ตอนจ้านอู๋มิ่งรุดมาถึงห้องโถงใหญ่ เป็เวลาที่ทุกคนพากันแยกย้ายกันไปอย่างไม่มีความสุขพอดี เจิ้งอวี้ฟูและพวกรีบจากไปเหมือนสุนัขหลงทาง จ้านอู๋มิ่งงวยงงยิ่งนัก เขาเป็แขกผู้มีเกียรติมิใช่หรือ? ไฉนจึงดูเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้แล้วก็มิปาน
จ้านอู๋มิ่งเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตระกูลที่บรรยากาศเคร่งเครียด มองเพียงครั้งเดียว ยกเว้นท่านปู่ใหญ่และท่านปู่สามที่อยู่ใน่เข้าด่านกักตัวแล้ว บุคคลสำคัญของตระกูลจ้านล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ท่านแม่ก็อยู่ด้วยเช่นกัน สีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียดอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดเื่ราวใดขึ้น
“อู๋มิ่ง เ้าออกจากด่านแล้ว?” จ้านชิงหลงมองเห็นจ้านอู๋มิ่ง อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด นี่คือหลานชายที่แสนดีอะไรเช่นนี้ โชคดีที่ปีนั้นเขาไม่ได้ถูกสังหารเสียชีวิต ถ้าไม่ใช่โอสถน้ำเจ็ดดาราผลัดเปลี่ยนกายาของหลานชายคนนี้และโอสถน้ำชนิดต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นในภายหลัง ตนจะทะลวงด่านบรรลุระดับราชันาตอนอายุสี่สิบห้าปีได้อย่างไร อีกทั้งยังทะลวงด่านนักหลอมโอสถระดับห้าอีกด้วย หลานตัวน้อยผู้นี้คือดาวนำโชคของตนจริงๆ เห็นจ้านอู๋มิ่งออกจากด่านแล้ว อาการหงุดหงิดขุ่นข้องของจ้านชิงหลงสลายหายไปจนหมดสิ้น
ความกระตือรือร้นมากน้ำใจของจ้านชิงหลง จ้านอู๋มิ่งเริ่มคุ้นเคยจนรู้สึกธรรมดาแล้ว แต่จ้านชิงเผิงและจ้านเทียนสิง ยังมีจ้านชิงหู่และหลายคนงวยงงอย่างยิ่ง พี่ชายผู้งมงายในโอสถคนนี้ปฏิบัติต่อหลานชายของเขาดีเช่นนี้ั้แ่เมื่อไรกัน ั้แ่เด็กจนเติบใหญ่ยังมิเคยเห็นเขาปฏิบัติต่อน้องชายตนเองดีขนาดนี้มาก่อน จ้านอู๋มิ่งเข้าหอโอสถเพียงไม่กี่ปี พี่ใหญ่ผู้งมงายในโอสถกลับปฏิบัติต่อเขาเหมือนดั่งเช่นบรรพบุรุษก็ไม่ปาน
“ใช่แล้ว ครั้งนี้ระยะเวลากักตัวปิดด่านของมิ่งเอ๋อร์ค่อนข้างนานจริงๆ แต่ว่าก็ได้คิดค้นโอสถชนิดใหม่สำเร็จขนานหนึ่ง” จ้านอู๋มิ่งเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์บนใบหน้า เห็นแล้วจ้านชิงหลงรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจขึ้นมา นี่คือสีหน้ายามจ้านอู๋มิ่งไปหอโอสถเพื่อเรียกร้องส่วนผสมสูงค่า หลายปีมานี้แม้ว่าตระกูลจ้านจะทำเงินได้มากมายมหาศาลจากภายนอก แต่วัตถุดิบหลอมยาของหอโอสถร่อยหรอลงแล้ว หลานคนนี้เสมือนหนอนแทะข้าวสารตลอดเวลา และเลือกกินเฉพาะโอสถล้ำเลิศอีกด้วย ได้มาเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของจ้านอู๋มิ่งอีกครั้ง ความสุขของจ้านชิงหลงที่บรรลุขอบเขตนักหลอมโอสถระดับห้ากลายเป็ความกังวลไปแล้ว หวั่นกลัวว่าวันใดท่านผู้เฒ่าตรวจสอบบัญชีหอโอสถขึ้นมา พบว่าสมุนไพรพร่องไปมากมายขนาดนี้ ตนจะไม่โดนถลกหนังหรอกหรือ
