เมื่อหลินเยว่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างผู้าุโทั้งสองแล้วเขาก็รู้สึกเขินจนเหงื่อตก เขาจะกลับไปที่นั่นเพื่อทบทวนความรู้เสียที่ไหนล่ะ เพราะความจริงเขา้ากลับไปทดลองว่าพลังพิเศษตาทิพย์ของเขาจะใช้ได้ผลจริงหรือเปล่าเขาจะสามารถเห็นความแตกต่างของดินเกาลินและหินพอร์ซเลนในแต่ละยุคแต่ละสมัยหรือเปล่าแล้วจะใช้ความแตกต่างเหล่านี้เป็ตัวตัดสินว่าเครื่องเคลือบอยู่ในยุคสมัยไหนได้หรือไม่ต่างหาก
แต่ทว่าหากการไปพิพิธภัณฑ์ในบ่ายวันนี้ไม่สามารถพบความแตกต่างของดินเกาลินและหินพอร์ซเลนในแต่ละยุคแต่ละสมัยแล้วเขาก็จะได้ทำตามในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ ก็คือเขาจะไปทบทวนความรู้ที่เขาได้รับมาเมื่อเช้านี้
หลังจากทานอาหารกลางวันในโรงแรมที่พวกเขาพักเสร็จเรียบร้อยแล้วหลินเยว่จึงบอกลาท่านเฮ่อฉางเหอแล้วจึงมุ่งหน้าตรงไปยังพิพิธภัณฑ์ทันที ส่วนท่านเฮ่อฉางเหอและท่านเจี่ยเหวยเกิ่งจะไปพบสหายเก่าของพวกเขาจางฮุยิจะไปฝึกสำรวจแผงที่ถนนวัตถุโบราณซึ่งจากเหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นว่าจางฮุยิก็เป็คนที่ขยันหาความรู้คนหนึ่งเพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าที่เขาไปสำรวจครั้งนี้ เขาไปเพื่อเก็บตกหาของดีหรือว่าไปเพื่อฝึกฝนสายตาของตัวเองกันแน่
เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์เนื่องจากพนักงานของทางพิพิธภัณฑ์รู้จักหลินเยว่แล้ว ดังนั้น ทางพิพิธภัณฑ์จึงปล่อยหลินเยว่ให้เข้าไปด้านในอย่างง่ายดายเมื่อเขาเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ เขาจึงพุ่งตัวไปยังชั้น 2 ทันที
เมื่อมาถึงตำแหน่งที่วางดินเกาลินและหินพอร์ซเลนหลินเยว่ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อยความคาดหวังในใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแต่ทว่าเขาก็รีบกดความตื่นเต้นเหล่านี้ลงไป สิ่งแรกในการฝึกการแกะสลักก็คือ การฝึกฝนการควบคุมจิตใจของตนเองและการฝึกจิตใจนี้ก็สามารถฝึกฝนได้ตลอดเวลาและ่เวลาที่เกิดความตื่นเต้นก็เป็เวลาที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการฝึกจิตใจ
หลินเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินตรงไปยังฝั่งเม็ดผลึกหินพอร์ซเลนเขาตั้งใจจะเริ่มสังเกตจากยุคสมัยที่เพิ่งผ่านไปแล้วค่อยไล่ย้อนดูไปยังสมัยโบราณ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้มีจำนวนทั้งหมดเท่าไรแต่หลินเยว่รู้ดีว่าจะต้องเป็จำนวนที่น่ากลัวอย่างแน่นอนอีกทั้งยังต้องคูณสองอีกด้วย
แน่นอน... หลินเยว่ไม่ได้เป็คนโง่ หากสังเกตเม็ดผลึกหินพอร์ซเลน2 - 3 ราชวงศ์ต่อเนื่องกันหรือสังเกตจากราชวงศ์ที่มีระยะเวลารวมห่างกัน500 ปีแล้วยังไม่เห็นถึงความแตกต่างเขาก็จะไม่สังเกตสิ่งเหล่านี้ต่อเพราะหากยังแยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างเครื่องเคลือบที่มีอายุห่างกัน 500 ปี เขาคงไม่ต้องทำอาชีพนักพิสูจน์เครื่องเคลือบแล้วล่ะจะได้ไม่ต้องไปขายขี้หน้าคนอื่น
แต่ทว่า่เวลา 2 - 3ราชวงศ์หรือราชวงศ์ที่มีระยะเวลารวมห่างกัน500 ปีเท่านี้ รวมๆแล้วก็มีหินพอร์ซเลนจำนวนไม่น้อยเลย
ภารกิจของเขายังหนักหนาและยาวไกลนัก!
