แต่ในความเงียบงันนั้น มีเพียงมารตีคนเดียวที่ยังนิ่ง...มองแสงจันทร์ที่สะท้อนผิวน้ำ เธอไม่ได้คิดถึงใครในตอนนี้ แต่ใจเธอ...ยังถามตัวเองว่า “แล้วหัวใจฉันล่ะ...จะยอมอยู่กับใครในที่สุด?”
แดดยามสายเริ่มทอแสงอ่อนๆ ลงบนลานจอดรถด้านหน้ารีสอร์ตวิลล่าริมทะเลที่เพิ่งกลายเป็เวทีของความรู้สึกหลายมิติ บัดนี้ค่อยๆ เงียบลง เหลือเพียงลมอ่อนพัดใบมะพร้าวให้ไหวเอนอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับจะบอกลา
กระเป๋าเดินทางถูกวางเรียงไว้ข้างรถตู้สีขาวสะอาด ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ มารตียืนมองท้องฟ้า มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงลินินสีขาว ส่วนอีกข้างถือแว่นกันแดดแวววาวที่ยังไม่ได้สวม ใจเธอเหมือนจะลอยล่องอยู่กับสายลม เหมือนยังไม่อยากกลับ
“พร้อมหรือยัง คุณรตี” วรเมธเดินเข้ามา เคาะกระจกแว่นกันแดดของเธอเบาๆ
หญิงสาวหันไปยิ้มบางๆ “ยังเลย…ใจยังอยากอยู่ตรงนี้อีกนิด”
จิรภาเดินตามมาติดๆ พร้อมปพนต์ ทั้งสองคนใส่เสื้อเชิ้ตปล่อยชายกับกางเกงขาสั้นในโทนเอิร์ธโทน เหมือนคู่รักที่เพิ่งกลับจากเกาะส่วนตัว
“ถ้าทริปนี้มีอีกวัน ฉันกลัวจะติดใจจนไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตปกติแล้วล่ะ” จิรภาพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือไปกอดมารตี
“เอาใหม่มั้ยครับ?” ปพนต์พูดขึ้น “เราจัดอีกทริปสิ คราวหน้าไปูเาบ้าง ทะเลสาบบ้าง…หรือจะไปบ้านนัทพงษ์ก็ได้นะ”
มารตีหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ั์ตาสะท้อนแสงแปลกประหลาด มันคือแสงของการยอมรับ...และความเข้าใจตนเองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“พูดถึงนัทพงษ์ ฉันยังไม่ได้อ่านข้อความที่เขาส่งมาเลย” หญิงสาวพูดเบาๆ คล้ายจะบอกกับตัวเอง
วรเมธพยักหน้า “ไม่ต้องรีบก็ได้นะ แค่ตอนนี้คุณรู้ว่าคุณอยากกลับไปเจอเขาไหม...แค่นั้นก็มากพอแล้ว”
จิรภาเดินเข้ามาโอบไหล่มารตี มืออีกข้างโอบวรเมธเข้ามา แล้วพูดว่า “เรากอดกันสี่คนเถอะ ฉันว่าพลังงานดีๆ มันยังไม่หมดนะ”
ปพนต์ยิ้มแล้วโผเข้ากอดจากด้านหลัง แขนใหญ่ของเขาโอบทั้งจิรภาและมารตีอย่างแแ่ วรเมธหัวเราะคิกก่อนจะกอดทับจากด้านข้าง ทั้งสี่คนหมุนตัวเป็วงกลมเหมือนเด็กๆ สลับกอดกันเป็คู่ แล้วรวมกันอีกครั้ง ราวกับจะกักเก็บความทรงจำนี้ไว้ให้นานที่สุด
“ทริปหน้า!” จิรภาพูดเสียงดัง
“ทริปหน้า!” วรเมธตอบกลับทันควัน
“ทริปหน้า…” มารตีพูดเบากว่าแต่ดวงตาสั่นระริก
“แน่นอน...ทริปหน้า” ปพนต์เอ่ยย้ำ และไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็คำสัญญาพลางเอียงหน้าไปจูบจริภาหนักๆ ที่ริมฝีปาก
เงาร่มไม้ทอดยาวลงบนพื้นคอนกรีตขาวสะอาด เสียงนกร้องจากยอดไม้สลับกับเสียงคลื่นเื้ัราวกับกำลังบรรเลงเพลงอำลา
มารตีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา หน้าจอแสดงข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่านจากนัทพงษ์ ชื่อของเขาเด่นชัด พร้อมข้อความสั้นๆ ว่า “ถึงพี่จะไม่ตอบ...แต่ผมจะรอ”
เธอไม่ได้เปิดอ่านต่อ แต่ยิ้ม และพิมพ์ข้อความกลับไปสั้นๆ “พี่กลับกรุงเทพฯ วันนี้...แล้วเราค่อยคุยกันนะ”
จากนั้นเธอก็ล็อกหน้าจอ หันไปมองคนทั้งสามที่ยืนรอเธออยู่ข้างรถ “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
เสียงประตูรถปิดลง ตามด้วยเครื่องยนต์ที่ติดขึ้นอย่างนุ่มนวล รถตู้คันขาวแล่นออกจากรีสอร์ตริมทะเลช้าๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องผ่านหลังคาต้นไม้ บนท้องฟ้า เมฆขาวลอยเรียงรายเหมือนคลื่นใจที่กำลังค่อยๆ สงบลง ในหัวใจของมารตี ไม่มีคำถามอีกแล้วว่าต้องเลือกใครก่อน เธอไม่ต้องเลือก เพราะหัวใจของเธอเต็มแล้ว เต็มด้วยความเข้าใจ ความรักหลากมิติ และการยอมรับว่าความรักไม่จำเป็ต้องจำกัดแค่รูปแบบเดียว
เสียงกริ่งประตูหน้ารั้วบ้านดังขึ้นพร้อมกับแสงแดดอ่อนยามบ่ายที่ลอดผ่านม่านบางเบาในห้องรับแขก มารตีวางแก้วชาในมือลงบนโต๊ะไม้กระจก หันไปสบตากับปพนต์ ซึ่งเพียงพยักหน้าเบาๆ จารวีโทรมาบอกแล้วว่าจะแวะมาเยี่ยมพวกเขาในวันนี้
“พร้อมนะจ๊ะ?” เขาถามยิ้มๆ
“พร้อมสิคะ” มารตียิ้มตอบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงแปลกๆ ั้แ่เช้า
ภาพของจารวีในชุดเดรสขาวเรียบหรู แต่เผยให้เห็นสัดส่วนที่ยังคงเย้ายวนเรืองรอง ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ คนที่เดินเคียงข้างมาด้วยกลับดูแตกต่าง เขาสูง ผิวแทน คิ้วเข้ม เส้นผมตัดสั้นเรียบเนี้ยบ ใบหน้าคมและสุขุม เงียบขรึม แต่ท่าทางอบอุ่น
“วิชิตคะ นี่มารตี และพี่ปพนต์ เ้าบ้านคนสวยกับสามีใจดี” จารวีกล่าวแนะนำ พลางเอื้อมมือไปแตะเอวชายหนุ่มเบาๆ อย่างแสดงความเป็เ้าของ
วิชิตค้อมศีรษะให้มารตี และยกมือไหว้ปพนต์ด้วยท่าทีสุภาพ แต่ดวงตาของเขากลับจับจ้องมาที่มารตีอย่างไม่ตั้งใจนัก เพียงเสี้ยววินาที แค่ครั้งแรกที่สบตา เขาก็เหมือนถูกกระแสบางอย่างดึงดูดไว้ หญิงสาวตรงหน้า ไม่ได้แต่งหน้าจัดแต่สวยสง่าราวกับนางงามจักรวาล ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงเสื้อคลุมไหมที่ทาบทับชุดเดรสบนร่างกายอย่างพอเหมาะ แต่ทุกอณูของเธอสะท้อนแรงดึงดูดที่ยากจะละสายตา ผิวเนียนนวล แววตากลมโตที่เย้ายวนแฝงความนิ่งลึก… และรอยยิ้มที่ไม่ได้ยั่วยวนอย่างตั้งใจ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปทั้งตัว
มารตีเห็นแววตาคู่นั้น เหมือนชายหนุ่มกำลังเพ่งมองอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงรูปกายของเธอ
จารวีจับมือวิชิตเบาๆ แล้วพาเดินเข้ามา มารตีเชิญให้นั่งตรงโซฟา ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นเกินบ้านทั่วไป
“บ้านน่าอยู่มากครับ” วิชิตเอ่ยหลังจากเงียบไปพักใหญ่ขณะหันไปมองหน้าหญิงสาวเ้าของบ้าน เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้คำพูดที่ธรรมดาดูมีน้ำหนักขึ้นอย่างน่าประหลาด
