บทที่ 77 ป่าสีเื
หมู่บ้านหงอู้ตกอยู่ในความวุ่นวาย บ้านเรือนถูกทำลายนับไม่ถ้วน แม้ว่าหลายคนจะไม่พอใจ แต่กลุ่มหมาป่าก็มีอำนาจมากจนพวกเขาทำได้แค่กลืนความโกรธลงท้อง
ทว่าสิ่งนี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของกลุ่มัเหล็กเลย หลังจากการไล่ล่า พวกเขาก็จัดงานเลี้ยงในโรงเตี๊ยมขึ้นมา อาหารโอชามีมาเติมไม่ขาดสาย กลิ่นเนื้อฟุ้งกระจาย เต็มไปด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง
ทุกคนร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ชื่นชมฉู่อวิ๋นเป็อย่างมาก ยกจอกเหล้าดื่มคารวะให้เขาไม่หยุด
ทว่าฉู่อวิ๋นเป็เพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี ไม่นานสติก็เริ่มขาดหาย แต่เพื่อการต้อนรับอย่างอบอุ่นและกล้าหาญของทุกคน เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกเหล้าดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่ร่างกายร้อนเร่าดังไฟเผา
หลังจากงานเลี้ยงจบลง จันทร์กระจ่างทอแสงเย็นตา สีนภาย้อมหมึกมืดสนิท มีเพียงก้อนเมฆสีแดงที่ลอยอยู่เหนือป่าสีเืเท่านั้นที่ลอยเด่น กระแสใต้น้ำหมุนวนเชี่ยวกราก
ฉู่อวิ๋นได้มู่หรงซินช่วยพยุงกลับมาที่ห้อง เขาเวียนหัวตาลาย เอนตัวลงบนเตียงเสียงดังปักและหลับไปทันที มู่หรงซินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะด่าเขาไปหนึ่งคำรบ “ผีขี้เมา!”
วันนี้ มือของฉู่อวิ๋นเปื้อนเืไปไม่น้อย เขาสังหารคนไปกว่ายี่สิบชีวิต ทั้งยังถูกเริ่นอวี่สิงตามล่า เหนื่อยล้าทั้งกายใจ จำเป็ต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หลังจากได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ฉู่อวิ๋นก็ลืมตาขึ้น รู้สึกสบายตัวอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็เวลากว่าครึ่งคืนแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นนั่งและเหยียดตัวบิดี้เี ทำให้เห็นว่าเขานอนอยู่บนเตียงในขณะที่มู่หรงซินกำลังอุ้มเสี่ยวหวง หลับพิงอยู่บนเก้าอี้ในห้อง
“หืม? ซินเอ๋อร์เป็คนพาข้ามาหรือ?” ฉู่อวิ๋นขยี้ตาและจ้องมองมู่หรงซินที่นอนอุตุพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปาก
ใครจะคิด หญิงสาวที่ร่ำรวยคนนี้ที่เอาแต่เรียกฉู่อวิ๋นว่าเป็อันธพาล แต่กลับคอยดูแลเขาตลอดเวลา ทั้งยังสามารถร่วมมือกันใน่วิกฤติได้ หาได้ยากมาก
นางที่เคยถูกเอาอกเอาใจ ตอนนี้กลับยกเตียงที่มีเพียงหลังเดียวให้กับฉู่อวิ๋น และยอมทรมานตัวเองโดยการไปนอนบนเก้าอี้ไม้เย็นๆ แทน
“ขอบคุณเ้าที่ดูแลข้า” หลังจากพูดเบาๆ ฉู่อวิ๋นก็ยืนขึ้นเงียบๆ เหยียดแขนที่แข็งแรงออก อุ้มมู่หรงซินขึ้นวางลงบนเตียง จากนั้นเช็ดคราบน้ำลายที่มุมปากของนางให้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
อบอุ่นมาก สบายใจมาก ในชีวิตนี้มีคนสนิทที่ไว้วางใจได้ มีพรใดต้องขออีก?