“มีโอสถตัวใหม่?” จ้านเทียนสิงก็ลืมตา ยิ้มขึ้นมาทันใด พลันบรรยากาศคับข้องใจในห้องโถงใหญ่มลายหายหมดสิ้น ใน่หลายปีที่ผ่านมาทุกครั้งที่จ้านอู๋มิ่งคิดค้นโอสถตัวใหม่ ล้วนทำให้ตระกูลจ้านได้รับผลประโยชน์มากมายนับมิถ้วน สถานภาพของตระกูลสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นท่านปู่ผู้เฒ่าจ้านยังต้องครุ่นคิดอย่างจริงจัง มันคุ้มหรือไม่ที่ตระกูลจ้านไปตอแยจนตระกูลเจิ้งจนบันดาลโทสะเพื่อสะใภ้คนเล็ก ตอนนี้กลับแตกต่างแล้ว มิต้องกล่าวถึงสะใภ้มีคุณธรรมกตัญญู แค่พูดถึงสะใภ้ที่ให้กำเนิดหลานชายน้อยที่สามารถออกไข่ทองคำผู้นี้ออกมาคนหนึ่ง ผู้ใดจะยินยอมไปล่วงเกินมารดาและบุตรคู่นี้บ้างเล่า นั่นมิใช่ขับไล่เทพเ้าแห่งโชคลาภออกไปหรอกหรือ
“มิผิด กำลังคิดจะตามท่านลุงใหญ่ไปทดลองโอสถพอดี แต่ว่าเกิดเื่ใดขึ้นกันแน่?” จ้านอู๋มิ่งถามขึ้น เขารู้สึกว่าเมื่อครู่บรรยากาศในโถงใหญ่ดูหนักอึ้งยิ่งนัก
จ้านชิงหลงพบกับหลานชายที่ประเสริฐคนนี้ เขาเปลี่ยนจากผู้งมงายในโอสถกลายเป็สตรีปากไวไปทันที ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็เล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นให้ฟังเที่ยวหนึ่ง ดูิ่เหยียดหยามน้าสามของจ้านอู๋มิ่งอย่างยิ่ง
สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเขียวคล้ำ ความกรุ่นโกรธเกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เขามองดูจากสีหน้าของมารดา ทราบว่าท่านลุงใหญ่มิได้โป้ปดตน เขาคิดไม่ถึงว่ากลุ่มคนในป่าสัตว์อสูรวันนั้นกลับถูกส่งมาจากครอบครัวท่านตา นี่เป็เื่ไร้สาระเพียงใด ั้แ่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นผู้ใดในตระกูลท่านตามาก่อน แม้แต่น้าสามและลูกพี่ลูกน้องที่กล่าวถึงเมื่อครู่นี้เองก็ด้วย
“ชิงหลง เื่นี้เ้าเที่ยวพูดวุ่นวายกับมิ่งเอ๋อร์ไปทำไม เอาล่ะ แยกย้ายกันเถอะ เื่ราววันนี้ยุติเพียงเท่านี้ ชิงเผิง เ้าเองก็ต้องมีการเตรียมพร้อมด้วย คนจากตระกูลเจิ้งมาไม่ประสงค์ดี ่นี้รุ่ยเหนียงก็อย่าได้ออกไปข้างนอก ให้คอยอยู่แต่ในจวน” จ้านเทียนสิงพูดขัดคอจ้านชิงหลง
“ขอบคุณท่านอาสองที่ห่วงใย” เจิ้งรุ่ยเหนียงแสดงการคารวะคราหนึ่ง ถึงแม้วันนี้จะรู้สึกคับข้องใจ แต่ว่าภายในจิตใจรู้สึกอบอุ่น ทั้งตระกูลจ้านล้วนสนับสนุนนาง โดยเฉพาะการปกป้องของสามี ทำให้นางทราบจุดยืนของตนเองในใจของครอบครัวตระกูลจ้าน
“ท่านอาสองโปรดวางใจ ในเมืองมู่เหย่ พวกมันมิกล้าทำสิ่งใด ข้าจะให้คนคอยเฝ้าสังเกตพวกมันไว้” จ้านชิงเผิงกล่าวอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลังจากพูดจบจ้านเทียนสิงก็เดินออกไปนอกห้องโถงใหญ่ เดินมาถึงข้างกายจ้านอู๋มิ่ง ลูบศีรษะจ้านอู๋มิ่งเบาๆ พูดอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า “มิ่งเอ๋อร์ เ้าเติบโตขึ้นแล้ว ข้าปู่สองปรารถนาดีต่อเ้า จงเชื่อฟังวาจาของลุงใหญ่เ้า”