หินพอร์ซเลนเป็แร่ตระกูลซิลิเกตที่ประกอบด้วยแร่ควอตซ์ แร่เซริไซต์รวมทั้งแร่ฟันม้าและอะลูมินา เป็ต้น ภายในมีความซับซ้อน ตอนนี้หลินเยว่ยังไม่กล้ายืนยันว่าตนเองจะสามารถพบความแตกต่างของมันได้หรือไม่
เมื่อหลินเยว่มั่นใจว่าบนชั้น 2 นี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว เขาจึงรีบเพ่งมองผลึกหินที่อยู่ตรงหน้าทันที
สมาธิถูกจดจ่อเป็หนึ่งเดียวพลังพิเศษตาทิพย์เริ่มเปิดขึ้น
หลินเยว่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วแต่ทว่าความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้เขาไม่มีทางลืมได้ตลอดกาลเขาััได้ว่าพลังพิเศษของเขาสามารถใช้งานได้นานขึ้นเรื่อยๆเพียงแต่ว่าเขายังไม่รู้ว่าเขาจะสามารถใช้ได้นานต่อเนื่องสูงสุดเป็เวลาเท่าไร
แต่ทว่าการใช้พลังพิเศษในการสังเกตผลึกหินครั้งนี้มันไม่จำเป็ต้องใช้เวลานานสักเท่าไร
เดิมทีหินพอร์ซเลนบริสุทธิ์ก็เป็สีขาวอยู่แล้วจึงทำให้ดูเหมือนว่ามันมีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เมื่อพลังพิเศษตาทิพย์เปิดออกหลินเยว่จึงได้ัักับโลกที่เต็มไปด้วยหิมะและหมอกผสมผสานกันมันเป็ความขาวสว่างเต็มไปหมดในขณะเดียวกันเขากลับมองเห็นชัดในจุดที่เขาอยู่เท่านั้น ส่วนอื่นๆ กลับกลายเป็ภาพเลือนราง
หลินเยว่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาสังเกตอยู่ไม่ใช่ผลึกหินพอร์ซเลนแต่เป็น้ำตาลเคลือบก้อนหนึ่งที่เขาเคยกินเมื่อตอนยังเป็เด็กและทำให้เกิดความรู้สึกว่าอยากจะกัดลงไปสักคำทันที
ผลึกหินพอร์ซเลนมีความแข็งและถูกจัดตัวอย่างเป็ระเบียบแต่ทว่ากลับให้ความรู้สึกถึงความหนืดอย่างหนึ่ง หลินเยว่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันมาจากไหนทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้พบของเหลวหรือความอ่อนตัวเลยสักนิด
หลินเยว่เคยใช้พลังพิเศษสังเกตหินหยกมาก่อนเขาย่อมรู้ดีว่าความรู้สึกเวลาสังเกตหินหยกเป็อย่างไร หยกเนื้อน้ำแข็งจะให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นและหยกที่แตกต่างกันก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันบวกกับหินพอร์ซเลนที่เขาสังเกตในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าหินที่แตกต่างกัน นอกจากจะมีลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันแล้วความรู้สึกที่เกิดจากการสังเกตจากภายในย่อมแตกต่างกันด้วย
ในเมื่อหินแต่ละชนิดให้ความรู้สึกที่เป็เอกลักษณ์เช่นนี้ถ้าเช่นนั้นเขาจะสามารถใช้ความหนืดเช่นนี้มาตัดสินว่าเป็เครื่องเคลือบในยุคสมัยไหนได้หรือไม่?
