เผชิญหน้ากับคำถามของฮูหยินหง ลู่เต้ารู้สึกผิดจนตัวสั่นเล็กน้อย
เพราะรอยแตกใหญ่บนกำแพงนั้นเป็ฝีมือของเขาเอง ตอนนั้นลู่เต้าที่อยู่ในห้องอาบน้ำบังเอิญเจอกับหงฮวาที่กำลังจะอาบน้ำพอดิบพอดี ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางหนี เขาจึงได้แต่รวบรวมพลังิญญาทุบกำแพงหนีออกมา
หงฝูลุกขึ้นยืนยิ้มๆ ก่อนคำนับฮูหยินหง “เื่นี้อาจจะเป็การเข้าใจผิดก็ได้ขอรับ”
“เข้าใจผิดงั้นหรือ” ฮูหยินหงจงใจพูดเสียงสูงลากยาว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันจางหายไปทันที “ข้าไปดูห้องอาบน้ำด้วยตัวเองแล้ว น้ำในอ่างอาบน้ำไหลออกไปหมด! เ้ายังกล้าบอกว่าข้าเข้าใจผิดอีกหรือ คืนนี้ข้าจะชำระกายแช่น้ำนมได้อย่างไร”
ฮูหยินหงรู้มานานแล้วว่าหงฝูไม่พอใจที่ตนเองกุมอำนาจในหอเงินไว้ไม่ยอมปล่อย จึงมักจะคอยเล่นงานลับหลังเสมอ นางจึงส่งคนไปคอยจับตาดูทั้งสองพี่น้องเอาไว้
“ขอรับ เป็การเข้าใจผิด” หงฝูยังคงยิ้มแย้ม
“โอ้? เช่นนั้น ท่านก็ลองบอกข้ามาสิ ฮูหยินผู้นี้เข้าใจผิดตรงไหน" ฮูหยินตระกูลหงเอ่ย ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มที่แม้ดวงตาจะฉายแววเ็า
แม้ทั้งสองจะยังคงยิ้มแย้ม แต่บทสนทนากลับคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นดินปืน คนในจวนตระกูลหงต่างรู้ดีว่าทั้งสองไม่ลงรอยกัน แม้จะไม่เผชิญหน้ากันตรงๆ แต่ก็คอยข่มกันอยู่เสมอ
แม้ภายนอกหงฝูจะดูเฉื่อยชา แต่กลับเป็คนรอบคอบ ทำสิ่งใดล้วนระมัดระวัง ทำให้ฮูหยินจับผิดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหาเื่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
การที่ห้องอาบน้ำพังยับเยินในครั้งนี้ ทำให้ฮูหยินสบโอกาสขึ้นมา แล้วรีบมาหาเื่ทันที
หงฝูยังคงฉีกยิ้มไม่พูดไม่จา ฮูหยินแสร้งทำท่าทางเสียใจ "ฝูเอ๋อร์ แม้เ้ากับเสี่ยวฮวาจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้า แต่ข้าก็รักใคร่เอ็นดูเ้าทั้งสองเหมือนลูกในไส้เสมอมา..."
หงฝูที่ได้ยินดังนั้นก็แทบสำรอกอาหารออกมา
"แต่การกระทำเช่นนี้ไม่สมกับเป็ลูกผู้ชายยิ่งนัก ข้าว่าเื่ที่จะให้เ้ารับ่ต่อสาขาหลักที่เมืองัทมิฬ รอให้เ้าเป็ผู้ใหญ่กว่านี้แล้วค่อยว่ากันเถิด" ฮูหยินแสร้งทำเป็เศร้าโศก จากนั้นก็วกเข้าเื่การสืบทอดตำแหน่ง
"แต่...ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำห้องอาบน้ำพัง ท่านจะให้ข้ายอมรับได้อย่างไร" หงฝูยังคงยิ้มแย้มราวพระสังกัจจายน์
ฮูหยินชะงักไปครู่หนึ่ง "ไม่ใช่เ้าคนนี้งั้นหรือ"
นางปรายตามองหงฮวาด้วยแววตาเคลือบแคลงคิดในใจ "หรือจะเป็..."
หงฮวาไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว กลับจ้องฮูหยินไม่คิดเสสายตาหลบ
ทันใดนั้นหงฝูก็ก้าวออกมาขวางทั้งสอง "เป็ไปไม่ได้ที่เสี่ยวฮวาผู้บอบบางจะทำเื่เช่นนี้"
ฮูหยินกวาดตามองพี่น้องตระกูลหงไปมา ในที่สุดก็หยุดลงที่ลู่เต้า นางขมวดคิ้วมองลู่เต้าั้แ่หัวจรดเท้า "เ้าเป็คนทำหรือ"
ลู่เต้าที่เผชิญหน้ากับคนอื่นไม่ค่อยเก่งนัก ย่อมไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าควรมีท่าทีอย่างไรดี หงฝูจึงรีบออกโรงไกล่เกลี่ย
"ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านเฮยเจิ้งมีวรยุทธ์สูงส่ง แค่ไอไม่ได้ปิดปาก กำแพงยังเป็รูได้เลย ท่านเฮยเจิ้งคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ"
เดิมทีลู่เต้าเหมือนเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางมหาสมุทร คำพูดของหงฝูจึงกลายเป็ฟางเส้นสุดท้ายที่เขาต้องรีบเออออตามทันใด "เอ่อ...ใช่แล้ว ข้าจามทีเดียวรุนแรงกว่านี้อีก"
เดิมทีฮูหยินตั้งใจจะมาเอาเื่หงฝูที่แกล้งทำห้องอาบน้ำพัง แต่ตอนนี้กลับพบว่าเป็แขกที่มาเยี่ยมทำพังโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่มีข้ออ้างใดจะหาเื่ต่อ
"ลู่เต้า? ไม่เคยได้ยิน" ฮูหยินไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มหน้าซื่อตรงหน้าจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ก่อนจะรู้เบื้องลึกเื้ั นางก็ไม่กล้าเสี่ยง
หากไปล่วงเกินศิษย์สำนักใหญ่เข้า แล้วอาจารย์ของพวกเขาไม่พอใจขึ้นมา อย่าว่าแต่ร้านแลกเงินเล็กๆ แห่งนี้เลย แม้แต่เมืองทั้งเมืองก็เคยมีข่าวลือว่าถูกถอนรากถอนโคนมาแล้ว
สรุปก็คือต้องสืบเื่ของคนผู้นี้ก่อน
"ลู่เต้า? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน" ฮูหยินถามด้วยรอยยิ้ม "ไม่ทราบว่าเป็ศิษย์ของผู้ใด สังกัดสำนักไหนหรือ"
"ศิษย์ของผู้ใดงั้นหรือ" ลู่เต้าตอบซื่อๆ โดยไม่ทันคิด "ข้าไม่ได้มีอาจารย์ ไม่ได้สังกัดสำนักไหนทั้งนั้น"
"โอ้?" มุมปากฮูหยินยกขึ้นราวกับได้โอกาส จึงถามสาวใช้ข้างกาย "ผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนด้วยตัวเองมักจะมีวรยุทธ์ระดับไหน"
"เรียนฮูหยิน โดยทั่วไปแล้วจะมีวรยุทธ์ระดับหนึ่งดารา บางคนที่มีพร์มีโชค อาจไปถึงระดับสองดาราเ้าค่ะ" สาวใช้ตอบอย่างนอบน้อม
ในยุคที่พลังิญญาเหือดแห้ง อาหารที่ช่วยเพิ่มพลังิญญาเป็ทรัพยากรที่หายาก เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏสัตว์ิญญาหรือซากโบราณ มักจะถูกคนของสำนักต่างๆ เข้ายึดครองเสมอ
เว้นแต่ว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างลู่เต้าจะโชคดีเป็พิเศษ มิเช่นนั้นก็ยากที่จะต่อกรกับตระกูลใหญ่สำนักใหญ่เพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้ ดังนั้นวรยุทธ์ของผู้ฝึกตนอิสระส่วนใหญ่มักจะหยุดอยู่ที่ระดับสองดาราเท่านั้น
"หมายความว่า อย่างมากเ้าเด็กนี่ก็แค่ระดับสองดาราสินะ" ฮูหยินมองลู่เต้าอีกครั้ง พร้อมคิดเยาะเย้ยในใจ
ไป๋เสียที่เงียบอยู่นานก็เริ่มรำคาญขึ้นมา "กินข้าวเสร็จแล้ว ทำไมยังไม่กลับห้องอีก มัวพูดพล่ามอะไรอยู่ได้"
ลู่เต้าได้แต่แก้ตัว "ก็ฮูหยินมาหาเื่ข้า"
ฮูหยินยิ้มหวาน ดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน "ข้ามีเื่จะรบกวน ไม่ทราบว่าท่านเฮยเจิ้งพอจะช่วยได้หรือไม่"
ไป๋เสียไม่สนใจเื่ของมนุษย์อยู่แล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ "เช่นนั้นเ้าก็รีบจัดการนางซะ ไม่งั้นข้าจะจัดการเอง!"
