร่ำครวญอยู่ในใจ ในชั่วพริบตา นางก็รู้สึกราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้นางอย่างช้าๆ และลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของนาง
“เื? จะมีเืสีดำได้อย่างไร?” ดวงตาของฮองเฮาหรี่ลงเล็กน้อย นางพึมพำกับตนเอง มีร่องรอยของความสงสัยแวบวาบอยู่ในใจของนาง และทั้งใจของนางก็มีความตื่นตระหนก
“ให้หมอหลวงไปดูว่าเืสีดำนั้นมีเหตุมาจากสิ่งใด” ฮองเฮาระงับความไม่สบายใจของนาง แล้วสั่งนางกำนัลตัวน้อยด้วยเสียงแ่เบา
“เพคะ” นางกำนัลตัวน้อยตอบรับและเตรียมจะถอยออกไป
“เดี๋ยว ไปถามผู้อยู่เวรยามเมื่อคืนสักหน่อย ว่าเมื่อคืนได้ยินอะไรบ้างหรือไม่?” ฮองเฮาเรียกนางกำนัลพร้อมกับขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าเคร่งขรึม
นางกำนัลตัวน้อยถอยออกไปแล้ว ฮองเฮาทรงหลับตาก่อนจะลูบขมับเบาๆ นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างช้าๆ
ยามที่ซุนมามาดับไฟเมื่อคืนนี้ นางที่นอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวแปลกๆ บางอย่าง
เพียงแต่ว่าในยามนั้นนางกำลังหงุดหงิด และเสียงนั้นก็เบามาก อีกทั้งมันยังหายไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา ดังนั้นนางจึงไม่สนใจมากนัก
หลังจากไฟดับ การเคลื่อนไหวก็หายไป ทุกอย่างสงบลง และดูเหมือนนางจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของซุนมามาในยามที่เดินจากไป
หลังจากนั้นดูเหมือนว่านางจะหลับสนิทไป ใน่เวลานั้น นางจำสิ่งใดไม่ได้เลย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหนและหลับไปอย่างไร
หลังจากไฟดับลงแล้ว จะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของซุนมามาเลยหรือ? มีรอยเืสีดำข้างไข่มุกราตรี?
มันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้?
เป็ไปได้ไหมว่าเืสีดำนั้นคือซุนมามา...
ราวกับกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาที่มืดมนของฮองเฮาจึงลืมขึ้นมาในทันใด
ร่องรอยของความเศร้าปรากฏบนใบหน้าที่ไม่แยแสของนาง และในทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นก็เต็มไปด้วยความโกรธ
ทันใดนั้น ฮองเฮาก็ยกมือขึ้นและกวาดแขนกว้างไปบนโต๊ะ ถ้วยชาทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะล้วนตกลงไปที่พื้น ก่อนจะแตกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่งเสียงดังเด่นชัด
นางกำนัลและขันทีในห้องโถงต่างก็คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวในทันที ต่างก้มหน้าลงอย่างขี้ขลาด บรรยากาศนี้ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าพูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดฮองเฮาผู้สูงศักดิ์และสง่างามที่ในยามปกติมักจะอ่อนโยนและมีคุณธรรม เพียงชั่วพริบตา ถึงได้โมโหโกรธเคืองได้มากถึงเพียงนี้
ฮองเฮาทรงตบโต๊ะอย่างแรง เผยให้เห็นความโกรธในใจของนางในทันที ก่อนจะพูดอย่างขมขื่นว่า “เปิ่นกงไม่ได้ให้คนไปตามฉีหวางเฟยมาหรอกหรือ เหตุใดนางถึงยังไม่มาอีก?”