ความคิดเช่นนี้ก็ทำให้จิตใจของหลินเยว่ที่มีความสงบนิ่งในตอนแรกก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแทน
ในที่สุดเขาก็พบตัวแปรที่สำคัญและหากเป็เช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็ต้องหลับหูหลับตาสังเกตด้านอื่นๆ อีกแล้ว ดังนั้นทำให้เขาสามารถลดเวลาลงไปได้เยอะ อีกทั้งนอกจากหินพอร์ซเลนแล้วเขายังต้องสังเกตดินเกาลินอีกด้วย
เมื่อหาวิธีการได้แล้วหลินเยว่จึงพยายามสงบจิตใจเพื่อรับรู้ถึงความหนืดของผลึกหินพอร์ซเลนที่อยู่เบื้องหน้า
เขาสังเกตผลึกหินพอร์ซเลนจากกองที่หนึ่งเสร็จอย่างรวดเร็วในใจแอบจดจำความหนืดที่เขาััได้อย่างแม่นยำ
ความหนืดนี้เป็เพียงความรู้สึกชนิดหนึ่งจึงสามารถใช้ใจััเท่านั้น เพราะเขาไม่สามารถใช้ตัวเลขหรือหน่วยวัดอื่นๆมาระบุได้เลย หลินเยว่จำเป็ต้องใช้เวลาสักพักในการจดจำถึงจะสามารถจำความรู้สึกนี้ได้
หลินเยว่เข้าใจหลักการการมองจากจุดเล็กๆเพื่อสรุปภาพรวมได้เป็อย่างดี ดังนั้น หินพอร์ซเลนในสมัยเดียวกันก็น่าจะมีความเหมือนกันดังนั้น เขาจึงเลือกสังเกตเพียงผลึกเดียวในแต่ละกองที่อยู่ใน่เวลาเดียวกันก็พอแล้วแต่เพื่อเป็การทดสอบว่าความคิดนี้มีความถูกต้องหลินเยว่จึงสังเกตผลึกหินอีกผลึกใน่เวลาเดียวกันอีกครั้ง และแล้วเขาก็ััถึงความรู้สึกที่ผลึกหินทั้งสองผลึกส่งตรงมาถึงจิตใจของเขา
ถึงแม้ว่าความหนืดจะเป็ความรู้สึกล่องลอย อีกทั้งยิ่งคิดก็ยิ่งยากที่จะจดจำแต่ทว่าหลินเยว่ก็รับรู้ได้เป็อย่างดีว่าความรู้สึกที่ได้รับจากทั้งสองผลึกนี้มีความเหมือนกันจริงๆ
และก็เป็ไปตามที่คาดการณ์ ความหนืดที่เกิดขึ้นในผลึกหินของ่เวลาเดียวกันก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนกัน
หลินเยว่จึงเริ่มเกิดความคาดหวังกับผลึกหินพอร์ซเลนกองถัดไป
หากความหนืดของหินพอร์ซเลนกองนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับกองที่แล้วดังนั้น เขาก็จะสามารถใช้ความหนืดเป็วิธีตัดสินว่าเครื่องเคลือบชิ้นหนึ่งๆเป็ของแท้หรือของปลอม
เขารวบรวมสมาธิ พลังพิเศษตาทิพย์ถูกเปิดออกอีกครั้ง
การใช้พลังพิเศษเป็ระยะเวลาสั้นๆสองครั้งเมื่อสักครู่ก็แทบจะไม่ได้ใช้พลังกายพลังใจไปสักเท่าไรหลินเยว่มั่นใจว่าเขามีพลังเหลือเพียงพอที่จะสามารถสังเกตหินพอร์ซเลนได้ทั้งหมดส่วนจะสามารถไปสังเกตดินเกาลินต่ออีกหรือไม่ คงต้องให้ฟ้าเป็ผู้ลิขิตเสียแล้ว
หลินเยว่ัักับความรู้สึกขณะเพ่งมองหินพอร์ซเลนเบื้องหน้าอย่างเงียบๆในใจของเขาก็ค่อยๆ นิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเยว่พบความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ อย่างรวดเร็วแต่ก็อาจจะไม่ถือว่าเป็ความแตกต่างก็ได้ เพราะว่าหินพอร์ซเลนนี้ให้ความรู้สึกถึงความหนืดที่ต่ำกว่าเล็กน้อย
ต่ำกว่าเล็กน้อย?