"รู้แล้วๆ! ก็ได้!" ลู่เต้ารีบตอบตกลงด้วยความลนลาน
ฮูหยินคิดว่าลู่เต้าตอบตกลงตนจึงเอ่ย "มีซินแสดูฮวงจุ้ยให้ข้า บอกว่า่นี้เส้นพลังิญญาใต้ดินเปลี่ยนทิศทาง ก้อนหินฮวงจุ้ยในสวนก็ควรจะเปลี่ยนตำแหน่งด้วย"
"เส้นพลังิญญาใต้ดินเปลี่ยนทิศทาง? ไป๋เสียเคยพูดถึงเื่นี้มาก่อนนี่" ลู่เต้าถาม "เช่นนั้นฮูหยิน้าให้ข้า...?"
"ข้าหวังว่าท่านเฮยเจิ้งจะช่วยเหลือสักเล็กน้อย ตามจริงแม้หงฝูจะเป็ผู้ฝึกตน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองมีพลังอะไร จวนหงก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยเขา ให้ของวิเศษกินอยู่ไม่ขาด แต่กลับไร้ประโยชน์ ช่างไร้ค่าเสียจริง..." ฮูหยินต่อว่าหงฝูอย่างไม่สะทกสะท้าน
ลู่เต้าคิดในใจ ‘สตรีผู้นี้ดูเป็ผู้ใหญ่ก็จริง แต่กลับทำตัวไม่ต่างจากเด็ก’
ดูเหมือนว่าไม่ใช่เด็กทุกคนจะโตเป็ผู้ใหญ่ได้!
ขณะที่ลู่เต้ากำลังครุ่นคิด แเื่ทุกคนก็มาถึงสวนแล้ว หงฝูกลัวว่าจะล่วงเกินลู่เต้า จึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยิน
"ท่านเฮยเจิ้งเป็แขกนะ! ไม่ได้เป็คนงาน! ไม่งั้นให้ข้า..."
"ท่านเฮยเจิ้งเป็ถึงยอดฝีมือ แค่ไอกำแพงยังเป็รู เช่นนั้นเคลื่อนย้ายก้อนหินเช่นนี้ คงไม่ใช่เื่ยากกระมัง" ฮูหยินขัดจังหวะดึงตัวหงฝูมายืนข้างหลัง
ฮูหยินแอบคำนวณในใจ ก้อนหินฮวงจุ้ยนี้หนักถึงห้าร้อยชั่ง ต้องใช้ชายร่างกำยำถึงสิบคนจึงจะยกไหว
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนระดับหนึ่งดาราสามารถยกได้สองร้อยชั่ง ทุกครั้งที่เลื่อนระดับจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ก้อนหินขนาดใหญ่เช่นนี้ อย่างน้อยต้องเป็ผู้ฝึกตนระดับสามดาราจึงจะยกไหว เห็นได้ชัดว่าฮูหยิน้าใช้ก้อนหินนี้ทดสอบระดับวรยุทธ์ของลู่เต้านั่นเอง
ฮูหยินยังคงยิ้มแย้ม แต่สายตากลับจับจ้องท่าทีของลู่เต้าไม่วางตา
เป็ไปตามคาด!
เมื่อลู่เต้าประจักษ์ต่อก้อนหินฮวงจุ้ยใหญ่โตตรงหน้า ก็พลันนิ่งอึ้งไป
