หลังจากที่เนี่ยเทียนและพันเทาจากมาจึงเลือกเดินมั่วๆ ไปยังทิศทางหนึ่ง เดินมาได้ครู่เดียวก็หยุดชะงักลง
“อาหารเ่าั้ของอารามเสวียนอู้ หากคิดจะรอจนกว่าประตูโลกลับจะเปิดออก ต่อไปทุกคนคงหิวโหยกันทุกวัน” พันเทาทอดสายตามองออกไปไกล กล่าว “ต้องโทษพวกเราที่เอาแต่เร่งรุดเดินทาง ระหว่างทางทิ้งอาหารไปตั้งมากมาย”
เนี่ยเทียนหัวเราะ “ฮ่าๆ อันที่จริงแล้วต้องโทษข้าต่างหาก ก่อนหน้าที่พวกเ้ายังมาไม่ถึง เจิ้งปินนึกว่าอาหารที่พวกเขาเก็บไว้มีมากพอจึงให้ข้ากินได้ตามสบาย พวกเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเ้าจะกลับมาด้วยสภาพที่กระเซอะกระเซิง มาถึงด้วยมือเปล่ากันแบบนี้”
เขาไม่ได้รู้สึกอคติอะไรกับเจิ้งปินนัก
หลังจากที่ได้อยู่กับพวกผู้ประลองของอารามเสวียนอู้มาพักหนึ่ง จึงรู้ว่าภายใต้การนำของเจิ้งปิน บรรยากาศภายในของอารามเสวียนอู้นั้นสมัครสมานสามัคคีกันมากทีเดียว
อีกทั้งเจิ้งปินผู้นี้ก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ มิฉะนั้นคงไม่ตอบสนองปริมาณอาหารที่มากมายตามความ้าของเขาเช่นนั้น
“อืม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้รู้จักกับเจิ้งปินมาก่อน แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ได้รับคำสรรเสริญจากคนไม่น้อย” พันเทาเองก็ยิ้มเช่นกัน “เพียงแต่ว่า เขารู้สึกว่าเ้ากับข้าออกมาจากคนกลุ่มใหญ่ เขาสามารถยอมรับได้ เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกพวกเรา”
“ไม่เป็อะไรหรอก ขอแค่หาของกินเจอ ทำให้ทุกคนไม่ต้องหิวโหยกันอีก ก็ถือว่าข้าได้ตอบแทนบุญคุณของพวกเขาแล้ว” เมื่อพูดเช่นนี้ เนี่ยเทียนจึงหลับตาลงเบาๆ ปลดปล่อยกระแสจิตที่มหาศาลของเขาออกไปสำรวจความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตรอบด้าน
พันเทารู้ความมหัศจรรย์ของเขา พอเห็นว่าเขาหลับตาลงจึงไม่พูดอะไรรบกวนอีก
ผ่านไปครู่หนึ่งเนี่ยเทียนก็ส่ายหัว กล่าวว่า “บริเวณใกล้เคียงนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิต พวกเราเปลี่ยนที่กัน”
“ได้”
ทั้งสองคนเดินเตร่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เนี่ยเทียนใช้พลังจิตออกไปรับััคลื่นพลังชีวิตอยู่ตลอดเวลา
น่าเสียดายที่พื้นที่ใกล้เคียงประตูโลกลับ คล้ายจะไม่มีสัตว์วิเศษตัวใดมาเดินเพ่นพ่านจริงๆ
เขาเดินวนอยู่รอบหนึ่ง สำรวจอยู่หลายครั้งก็ยังไม่ค้นพบอะไรสักอย่าง
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เนี่ยเทียนหลับตาลงรับัั อยู่ๆ เขาก็ััได้ถึงคลื่นเืลมผิดปกติที่ส่งตรงออกมาจากจุดลึกใต้ดิน
สีหน้าเขาพลันตื่นเต้น เข้าใจไปว่าจุดลึกใต้ดินมีสัตว์วิเศษประเภทเดียวกับกิ้งก่าดินซ่อนตัวอยู่ จึงรีบรวบรวมกระแสจิตแทรกซึมเข้าไปยังใต้ดินทันที
การรับััครั้งนี้เขาพลันพบว่าส่วนลึกของใต้ดิน มีเส้นเืที่คล้ายกับลำธารเส้นเล็กมากมายหลายเส้นค่อยๆ คืบคลานมาอย่างเชื่องช้า
เส้นเืเ่าั้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยได้อย่างเลือนราง...