“ขอบคุณค่ะ” มารตีตอบ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ “แค่จัดวางให้มันเหมือนเราอยู่กันอย่างมีใจค่ะ ไม่ต้องหรู แต่ต้องอบอุ่น”
“พูดเหมือนจารวีเป๊ะเลยครับ” เขายิ้ม แต่พอหันไปสบตากับแฟนตัวเอง กลับเห็นจารวียักคิ้วใส่มารตีอย่างมีเลศนัย
ปพนต์เดินเข้ามานั่งร่วมวง พร้อมเสิร์ฟไวน์ให้ทุกคน “ดีใจนะครับ ที่พาเขามาให้รู้จัก”
ารวีจิบไวน์ แล้วยกแขนขึ้นพาดพนักโซฟา ปลายนิ้วเธอไล้แ่เบาบนไหล่เปลือยของมารตีในจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกต เว้นแต่วิชิต ที่หันมาเห็นเข้าพอดี
เขาไม่ได้แสดงอะไรออกมา แต่แววตากลับมีบางอย่างวูบผ่าน เหมือนกำลังรับรู้ว่าเขาเดินเข้ามาในโลกที่ไม่ได้ตรงไปตรงมา โลกที่ความสัมพันธ์ไม่ได้อยู่แค่ในกรอบคำว่า "แฟน" หรือ "สามีภรรยา"
หลังจากไวน์เริ่มไหลเข้าสู่เส้นเื การพูดคุยระหว่างทั้งสี่คนก็เป็ธรรมชาติมากขึ้น ปพนต์พูดคุยเื่ธุรกิจกับวิชิต ส่วนจารวีเปลี่ยนไปนั่งข้างมารตี มือเรียวเล็กของเธอวางบนต้นขาของมารตีอย่างสบายๆ ดูราวกับวางบนที่พักแขนก็ไม่ปาน
“ยังสวยและทรงเสน่ห์เหมือนเดิมเลยนะเธอ” จารวีกระซิบเบาๆ กลิ่นน้ำหอมของเธอลอยกระทบปลายจมูกของสาวสวย
“ส่วนเธอก็ยัง…ช่างกล้าเหมือนเดิมเลยนะ” มารตีตอบพลางขยับต้นขาเมื่อรู้สึกว่ามือเรียวนั้นเคลื่อนผ่านชายกระโปรงสูงขึ้นมาแล้ว แต่ไม่ได้เบี่ยงหนี
ปพนต์เห็นการกระทำทุกอย่าง และเขายิ้ม แบบเดียวกับที่เคยยิ้มเสมอในวันที่เขายอมรับว่า…โลกของมารตี มันกว้างใหญ่และน่าหลงใหลเกินกว่าที่เขาจะเพียงผู้เดียวได้
ส่วนวิชิตเงียบ แต่ยังคงสังเกต เขาไม่พูดอะไร แต่ั์ตากลับคอยไล่ตามทุกอาการของมารตี ในบางจังหวะ…เขาเองก็เหมือนเผลอสูดหายใจแรงขึ้น เมื่อหญิงสาวเลิกผมขึ้นทัดหู หรือหัวเราะเสียงนุ่มนวล เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ดูเหมือนหลายอารมณ์ผูกพันสานกันในอากาศ ทุกคนรู้ว่าวันนี้…ไม่ใช่แค่การมาเยี่ยมของเพื่อนเก่า แต่คือบทใหม่ ที่กำลังจะถูกเขียนขึ้นในสมุดบันทึกของหัวใจทุกดวงในห้องนี้
ค่ำคืนในบ้านหลังใหญ่กลางใจเมือง เงาไฟจากโคมไฟแขวนเพดานสาดไล้โต๊ะอาหารยาวที่ถูกจัดอย่างประณีต สเต็กเนื้ออบฉ่ำ ซุปข้าวโพดเนื้อเนียน ขนมปังอบหอมกรุ่น และไวน์แดงเกรดดีถูกเสิร์ฟเรียงรายบนโต๊ะ เรียกความรู้สึก “พิเศษ” ให้กับมื้อค่ำครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย มารตีนั่งหัวโต๊ะ ปพนต์อยู่ข้างขวา วิชิตนั่งตรงข้ามเธอ โดยมีจารวีนั่งประกบข้างเขา
แสงเทียนไหวเบาๆ ตามลมจากหน้าต่างที่เปิดรับอากาศยามค่ำคืน มารตีลูบผ้าปูโต๊ะปลายมือแ่เบา เธอไม่ได้แต่งอะไรมากนัก ชุดเดรสสายเดี่ยวผ้าซาตินสีไวน์แดงคล้องไหล่คอเว้าลึก เนื้อผ้าลื่นแนบกายเผยทรวดทรงโนบราที่สดุดตา เธอรู้ว่ามันสวยยั่วยวน และเธอจงใจสวมมัน...แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไม