จ้าวหลิงเซียนใส่ชุดลูกไม้สีขาวยาวถึงเข่าขาที่เรียวยาวเป็ที่จับตามอง เธอดูเหมือนนางฟ้าที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
สายตาของเธอที่อ่อนโยนเหมือนน้ำจ้องไปที่ฉินเฟิงเมื่อเธอเห็นเขาขี่จักรยาน 28 นิ้ว รอบสนามเศษเสี้ยวความอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอและรู้สึกอยากจะไปนั่งบนจักรยานด้วย
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่ฉินเฟิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าเธอและส่งรอยยิ้มแพรวพราว“องค์หญิงหลิงเซียน ท่านอยากจะนั่งราชรถของนักรบผู้นี้และประสบกับการเดินทางที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าหรือไม่?”
จ้าวหลิงเซียนอึ้งสักพักหนึ่งขณะมองดูไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเฟิงหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง น่าแปลกใจที่เธอพยักหน้าเธอเอื้อมมือที่ขาวบางออกไปเพื่ออนุญาตให้ฉินเฟิงดึงเธอขึ้นจักรยาน
เสียงเชียร์เสียงสนทนา และเสียงลม...
สนามกีฬากระหึ่มไปด้วยความโกลาหลทันทีทุกคนกำลังพูดถึงเื่ฉินเฟิงกับจ้าวหลิงเซียนฉินเฟิงได้ปฏิเสธการหมั้นระหว่างจ้าวหลิงเซียนกับตัวเขาเมื่อไม่นานมานี้และตอนนี้เขาก็มาตีสนิทกับเธออีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
นี่เป็ครั้งแรกที่จ้าวหลิงเซียนไม่รู้สึกโกรธเมื่อโดนพูดถึงเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตัวเธอโดนพัดหายไปด้วยสายลมเธอหลับตาและรู้สึกเหมือนกำลังย้อนสู่วัยเด็ก
เธอจะพบเจอกับความรู้สึกที่น่าพิศวงนี้เมื่อนั่งบนจักรยานกับฉินเฟิงเท่านั้น
ทุกคนดูตกตะลึงจ้าวหลิงเซียนสวยราวเทพธิดาและดูเหมือนเ้าหญิงในชุดเดรสสีขาวโบกพลิ้วไปมาขณะที่เธอนั่งซ้อนไปรอบๆ สนาม
สายลมพัดผมของเธอไปมาทำให้ออร่าเ็าที่ปกติจะอยู่รอบตัวของเธอหายไปเธอมีใบหน้าที่ดูน่าหลงใหลยากที่จะได้เห็น กระโปรงของเธอพัดขึ้นเป็ครั้งคราวพวกจีนมุงก็เหลือบดูขาอ่อนของเธอ ทำให้เหล่าชาติชายน้ำลายไหลหลายคนปรารถนาจะใช้ริมฝีปากของเขาเล้าโลมขาและเท้าของเธอ
แน่นอนว่าฉินเฟิงใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงกระโปรงของจ้าวหลิงเซียนลงไม่งั้นพวกหื่นกามทั้งหลายอาจจะเห็นทุกอย่างจนหมด
แม้ว่ามือของเขาจะถูกกั้นระหว่างเดรสบางๆกับขาอ่อนของเธอ แต่ความรู้สึกอ่อนนุ่มบนนิ้วก็กระตุ้นให้เขาปั่นเร็วขึ้นอีก...
ฉินเฟิงขี่วน30รอบ ก่อนจะเหนื่อยหอบจนเกือบหายใจไม่ทันเขาหยุดปั่นขณะที่สูดลมและพูดด้วยรอยยิ้ม “พอแล้ว พอแล้ว องค์หญิงหลิงเซียนท่านน้ำหนักขึ้นใช่ไหมเนี่ย ข้าเหนื่อยจนขี่ต่อไม่ไหวแล้ว”
“ฉินเฟิง...”
ความหนาวเหน็บแผ่กระจายออกจากร่างของจ้าวหลิงเซียนขณะที่จ้องไปที่ฉินเฟิงด้วยดวงตาที่ลุกเป็ไฟ
ผู้หญิงเกลียดการที่คนอื่นมาพูดว่าตัวเองอ้วนจ้าวหลิงเซียนรู้สึกอยากจะฆ่าเขาทันทีที่ได้ยินฉินเฟิงพูดต่อหน้าคนมากมายแบบนี้
นี่เป็เพราะจ้าวหลิงเซียนรู้สึกว่าเธอไม่ได้อ้วนสักหน่อยความจริงเธอทั้งสูงและหุ่นดี มีสายตามากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องเธอตลอดถ้าเขาไม่พอใจกับหุ่นแบบนี้แล้วจะพอใจแบบไหน?
เธอลงจากจักรยานของฉินเฟิงด้วยท่าทีฮึดฮัดและหยิกไปที่เอวของฉินเฟิงอย่างทารุณก่อนจะเดินออกไป
ฉินเฟิงหมดแรงและไม่มีแรงเหลือที่จะไล่ตามเธอไปแต่เมื่อได้เห็นเธอจากไปด้วยความโกรธ เขาก็รู้สึกว่าดูน่ารักดี
อย่างน้อยที่สุดก็น่ารักกว่าตอนที่ดูเ็า
“นายน้อยหลี่ ผมทนดูไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะฆ่าไอ้ฉินเฟิงนั่น”ในมุมหนึ่งของสนามกีฬา สองในสี่นายน้อยแห่งมหาวิทยาลัยเว่ยเฉิง หัวิและหลีเฉ่าเจี๋ยนั่งอยู่ในร่มขณะส่องสาว
เมื่อเห็นฉากหวานแหววระหว่างฉินเฟิงกับจ้าวหลิงเซียนใบหน้าของหัวิก็เขียวคล้ำ
อวี่เหวินเสียงตั้งใจจะทำให้สาวไร้เดียงสาหลินเป้ยเป้ยเป็ของเขาและสู้กับฉินเฟิงสุดท้ายผลที่ออกมาคือเขาทำได้แค่วิ่งหนีอย่างขายหน้า
ในทางกลับกันหัวิเล็งสาวหยิ่งอย่างจ้าวหลิงเซียน
ไม่นานมานี้เขาเพิ่งเห็นฉินเฟิงปฏิเสธการหมั้นไปหยกๆแต่ตอนนี้เขากลับมาจู๋จี๋กับเธอต่อหน้าผู้คนดวงตาของหัวิลุกเป็ไฟและอยากเฉือนมันเป็ชิ้นๆ
“ถ้านายไม่พอใจก็ไปจัดการกับมันสิ พี่จะคอยสนับสนุนเอง”หลีเฉ่าเจี๋ยที่วางตัวเป็กลางโดยตลอดตอนนี้ยิ้มอย่างน่ากลัวและส่งเสริมหัวิให้ไปจัดการฉินเฟิง
หัวิเบิกตากว้างเขาไม่เชื่อว่าหลีเฉ่าเจี๋ยจะพูดเช่นนี้
แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มน่าขนลุกก็ปรากฏบนใบหน้ามีเสน่ห์ของหัวิด้วยคำพูดของหลีเฉ่าเจี๋ย หัวิรู้สึกมั่นใจมากขึ้น รอยยิ้มเ็าโผล่ขึ้นบนใบหน้าขณะกล่าว“ฉินเฟิง วันนี้พ่อจะตบให้หน้าหงายไปเลย รอก่อนเถอะ”
หลังจากพักครู่หนึ่งร่างกายของฉินเฟิงก็ค่อยๆ ฟื้นสภาพอย่างช้าๆ เขาขี่จักรยานไปทั้งมหาวิทยาลัยทำให้เป็จุดสนใจของสายตานับไม่ถ้วน ต่อจากนั้นก็ไปโรงอาหารเพื่อสั่งอาหารเช้า 3 ชุด และสุดท้ายก็ไปห้องเรียนของคณะศิลปะ
เมื่อมาที่ห้องเรียนแล้วฉินเฟิงใจลอยนิดหน่อยครั้งล่าสุดตอนที่เขาได้มาเรียนที่นี่ เขาสารภาพรักกับหลินเป้ยเป้ยต่อหน้าทุกคนตอนนี้เขาคุ้นเคยกับระบบราชันเ้าสำราญมากแล้ว
เทียบกับคนก่อนหน้านี้ฉินเฟิงเปลี่ยนไปมาก แม้จะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แต่ก็รู้สึกยาวนานหลายศตวรรษ
ชั่วโมงเรียนยังไม่เริ่มฉินเฟิงมองไปรอบๆ และเห็นหลินเป้ยเป้ยกับจ้าวหลิงเซียนทั้งคู่เป็นักเรียนดีและนั่งอยู่แถวหน้าติดทางเดินคั่นระหว่างพวกเธอฉินเฟิงยิ้มและเดินไปหาแล้ววางชุดอาหารเช้าลงข้างหน้าของแต่ละคน
“น้องหลิน องค์หญิงหลิงเซียน พวกเธอยังไม่ได้กินข้าวกันใช่ไหม?” ฉินเฟิงเป็เพื่อนโต๊ะเดียวกันกับหลินเป้ยเป้ย ดังนั้นเขาจึงนั่งข้างๆเธอขณะที่เริ่มกิน
หลังจากฝึกตลอดทั้งเช้าฉินเฟิงใช้พลังงานมากและรู้สึกหิวมาก
นักศึกษาคนอื่นๆทั้งหมดตกตะลึง พวกเขาได้ยินมานานแล้วว่าฉินเฟิงทำให้หลินเป้ยเป้ยเป็ของเขาแต่ใครจะกล้าจีบ 2 เทพธิดาในครั้งเดียวกัน?
ความกระหายของนายน้อยฉินคนนี้นี่มากมายจริงๆอย่างนี้ต้องเรียกว่า ‘มองข้าวในหม้อขณะที่กินข้าวในจาน’เขาไม่กลัวโดนฆ่าโดยเทพธิดาเ็า จ้าวหลิงเซียนหรือไง?
ผู้หญิงทั้งสองไม่ได้ใส่ใจคำสนทนาพวกนั้นและนั่งอย่างเงียบๆดูใจลอยนิดหน่อย
หลังจากที่เห็นฉินเฟิงและจ้าวหลิงเซียนกอดกันในคืนก่อนหลินเป้ยเป้ยก็นอนไม่หลับ เธอหวังว่าฉินเฟิงจะชอบเธอและสามารถเดินจับมือด้วยกันตลอดไป
ทว่าหลินเป้ยเป้ยก็รู้แล้วว่าเธองี่เง่าเพียงใดฉินเฟิงก็ยังคงเป็ฉินเฟิงอยู่วันยังค่ำ ทั้งปลิ้นปล้อน กะล่อน และเ้าชู้ทำไมเขาต้องสนใจผู้หญิงที่น่าสมเพชอย่างเธอ?
และแม้ว่าเขาจะสนใจมันก็อาจจะเป็แค่อารมณ์ชั่ววูบ
ในทางกลับกันจ้าวหลิงเซียนก็กำลังคิดเื่หลินเป้ยเป้ย จ้าวหลิงเซียนพบว่าเธอเริ่มชอบฉินเฟิงมากขึ้นและตระหนักได้ว่าเธอรู้สึกมีความสุขมากจนลืมเวลาทุกครั้งที่ได้อยู่กับฉินเฟิงแต่เมื่อไรที่เธอคิดถึงความจริงที่ว่าหลินเป้ยเป้ยอยู่สโมสรหวงเจียเธอก็กัดฟันด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ตามแม้จะคิดถึงเื่พวกนี้ ผู้หญิงทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไรทำให้นักศึกษาคนอื่นใไปตามๆ กันพวกเธอทั้งคู่ยอมรับอาหารเช้าที่ฉินเฟิงให้อย่างเงียบๆ
ผู้คนที่กำลังรอให้จ้าวหลิงเซียนะเิความโกรธออกมาก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นเธอยังคงเงียบอยู่แต่นี่ก็เพิ่มความนับถือของพวกเขาที่มีต่อฉินเฟิง
สุดท้ายแล้วนายน้อยฉินก็คือนายน้อยฉินเขากล้าจู๋จี๋กับเทพธิดาทั้งคู่ต่อหน้าผู้คนรวมทั้งทำให้พวกเธอมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างแเีไม่มีใครคนไหนที่จะไม่ชื่นชมเื่นี้
หัวิที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนไม่ได้รู้สึกชื่นชมเลยสักนิดเขากัดฟันขณะจ้องที่ฉินเฟิงและอยากจะตบกะโหลกมัน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งหัวิก็รวบรวมความกล้าและเดินเข้าไปหาฉินเฟิง เขาพูดอย่างมืดมน “ฉินเฟิงนายนี่เป็ผู้ชายที่โชคดีจริงๆฉันละต้องชื่นชมนายอย่างช่วยไม่ได้ที่มาจู๋จี๋กับเทพธิดาแห่งคณะศิลปะของเราพร้อมกัน”
แม้ปากจะบอกว่าชื่นชมแต่ก็ไม่มีความชื่นชมในสายตาของเขา มีแต่ความเ็าแทน