“ปราณเืที่มาจากร่างของอวี๋ถง!”
ครู่ใหญ่ หน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี ยิ่งตั้งใจรับััมากกว่าเดิม
เขาััได้อย่างชัดเจนว่าเส้นเืมากมายหลายเส้นที่ซุกซ่อนปราณเืเอาไว้ แต่กลับไม่มีปราณของจิติญญาใดๆ กำลังยืดขยายออกไปยังจุดที่พวกเจิ้งปินรวมตัวกันอยู่
ปราณเืแต่ละเส้นเ่าั้ตัดสลับกันเป็ก้อน คล้ายตาข่ายคาวเืขนาดั์ที่ตาถี่หนาแน่น ราวกับ้าดักจับสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
เขาพลันเบิกตากว้าง มองซ้ายแลขวา กล่าวเตือนพันเทาด้วยความระมัดระวัง “ผิดปกติ! จุดลึกของใต้ดินมีเส้นเืเล็กๆ มากมาย! เส้นเืพวกนั้นข้ามั่นใจว่าถูกปล่อยออกมาจากร่างของนางมารอวี๋ถงแห่งสำนักโลหิต! ทิศทางที่เส้นเืไหลไปคือจุดที่พวกเจิ้งปินรวมตัวกันอยู่!”
“เส้นเืหลายเส้น มาจากนางมารอวี๋ถงรึ?” พันเทาใ จากนั้นก็ขมวดคิ้วฉับ ครุ่นคิดทันที
ผ่านไปหลายวิ พันเทาพลันตัวสั่นะเื ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา “ตาข่ายปฐี! คือตาข่ายปฐี เวทต้องห้ามของสำนักโลหิต! คนของสำนักโลหิตและสำนักภูตผีน่าจะอยู่ใกล้ๆ กับพวกเรา! พวกเขามีเข็มทิศโลหิตจึงรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเรา! แย่แล้ว เนี่ยเทียน พวกเราต้องรีบกลับไป!”
“ตาข่ายปฐีคืออะไร?” เนี่ยเทียนสงสัย
“ไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว พวกเราต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด!” พันเทากล่าวอย่างร้อนรน
เนี่ยเทียนเองก็ตื่นเต้นตามพันเทาไปด้วย กล่าวว่า “อย่าบอกใครนะว่าข้าเป็คนหาความผิดปกติใต้พื้นดินเจอ พันเทา ช่วยกุมความลับให้ข้าด้วย”
“ข้าเข้าใจ” พันเทาพยักหน้า
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในโลกมายามรกต เขาก็เดาออกแล้วว่าการที่อยู่ๆ อันซืออี๋ที่จัดตัวลูกหลานตระกูลเนี่ยให้มาอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขา ต้องมีเป้าหมายอื่นอย่างแน่นอน
ทั้งอันอิ่งยังแอบบอกเป็นัยกับเขาลับๆ อยู่หลายครั้งว่าให้เขาและเจิ้งรุ่ยคอยหยั่งเชิงเนี่ยเทียน นั่นจึงยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้น
ทว่าวันนี้ ในใจของเขาได้มองเนี่ยเทียนเป็สหายร่วมต่อสู้ที่ขาดไม่ได้คนหนึ่งแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเพื่อนอย่างเนี่ยเทียนหายไป เขารู้ดีว่าควรจะทำเช่นไร
ไม่นานคนทั้งสองที่จากไปไม่นานก็กลับมารวมตัวกับทุกคนอีกครั้ง
“พวกเ้าพบอะไรหรือไม่? เจอสัตว์วิเศษหรือไม่?” หันซินแห่งอารามเสวียนอู้ พอเห็นว่าพวกเขากลับมาเร็วขนาดนี้จึงเริ่มเย้ยหยันทันที “บอกกับพวกเ้าั้แ่แรกแล้วว่าบริเวณใกล้เคียงนี้ไม่มีสัตว์วิเศษอยู่สักตัว แต่พวกเ้าก็ยังจะดึงดัน ต้องเพิ่มความเสี่ยงให้กับทุกคนให้ได้ พวกเ้าถึงจะพอใจสินะ?”