“ท่านปู่สองโปรดวางใจ มิ่งเอ๋อร์ต้องไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”
“มิ่งเอ๋อร์ เ้าตามมารดามาทางนี้หน่อย มารดามีวาจาจะพูดกับเ้า” เจิ้งรุ่ยเหนียงดึงจ้านอู๋มิ่งคราหนึ่ง
“ไปเถอะ!” จ้านชิงเผิงเหมือนจะรู้ว่านางคิดสิ่งใด เขากระซิบที่หูจ้านอู๋มิ่งตอนที่เดินออกจากประตูพร้อมกับท่านปู่ผู้เฒ่า “มารดาเ้าอารมณ์ไม่ดี ปลอบใจนางแทนบิดาเ้าให้ดีๆ สักครา”
ในหัวใจจ้านอู๋มิ่งร้อนขึ้นวูบ ความทรงจำที่กระจัดกระจายผุดขึ้นในห้วงคำนึง จิตสังหารผุดขึ้นในใจ “ตระกูลเจิ้ง ไม่คิดว่าพวกเ้าจะมาเยือนถึงที่ แต่ว่าครั้งนี้ข้าจะไม่ล้มลงเพราะพวกเ้าอีกแล้ว ข้าจะต้องให้พวกเ้าชดใช้ทุกอย่างที่เคยทำเอาไว้!”
……
เื่ราวของเจิ้งรุ่ยเหนียงยืนยันความทรงจำของจ้านอู๋มิ่งอีกครั้ง ฉินเซียง ท่านแม่ของเจิ้งรุ่ยเหนียงมีสถานะอันทรงเกียรติยิ่ง ตระกูลฉินมีบทบาทสำคัญในแคว้นของมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว เป็ตระกูลขุนนางอย่างแท้จริง ความแข็งแกร่งของตระกูลไม่ได้ด้อยกว่าสำนักนิกายชั้นนำในแคว้นนี้
ฉินเซียงกล่าวได้ว่าเป็สตรีรูปโฉมสะคราญยิ่งนัก ในตอนนั้นบุคคลที่โดดเด่นมากมายตามติดหมายชนะใจนาง เจิ้งอู๋จี้ อดีตหัวหน้าตระกูลเจิ้ง ท่านตาของจ้านอู๋มิ่งก็เป็หนึ่งในจำนวนนั้น แต่ทว่าฉินเซียงกลับไปตกหลุมรักบุคคลที่นางมิสมควรรักผู้หนึ่ง คนในตระกูลที่เป็อริบาดหมางของตระกูลฉิน หนานกงว่าง น้องคนสุดท้องของตระกูลหนานกง ทั้งสองตัดสินใจร่วมชีวิตคู่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของตระกูลทั้งสองฝ่าย
ท่านปู่ผู้เฒ่าตระกูลฉินบันดาลโทสะยิ่งนักหลังจากทราบเื่นี้ กักบริเวณให้ฉินเซียงอยู่แต่ในบ้าน หนานกงว่างถูกตระกูลลงโทษกักตัวสำนึกตนนานร่วมสิบปี แต่ตระกูลฉินพบว่าฉินเซียงตั้งครรภ์ขึ้นแล้ว และเด็กนั้นเป็สายเืของตระกูลหนานกง
ผู้นำตระกูลฉินบันดาลโทสะ้ากำจัดทารกในครรภ์ แต่อับจนปัญญาด้วยฉินเซียงใช้ความตายมาคัดค้าน
ภายใต้ความผิดหวังของหัวหน้าตระกูลฉิน จึงให้ฉินเซียงแต่งงานกับเจิ้งอู๋จี้ที่พยายามตามติดเพื่อชนะใจนางอย่างกระตือรือร้นมากที่สุดในขณะนั้น เจิ้งอู๋จี้ที่ทราบอยู่แล้วว่าฉินเซียงกำลังตั้งครรภ์ ปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติต่อเด็กน้อยดุจดั่งบุตรของตน ดังนั้นฉินเซียงจึงได้ตอบตกลงการแต่งงาน ตระกูลฉินเพื่อปกปิดความอัปยศอดสู จึงเร่งรีบให้บุตรีออกเรือน ต่อมาฉินเซียงให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเจิ้งรุ่ยเหนียงนั่นเอง
เนื่องจากเจิ้งอู๋จี้เป็บุตรเขยตระกูลฉินแล้วและยังสนิทชิดเชื้อกับตระกูลจวี้อู๋ป้า ทำให้ตระกูลเจิ้งรู้สึกเป็เกียรติและเชิดหน้าชูตา เหตุนี้เองตระกูลเจิ้งจึงได้เห็นคุณค่าความสำคัญ ตอบแทนด้วยการให้ดำรงตำแหน่งกลายเป็หัวหน้าตระกูลเจิ้ง
เพราะสถานะพิเศษของฉินเซียง ตระกูลเจิ้งจึงมิกล้าละเลยต่อฉินเซียงสองแม่ลูก จวบจนกระทั่งเมื่อสามสิบปีก่อน ตระกูลฉินตอแยมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วจนบันดาลโทสะ นำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่แก่ตระกูลฉิน ถูกกดดันปราบปรามทั่วทุกแห่งหน อิทธิพลดิ่งเหวลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
แต่ว่ามหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วก็มิกล้าเข่นฆ่าสังหารตระกูลฉินจนสิ้นซาก เพราะบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลฉินก็เป็คนโเี้อำมหิตผู้หนึ่งเช่นกัน แต่ด้วยสาเหตุนี้ตระกูลเจิ้งกลับมิเห็นความสำคัญของฉินเซียงอีกต่อไป ความรักใคร่เอ็นดูของเจิ้งอู๋จี้ที่มีต่อเจิ้งรุ่ยเหนียงก็แปรเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน กลายเป็สุดแสนร้ายกาจ
ยี่สิบปีก่อน เขาให้เจิ้งรุ่ยเหนียงแต่งเข้าตระกูลจ้าน ตระกูลเล็กๆ ที่อ่อนแอและอยู่ห่างไกลตระกูลหนึ่ง ดุจดั่งหมากตัวหนึ่งที่วางไว้ในเมืองมู่เหย่ก็มิปาน กับฉินเซียงเองก็ไม่ได้มีความรักใคร่มากเหมือนเก่าก่อนอีกต่อไป
จวบจนกระทั่งสิบปีก่อน บรรพบุรุษตระกูลฉินผ่านทัณฑ์สายฟ้าภัยพิบัติล้มเหลว มหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วเปิดฉากโจมตีรวดเร็วปานสายฟ้า ตระกูลฉินถูกทำลายพินาศ ไม่มีใครจำได้ว่าตระกูลฉินยังมีบุตรสาวอีกคนแต่งงานไปอยู่ในแคว้นราชวงศ์ต้าเหยียน ไม่เพียงแค่ตระกูลเจิ้งไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของฉินเซียงให้ภายนอกทราบ ยังจับฉินเซียงกักบริเวณอยู่ในห้องลับยาวนานกว่าสิบปี เกรงว่าจะถูกคนของมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วรู้ความสัมพันธ์ของตระกูลเจิ้งและตระกูลฉิน เจิ้งอู๋จี้เองก็ถอนตัวจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เจ็ดปีก่อนฉินเซียงพลันล้มป่วยและเสียชีวิตลงกะทันหัน สายเืคนสุดท้ายของตระกูลฉินจึงขาดสะบั้นลงเช่นนี้
ตระกูลเจิ้งได้ยินมาจากที่ใดก็มิทราบ หลังจากมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วทำลายตระกูลฉินลงแล้ว กลับไม่พบคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" สุดยอดวิชายุทธ์ไร้ผู้ทัดเทียมของตระกูลฉิน ตำนานเล่าขานว่าคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" เป็สุดยอดทักษะการต่อสู้ขั้นสูงระดับฟ้า มีฤทธิ์พลังอำนาจสูงส่งสุดหยั่งคาด หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ตระกูลเจิ้งก็ได้ข่าวสารเพิ่มเติมอีกว่า บรรพบุรุษเฒ่าตระกูลฉินสามารถคาดการณ์ถึงภยันตรายของตระกูลฉินมาแต่แรกเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นจึงมอบคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" ให้ฉินเซียงอย่างลับๆ แต่ตอนที่ฉินเซียงเสียชีวิต กลับไม่มีผู้ใดพบคัมภีร์สุดยอดทักษะการต่อสู้เล่มนั้น ดังนั้นตระกูลเจิ้งจึงสงสัยว่าฉินเซียงได้มอบให้กับเจิ้งรุ่ยเหนียง เพียงแต่ไร้หลักฐานยืนยันตลอดมา