“นายน้อยหัว มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า? ถ้าไม่มีก็อย่ามาเป็กขค.สิ”ฉินเฟิงเกลียดพวกเสแสร้งและชอบวางแผน
เมื่อเป็เช่นนั้นไม่ว่าจะสี่คุณชายแห่งเมืองเว่ยเฉิงหรือสี่นายน้อยแห่งมหาวิทยาลัยเว่ยเฉิงพวกมันล้วนเกลียดฉินเฟิงและกีดกันเขาออกไป เมื่อเห็นหัวิมาพูดอะไรแบบนี้ฉินเฟิงก็รู้ว่ามันไม่ได้มาดีแน่
“ฉินเฟิง ควบคุมตัวเองหน่อยก็ดีนะนายเพิ่งยั่วให้นายน้อยอวี่โกรธเื่หลินเป้ยเป้ยเมื่อไม่กี่วันก่อนดังนั้นอย่าให้ตัวเองมีปัญหาจะดีกว่า” หัวิขู่ฉินเฟิง
ฉินเฟิงรู้ว่าหัวิ้าจ้าวหลิงเซียนแต่เพราะมันเป็คนเสเพลเล่ห์เหลี่ยมเยอะเขาจึงไม่อยากเห็นน้องหลิงเซียนของเขาต้องตกอยู่ในกำมือของมัน
“นายขู่ฉันเหรอ หืม?” ฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม“วันนั้นที่สนามกีฬา อวี่เหวินเสียงมันก็ขู่ฉันแบบนี้แหละ แล้วผลเป็ไง? ไอ้เด็กนั่นมันก็โดนฉันกระทืบ วันนี้นายก็อยากโดนกระทืบเหมือนกันเหรอ?”
“แก...” หัวิโกรธมากจนอยากกระอักเื แต่เมื่อคิดถึงฝีมือของฉินเฟิงเขารู้สึกกลัวเล็กน้อยและสงบจิตสงบใจลง
“ฮึ่ม การใช้กำลังแก้ปัญหามันก็แค่พวกสถุลเขาทำกัน ที่นี่คือมหาวิทยาลัยพวกเราทั้งหมดเป็คนมีการศึกษาจากสังคมชั้นสูงนายกล้าใช้สมองแข่งกับนายน้อยผู้นี้หรือเปล่า?”
“แล้วคิดอะไรไว้ล่ะ?” ฉินเฟิงถามอย่างลวกๆ
สมอง? ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงอาจจะกังวล อย่างไรก็ตามั้แ่ที่เขาสุ่มได้ทักษะคัดลายมือ เปียโน และศิลปะจากจับสลากเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็ปรมาจารย์แห่งวรรณกรรม
“พวกเราทั้งคู่ก็อยู่คณะศิลปะ และวิชาเอกก็เป็ศิลปะจีนเช่นนี้เราก็ทำให้มันง่ายขึ้นดีกว่าเราแต่ละคนต้องหาคนมาเป็แบบในการวาดภาพโดยใช้ลายเส้นจีนเราจะให้ครูหยุนเซียวเป็คนตัดสิน และใครก็ตามที่วาดได้ดีกว่าเป็ผู้ชนะ”หัวิมั่นใจอย่างมาก ก่อนที่จะท้าแข่ง เขาได้เตรียมความพร้อมมาเพียงพอแล้ว
แม้ว่าฉินเฟิงและหัวิจะเป็นายน้อยเ้าสำราญทั้งคู่และชอบเล่นสนุกแต่ฉินเฟิงเข้าคณะศิลปะเพราะมีสาวสวยเยอะในทางกลับกันหัวิชอบวาดรูปและมีพร์ด้านศิลปะที่ไม่ธรรมดา
ในคณะศิลปะเขาเป็หนึ่งในนักเรียนระดับท็อป และการวาดภาพที่ลึกซึ้งของเขาก็หาใครเปรียบแม้แต่ศาสตราจารย์บางคนก็ยังชมผลงานของเขาท่ามกลางผู้คน