“หุบปาก!” พันเทาตวาดเสียงเย็น
“เ้าบอกให้ใครหุบปาก? เ้ากินของของพวกเรา ดื่มของของพวกเรา เ้ากลับมีหน้ามาตวาดใส่ข้ารึ?” หันซินโมโหปรี๊ดขึ้นมาทันที
ผู้ประลองหลายคนของอารามเสวียนอู้ลุกพรวดขึ้นยืน มองพันเทาด้วยความโกรธแค้น ทำท่าพร้อมลงไม้ลงมือทุกเมื่อ
เจิ้งปินเองก็มีสีหน้าไม่เป็มิตร “พันเทา ขอโทษหันซินด้วย!”
“หากขอโทษแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ข้าถึงจะขอโทษ!” พันเทาสีหน้ามืดคล้ำ ไม่ได้สนใจเจิ้งปิน แต่หันไปพูดกับอันอิ่งและเจียงหลิงจูว่า “เกิดเื่ใหญ่แล้ว สำนักภูตผีและสำนักโลหิตไม่เพียงแต่อยู่ใกล้ ทั้งยังเริ่มร่ายเวทลับของสำนักโลหิต---ตาข่ายปฐีแล้ว!”
“เ้าว่าอะไรนะ? ตาข่ายปฐี!” เจียงหลิงจูตะลึงพรึงเพริด
“จะเป็ไปได้อย่างไร? อวี๋ถงเพิ่งจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นท้าย์ นางไม่น่าจะมีความสามารถมากพอที่จะกระตุ้นตาข่ายปฐีได้สิ?” อันอิ่งร้องอุทาน
“เวทต้องห้ามสำนักโลหิต ตาข่ายปฐี?!” เจิ้งปินหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ไม่สนใจจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับหันซินอีก “เ้าแน่ใจหรือว่าเป็ตาข่ายปฐี? เ้าเจอได้อย่างไร?”
เวลานี้ เนี่ยเทียนที่กลับมาพร้อมกับพันเทาก็แอบเริ่มเป็กังวลแล้ว
เจียงหลิงจู อันอิ่ง และเจิ้งปิน ต่างก็เป็ลูกศิษย์ผู้เป็จุดศูนย์กลางของสำนักหลิงอวิ๋น หอหลิงเป่าและอารามเสวียนอู้ ทั้งยังเป็ผู้นำของทั้งสามฝ่าย
ก่อนหน้านี้พวกเขาจึงได้ทำความเข้าใจกับความลับของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตจากผู้าุโในสำนักมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนรู้ว่าตาข่ายปฐีหมายถึงสิ่งใด
คนสามคน พอได้ยินว่าสำนักโลหิตร่ายตาข่ายปฐีก็พากันหน้าถอดสีทันควัน นี่มากพอจะพิสูจน์ได้ถึงความน่ากลัวของตาข่ายปฐี
“พันเทา เป็ตาข่ายปฐีจริงๆ หรือ เ้าแน่ใจหรือไม่?” อันอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
บัดนี้ทุกคนล้วนหันมามองพันเทา รวมไปถึงหันซินที่ก่อนหน้านี้ปะทะฝีปากกับเขาซึ่งตอนนี้ใบหน้าซีดขาว ในใจเริ่มลนลาน
พันเทาลังเลเล็กน้อย แอบเหลือบมองเนี่ยเทียน เมื่อเขาพบว่าเนี่ยเทียนมีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้มีความตื่นตระหนกใดๆ พันเทาถึงได้พยักหน้าอย่างแรง “ข้าเอาหัวเป็ประกัน!”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ อันอิ่งจึงไร้ซึ่งความลังเลอีก รีบพูด: “ก่อนหน้าที่ตาข่ายปฐีจะก่อตัวสำเร็จ พวกเราต้องหาคนของสำนักภูติผีและสำนักโลหิตให้เจอก่อน พวกเราจะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้!”