ตอนนี้ เสี่ยวหวงตื่นขึ้น ดวงตาโตของมันมีคลอไปด้วยน้ำตา กลิ้งตัวเบาๆ ราวกับรำคาญเล็กน้อย
“เด็กน้อย ไม่เป็ไร นอนเถอะ” ฉู่อวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบเสี่ยวหวงเบาๆ ทำให้มันรู้สึกสบายจนหลับตาลงและหลับไปอีกครั้ง
จากนั้น ฉู่อวิ๋นเดินออกจากห้อง ปิดประตูไม้เบาๆ แล้วไปยังลานฝึกซ้อม
เมื่อได้เห็นความน่ากลัวของเริ่นอวี่สิงในวันนี้ ฉู่อวิ๋นรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนด้อย เขายังต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการฝึกฝน
“พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางไปยังป่าสีเืแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นบ้าง อีกอย่าง เวลาที่จะช่วยพี่หญิงก็กระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ข้าต้องพยายามมากกว่านี้!”
ฉู่อวิ๋นฉายแววตามุ่งมั่น หายใจเข้ายาว นึกถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ามือัพเนจร และเริ่มฝึกฝนอย่างแข็งขัน ฝ่ามือส่องแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วลานเล็กๆ
ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ซ่งอี้ให้ทุกคนไปที่สถานที่นัดพบของเจี่ยเหลียงเพื่อขนส่งสินค้าและเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปยังป่าสีเื
หลังจากการฝึกฝนไม่หลับไม่นอนอีกหนึ่งคืน ในที่สุด ฉู่อวิ๋นก็มาถึงขั้นเริ่มต้นของการฝึกฝ่ามือัพเนจร แสงฝ่ามือของเขาสามารถควบแน่นเป็รูปร่างของัได้แล้ว และเขากำลังเรียนรู้ทักษะฝ่ามือท่าแรก ัหมอบเคลื่อนภพ
ในขณะเดียวกัน ก้าวเงาบินก็มีความก้าวหน้าเช่นกัน ความเร็วของฉู่อวิ๋นเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก เขามั่นใจว่าหากเผชิญหน้ากับนักรบระดับเก้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณก็ไม่ถึงกับตึงมือ
สุริยาแผดเผาร้อนแรง ลมโชยไอร้อนพัดไปทั่วป่า ใบไม้ปลิวไสวไม่สงบนิ่ง
กลุ่มัเหล็กขนของมาถึงทางเข้าป่าสีเืในครึ่งชั่วยามต่อมา ทหารยามหลายคนคุ้นเคยกับกลุ่มัเหล็กเป็อย่างดี จึงปล่อยพวกเขาไปโดยไร้ซึ่งอุปสรรค
ทว่าฉู่อวิ๋นที่สะพายกระบี่ไว้บนหลังที่เดินข้างมู่หรงซินและก้าวไปพร้อมกับคนในกลุ่มกลับถูกผู้คนตาแหลมมองเห็นเข้า
“เอ๊ะ? เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่คิดจะฝ่ากองตรวจเข้าไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ?”
“ไม่ผิด ไม่คิดว่าจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มัเหล็ก โชคดีจริงๆ!”
เหล่าทหารยามต่างประหลาดใจ กลุ่มัเหล็กมีชื่อเสียงในพื้นที่นี้มานาน ภารกิจขนส่งไม่เคยล้มเหลว นอกจากนี้สมาชิกของกลุ่มยังภักดีมีคุณธรรม มีชื่อเสียงที่ดีในกลุ่มนักรบรับจ้าง
ทว่าเกณฑ์การรับเข้าสู่กลุ่มัเหล็กนั้นสูงมาก เหล่าทหารยามจึงได้งงงวยที่ฉู่อวิ๋นสามารถเข้าร่วมได้
เขาเป็นักรบระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ยังไม่ต้องพูดถึงป่าสีเื แม้แต่ด้านในของป่าสนธยาก็ยากที่จะผ่านไปได้ แล้วเหตุใดเขาถึงเข้าร่วมกลุ่มัเหล็กได้กัน?