นี่จะนับว่าเป็ความแตกต่างได้หรือไม่?
หลินเยว่ขมวดคิ้วแน่นในใจของเขากำลังเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากผลึกหินเมื่อสักครู่
เมื่อเปรียบเทียบไปสักพักเขาก็ไม่พบถึงความแตกต่างอื่นๆ นอกจากความรู้สึกว่ามีความหนืดต่ำกว่า และความหนืดที่ต่ำกว่านี้ก็เป็เพียงความแตกต่างเล็กน้อยเท่านั้นมันน้อยจนแทบจะทำให้คนมองข้ามไป หากเป็คนที่ไม่ได้เก็บรายละเอียด ก็คงไม่สามารถััได้ถึงความรู้สึกนี้
หรือว่าความหนืดสูงหรือต่ำจะเป็ตัวแยกความแตกต่าง?
หลินเยว่เกิดความข้องใจในขณะที่เดินไปยังผลึกหินพอร์ซเลนกองที่สาม
ความแตกต่างด้านความหนืดสูงหรือต่ำมันแตกต่างจากความคิดแรกของหลินเยว่อย่างสิ้นเชิงเพราะตอนแรกเขาคิดว่ามันจะเป็ความรู้สึกที่แตกต่างราวกับรสเปรี้ยวหวานขมเผ็ดแต่ทว่าคาดไม่ถึงว่ากลับเป็ความรู้สึกที่ยากจะตัดสินเช่นนี้อีกทั้งมันยังมีความแตกต่างน้อยมากจนแทบจะสังเกตไม่เห็น
เมื่อเดินไปถึงผลึกหินพอร์ซเลนกองที่สาม หลินเยว่จึงเปิดพลังพิเศษตาทิพย์อีกครั้ง
ครั้งนี้เขาัักับความรู้สึกที่แตกต่างจากภายในโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นๆ
สภาพผลึกไม่มีความแตกต่างใดๆ ความหยาบก็ไม่มีความแตกต่าง......
ความหนืด......ก็มีระดับต่ำกว่าอีกเล็กน้อย
เมื่อััได้ว่าความหนืดมีความเปลี่ยนแปลงหลินเยว่ก็เกร็งไปทั้งร่าง
นี่คือความแตกต่างระหว่างหินพอร์ซเลนแต่ละยุคแต่ละสมัย!!!
ตอนแรกที่หลินเยว่ััได้ถึงความแตกต่างระหว่างความหนืดสูงหรือต่ำนั้นเขาก็ยังรู้สึกข้องใจอยู่แต่ทว่าตอนนี้ความข้องใจนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปยังแห่งหนใดก็ไม่รู้เสียแล้ว
หลินเยว่จึงรีบวิ่งไปยังหินพอร์ซเลนกองที่สี่และก็ััถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้นครั้งนี้เขา้าสร้างความมั่นใจว่าหินพอร์ซเลนในยุคสมัยที่แตกต่างกันจะให้ความรู้สึกถึงความหนืดสูงหรือต่ำแตกต่างกันจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้