เื่ราวในป่าสัตว์อสูรเมื่อห้าปีที่แล้วเป็ฝีมือของตระกูลเจิ้งจริงๆ ตระกูลเจิ้งไม่ได้้าสังหารเขาให้เสียชีวิต แต่้าจับเป็เขา และใช้เขามาข่มขู่เจิ้งรุ่ยเหนียงให้ยอมมอบคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" ออกมา จ้านอู๋มิ่งโกรธเคืองอย่างยิ่ง พฤติกรรมของตระกูลเจิ้งทำให้เขารู้สึกรังเกียจ สันดานความอัปลักษณ์ของมนุษย์ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ฉินเซียงมีพลังฌานการบ่มเพาะระดับราชันาขั้นสูงสุด จะล้มป่วยเสียชีวิตได้อย่างไร จะต้องถูกสังหารโดยคนของตระกูลเจิ้งอย่างแน่นอน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มารดาตนจะมีความคิดที่ไม่ดีต่อตระกูลเจิ้งเพียงนี้
“ท่านแม่ โปรดวางใจ บุตรจะเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้ท่านย่าเอง ตระกูลเจิ้งไม่มีความจำเป็ต้องดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว” ได้ทราบว่าท่านแม่และตระกูลเจิ้งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเื พลันจิตใจของจ้านอู๋มิ่งก็ผ่อนคลายลงอย่างมากมาย
“เด็กโง่เอ๋ย ตระกูลเจิ้งยอดฝีมือคลาคล่ำ ต่อให้ตระกูลจ้านทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา มารดาบอกเื่นี้ให้เ้าทราบก็เพื่อให้เ้าระมัดระวังคนของตระกูลเจิ้งไว้ อย่าปล่อยให้พวกมันฉวยโอกาสได้เด็ดขาด” เจิ้งรุ่ยเหนียงพูดยิ้มๆ
“ท่านแม่ คัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" เล่มนั้น...อยู่ในมือท่านจริงๆ หรือ?” จ้านอู๋มิ่งถาม
เจิ้งรุ่ยเหนียงใคราหนึ่งและพยักหน้า หันมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“ลูก้าดูว่ามันคือสิ่งใดกันแน่” จ้านอู๋มิ่งนึกถึงตนเองในชาติภพก่อน เพราะคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" เล่มหนึ่ง จึงสามารถทำลายข้อจำกัดทางร่างกายและเริ่มฝึกจิติญญาแห่งการต่อสู้ หลังจากนั้นเดินทางออกจากราชวงศ์ต้าเหยียน ได้รับคัมภีร์ "เคล็ดวิชาอสนีบาต" โดยบังเอิญ ฝึกวิชาน้ำแข็งเย็นะเืกับวิชาอสนีบาตควบคู่พร้อมกัน จึงได้กลายเป็จักรพรรดิอสนีบาตจิตเยือกแข็ง ตระกูลจ้านกับมารดาก็เป็เพราะคัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" จึงถูกทำลายสิ้นโดยตระกูลจี้ร่วมมือกับกองกำลังต่างถิ่น
ตอนนี้ คัมภีร์ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" ปรากฏขึ้นแล้ว จ้านอู๋มิ่งไม่้าให้ทุกอย่างอุบัติซ้ำขึ้นอีก เมื่อเป็เช่นนั้นจึงได้แต่เป็ฝ่ายลงมือก่อนแล้ว!