ทันทีที่เสียงเงียบลง ก่อนที่ขันทีด้านล่างจะทันได้ตอบสนอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง
แต่ในคราวนี้เสียงฝีเท้าเป็ไปอย่างเชื่องช้าและดูไม่รีบร้อน เป็เสียงที่ค่อยๆ ดังเข้ามาจากที่ไกลๆ
ด้วยเสียงฝีเท้าเล็กๆ เหล่านี้ที่ดังจากที่ไกลๆ และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ฮองเฮาทรงขมวดคิ้ว นางโบกแขนเสื้อเพื่อเรียกขันทีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นให้ยืนขึ้น
ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของฮองเฮาได้เปลี่ยนไปแล้ว มุมปากสีแดงของนางยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มของนางจะกลับมาอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักอีกครั้ง
นางขยิบตาให้ชิวเหลียนที่อยู่ข้างกาย แล้วสั่งให้ชิวเหลียนทำความสะอาดเศษเครื่องเคลือบบนพื้น
แต่ในขณะที่ชิวเหลียนกำลังก้มลงทำความสะอาด ด้านนอกประตู มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อก็ได้เดินเคียงข้างกัน และค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องโถง
เสียงฝีเท้าของหลงเซี่ยวเจ๋อทั้งช้าและยืดหยุ่น ประกอบกับใบหน้าเ้าเล่ห์ ที่ดูเอ้อระเหยลอยชาย และยังมีรอยยิ้มบนริมฝีปากสีแดงของเขาซึ่งเป็รอยยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์ดี
ท่าทางของมู่จื่อหลิงดูมีความเอื้อเฟื้อ ก้าวย่างของนางมั่นคง ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบและมีชีวิตชีวา
นางอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อน ดวงหน้างดงามและผิวที่เปล่งปลั่ง ใบหน้าขาวใสไร้การเติมแต่ง แต่กลับมีสีชมพูระเรื่อ แลดูสง่าและมีเสน่ห์ ดวงตาของนางใสราวกับน้ำและดูสงบนิ่ง
เมื่อครู่ในยามที่ฮองเฮาทรงโยนถ้วยชาด้วยความโกรธเกรี้ยว พวกเขาล้วนได้ยินมันอย่างชัดเจนจากข้างนอก
บอกได้ว่ามู่จื่อหลิงอารมณ์ดีเป็พิเศษ เมื่อได้เห็นความโกรธเกรี้ยวของฮองเฮา
แม้แต่หลงเซี่ยวเจ๋อก็คิดว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อ เขาไม่เคยเห็นฮองเฮาโกรธขนาดนี้มาก่อน มันทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันเป็เพียงจุดเริ่มต้น อาหารเรียกน้ำย่อยที่แท้จริงยังมาไม่ถึง และเขาตั้งตารอมันอย่างจดจ่อ
ในยามที่มู่จื่อหลิงได้พบฮองเฮา คิ้วและตาของนางก็เลิกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้น ราวกับว่านางไม่เห็นชิ้นส่วนเครื่องเคลือบที่แตกกระจายอยู่บนพื้น เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางเพียงแย้มรอยยิ้มอย่างสงบและเยือกเย็น
แรกเริ่มฮองเฮาทรงดูสง่าและมีคุณธรรม มองไปยังคนที่เดินเข้ามาด้วยสายตาที่นุ่มนวลและสงบ ร่องรอยความโกรธจางหายไปจนหมด
มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อหลีกเลี่ยงชิ้นส่วนเครื่องเคลือบที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด หลังจากเดินไปถึงกึ่งกลางของห้องโถงแล้ว พวกเขาก็ทำความเคารพอย่างง่ายๆ “คารวะเสด็จแม่”
“มา นั่งก่อนเถอะ” ฮองเฮาพยักหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและสีหน้าพึงพอใจ แต่ทันทีที่นางเห็นมู่จื่อหลิง ความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของนาง
“ขอบพระทัยเสด็จแม่สำหรับการเชิญนั่ง” มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อพูดพร้อมกัน จากนั้นจึงเดินไปที่นั่งด้านข้างอย่างเป็ธรรมชาติก่อนจะนั่งลง
หลังจากที่พวกเขานั่งลงแล้ว ริมฝีปากแดงของฮองเฮาก็ขยับเล็กน้อย ราวกับว่านางกำลังจะพูด แต่...
มู่จื่อหลิงทำราวกับไม่เห็นริมฝีปากของฮองเฮาที่ขยับเคลื่อนไหว นางลุกขึ้นพูดอย่างใจเย็นว่า “หลิงเอ๋อร์ล่าช้าไปเนื่องจากมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้เสด็จแม่ต้องรอนาน หวังว่าเสด็จแม่จะไม่ตำหนิเพคะ”
วันนี้ฮองเฮาทรงเรียกหานาง ย่อมมีแผนการบางอย่าง ดังนั้นนางจึงไม่อาจวิงวอนอย่างโง่เขลาเพียงเพราะการมาล่าช้าได้
ใบหน้าของฮองเฮามีร่องรอยของความไม่พอใจก่อนจะหายวับไป
มันน่ารำคาญมากที่จะถูกขัดจังหวะในขณะที่นางกำลังจะพูด ใครจะคิดว่ามู่จื่อหลิงจะตัดศีรษะตนก่อนทูลขอความเห็น [3] เมื่อคนผู้นี้พูดออกมาเช่นนี้ นางยังจะตำหนิได้อย่างไร
ฮองเฮาแย้มพระสรวล “แค่หลิงเอ๋อร์มาที่นี่ได้ แม่ก็มีความสุขมากแล้ว จะตำหนิได้อย่างไร”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตำหนักเยียถิง (掖庭院) คือตำหนักของนางสนมขั้นจิ่นเฟยและเจินเฟย
[2] ศิลาดล (青瓷) เป็เครื่องเคลือบที่มีสีเขียวราวกับหยกชั้นดี ใช้อย่างเป็ทางการในสมัยราชวงศ์ซ่ง
[3] ตัดศีรษะตนก่อนทูลขอความเห็น (先斩后奏) เป็การอุปมาถึง ดำเนินการอย่างเด็ดขาดแล้วค่อยรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หรือการทำลงไปก่อนที่จะได้รับอนุญาต แล้วค่อยมารายงานทีหลัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้