“มีเพียงวิธีนี้แล้วล่ะ” เจียงหลิงจูตวาดเบาๆ
เจิ้งปินพยักหน้า และตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เช่นกัน รีบกล่าวว่า “ทุกคนใช้ที่แห่งนี้เป็จุดศูนย์กลาง เริ่มตามหาร่องรอยของคนสำนักภูตผีและสำนักโลหิต หากพบตัวพวกเขาเมื่อใดให้ะโดังๆ ทันที ในเมื่ออวี๋ถงผู้นั้นเพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นท้าย์ได้ไม่นาน ต่อให้นางอาศัยอาวุธวิเศษก็ไม่มีทางขยายขอบเขตของตาข่ายปฐีได้กว้างนัก!”
“นางต้องอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเป็แน่! ขอแค่หานางเจอ โจมตีนาง ไม่ให้ตาข่ายปฐีก่อตัวได้สำเร็จ พวกเราก็จะหลุดพ้นจากการจับกุมของตาข่ายเืได้!”
อันอิ่งพูดอย่างเด็ดขาดว่า “แยกกันไปหาพวกเขา!”
“เนี่ยเทียน! พวกเราไปด้วยกัน ข้ามีอาวุธที่พิเศษอย่างหนึ่ง สามารถรับััได้ถึงคลื่นเคลื่อนไหวของตาข่ายปฐี มีความเป็ไปได้มากที่สุดที่พวกเราจะตามเจอพวกเขา!” พันเทาเอ่ยกับเนี่ยเทียนอย่างรู้กันแล้วก็พุ่งพรวดออกไปทันที ไม่คิดอยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว
เขารู้ว่าเนี่ยเทียนจำเป็ต้องแยกตัวออกจากทุกคนถึงจะไม่เผยความสามารถในการรับััที่มหัศจรรย์นั้น
“ได้!” เนี่ยเทียนเองก็ตามออกไปทันทีทันใด
พริบตาเดียวพวกเขาสองคนก็นำทุกคนไปไกลก่อนใคร
“เขามีอาวุธพิเศษ...” เจิ้งปินสีหน้าตื่นเต้น คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทุกคนก็ไม่จำเป็ต้องแยกกันแล้ว ตามเขาไปก็แล้วกัน!”
“ไป!”
ผู้ประลองของสามสำนัก เวลานี้ต่างก็ละทิ้งความขัดแย้งก่อนหน้านั้น ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดที่ไม่เป็มิตรของพันเทาอีก รีบไล่ตามไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไปทันที
เนี่ยเทียนที่กำลังเดินตามมา ครู่เดียวก็ตามทันพันเทา เขาปลดปล่อยกระแสจิตออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาต้นกำเนิดของกระแสเส้นเืเ่าั้
ส่วนพันเทาก็หันไปะโใส่พวกคนที่เดินตามมา “รักษาระยะห่างกับข้า่หนึ่ง อาวุธบนร่างของข้าจะถูกปราณเืเนื้อมากเกินไปรบกวนเอาได้!”
ผู้ประลองสามสำนักเ่าั้ที่ตามเขามาติดๆ พอได้ยินเขาพูดแบบนี้จึงพากันลดความเร็วลงเล็กน้อย รักษาระยะที่ไม่ใกล้กับเขานัก
และเนี่ยเทียนก็ไม่ต้องเป็กังวลว่าจะมีคนจับได้ ใช้กระแสจิตรับััหาที่มาของกระแสเส้นเื ค่อยๆ เข้าไปใกล้อวี๋ถงมากขึ้นเรื่อยๆ
-----