……
เจิ้งซื่อหรงที่ออกจากเมืองหลวงมาเฉกเช่นนกที่ออกจากกรง เขาโชคดีที่ได้ตามลุงสามออกมาหาประสบการณ์ ในเมืองหลวงถูกควบคุมจนอัดอั้นทุกแห่งหน และเมืองมู่เหย่แห่งนี้ สำหรับเขาแล้วมันก็คือสถานที่รกร้างดีๆ นี่เอง ได้ยินมานานแล้วว่ามีสมบัติธรรมชาติมากมายในป่าอสูรและแดนรกร้างโหยวอวิ๋นต้าหวง ครั้งนี้ได้ออกมาภายนอกแล้ว สิ่งสำคัญคือคิดจะไปเปิดหูเปิดตาดูป่าอสูรสักครั้งเป็หลัก ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือคิดออกมาปลดปล่อยผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย
อี๋หงย่วนคือหอคณิกาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองมู่เหย่ เนื่องจากเมืองมู่เหย่ใกล้กับโหยวอวิ๋นต้าหวง มักมีนักเสี่ยงโชคออกแสวงหาของหายากในถิ่นรกร้างทุรกันดาร สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนรกร้างไม่มีสิ่งใดเกินคือจิ้งจอกสาวแห่งโหยวอวิ๋น เผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารมายาวนานเนิ่นนานปี ตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษเป็เผ่าพันธุ์จิ้งจอกที่ฝึกฌานบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จมรรคาเต๋า หลังจากอยู่ร่วมกับมนุษย์ รวมสายพันธุ์เข้าด้วยกันกลายเป็เผ่าพันธุ์ที่สืบทอดต่อมา จิ้งจอกสาวแห่งโหยวอวิ๋น เกิดมามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ ทุกนางสวยงามเปี่ยมเสน่ห์ไร้ผู้ทัดเทียม มูลค่านับหมื่นเหรียญทอง แต่ว่าเผ่าจิ้งจอกสาวแห่งโหยวอวิ๋นมีจำนวนน้อยยิ่งนัก ดำเนินชีวิตอยู่ในส่วนลึกของแดนรกร้างโหยวอวิ๋น ปราดเปรียวคล่องแคล่วตามธรรมชาติเช่นจิ้งจอก อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารเหมือนสัตว์ในตำนานเื่เล่าก็มิปาน จับตัวยากยิ่งนัก อี๋หงย่วนใช้เงินจำนวนมหาศาลจึงสามารถหาซื้อมาได้เพียงคนเดียว ถือเป็สมบัติล้ำค่า
เป็เพราะจิ้งจอกสาวคนนี้ อี๋หงย่วนจึงเป็ที่รู้จักกันดีทั้งใกล้และไกล ทุกคนในเมืองหลวงล้วนทราบดี มีข่าวลือว่าจักรพรรดิต้าเหยียนเคยถามข้าราชบริพารเป็การส่วนพระองค์ ด้วยหวังว่าจะสามารถเพิ่มจิ้งจอกสาวไว้ในวังหลัง สมาคมทหารรับจ้างล้วนประกาศข้อมูลข่าวสารถึงกัน แต่ก็ยังคงจับตัวไม่ได้ตลอดมา
ในใจเจิ้งซื่อหรงนึกถึงแต่แดนรกร้างโหยวอวิ๋น ข่าวลือเื่จิ้งจอกสาวแห่งโหยวอวิ๋นส่วนใหญ่ได้ยินจากปากของพรรคพวกเสเพล ในเมืองหลวงมักจะมีบรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่ที่เกียจคร้าน มิได้กระทำกิจอันใดอยู่เสมอ พูดแต่เื่ราวไร้สาระตลอดทั้งวัน สถานที่อย่างอี๋หงย่วนจึงไม่รู้สึกแปลกหูแปลกตาแต่อย่างใด ดังนั้นั้แ่ออกมาจากตระกูลจ้านแล้ว เจิ้งซื่อหรงก็หาข้ออ้างแยกตัวจากท่านอามุ่งหน้าตรงไปทางอี๋หงย่วนทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้