และบังเอิญเหลือเกิน ที่หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าทหารยามก็ได้รับคำตอบของคำถามที่อยากรู้
หลังจากที่ฉู่อวิ๋นและพรรคพวกเข้าไปในป่าสีเืแล้ว ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา นักรบคนหนึ่งก็ควบม้าเร็วฝุ่นตลบเข้ามาหา แขวนภาพคนไว้หลายภาพที่ใกล้ทางผ่าน และขอให้เหล่าทหารยามให้ความสนใจ
บุคคลในภาพ คือชายหนุ่มถือกระบี่ที่ดูกล้าหาญ และยังเขียนไว้อีกว่า “คนคนนี้เป็อาชญากรร้ายแรงของเมืองไป๋หยาง เป็ผู้ชนะของการประลองเซี่ยหยาง พละกำลังเหลือล้น มีสมบัติวิเศษติดตัวไม่น้อย เขาพาบุตรีของท่านเ้าเมืองมู่หรงหนีไปแล้ว หากพบที่ใด โปรดแจ้งให้เราทราบโดยเร็ว จะมีการตกรางวัลให้อย่างงาม”
เมื่อทหารยามหลายคนเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ตกตะลึง งงงวยอยู่นานและรู้สึกเสียดาย
ดูเหมือนว่าคนในภาพจะเพิ่งเดินผ่านพวกเขาไป
“คว้าก-”
ในป่าสีเื นกปีกดำบินผ่านท้องฟ้า ขนของมันสะท้อนแสงสว่างไสว มันคือสัตว์ปีศาจระดับต่ำ นกทองคำดำ
ปีกยาวแปดหมี่ เมื่อกางปีกออกก็คล้ายปกคลุมท้องฟ้าได้ ความเร็วราวดาวตก โบกลมพัดใบไม้ปลิวกระจาย มีเสียงหึ่งๆ สั่นไหวตลอดที่บินผ่าน
“โฮก!!!”
ต่อมาก็ได้ยินเสียงคำราม พลังน่าตกตะลึง ป่าไม้บนูเาสั่นะเื ใบไม้สีเขียวปลิดปลิวร่วงจากต้น ปรากฏพยัคฆ์น้ำเงินลายทองะโขึ้นสูง และโฉบเอานกทองคำดำด้วยกรงเล็บ รับซากนกทองคำดำเข้าปาก หยดเืไหลนองเต็มพื้น
หลังจากเคี้ยวไปได้สักพัก พยัคฆ์น้ำเงินลายทองก็อ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยเื แลดูพอใจมาก จากนั้นก็กลายเป็เงาสีน้ำเงินหายเข้าไปในป่า
ในเวลาเดียวกันก็มีภาพสัตว์ปีศาจไล่ล่ากันทุกที่ในป่าสีเื สร้างความน่าสะพรึงกลัวไม่น้อย หากบังเอิญก้าวเข้าไปในเขตของสัตว์ปีศาจก็จะถูกฉีกเป็ชิ้นๆ ทันที
ที่ด้านหนึ่งของป่าสีเื กลุ่มัเหล็กนำโดยซ่งอี้ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ไม่พบอันตรายใดๆ ระหว่างทาง ทั้งยังไม่เจอกับสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งเลย
ซ่งอี้มีประสบการณ์และคุ้นเคยกับพื้นที่ในป่าสีเืมาก เขาค้นพบเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัยในการเดินทางเพื่อให้ทุกคนรอดชีวิตจากการถูกสัตว์ปีศาจโจมตี
“น่ากลัวจัง ถ้าครั้งนั้นพวกเราบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า คงถูกสัตว์ปีศาจบางตัวขย้ำแหลกไปแล้ว” มู่หรงซินกอดเสี่ยวหวงไว้แน่น ตัวสั่นด้วยความกลัว
นางอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองไป๋หยางมาั้แ่เด็ก ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในป่าสีเืเลยสักครั้ง ระหว่างทางนางได้ยินเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของสัตว์ปีศาจจากระยะไกลไม่น้อย และบางครั้งก็เห็นศพสัตว์ปีศาจที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ทำให้นางตัวสั่นจนฟันกระทบกันด้วยความใ
“อืม โชคดีที่เราเข้าร่วมกับกลุ่มัเหล็กแล้ว ข้าเชื่อว่าเราจะผ่านที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวหรอก” ฉู่อวิ๋นเห็นมู่หรงซินตัวสั่นจึงพูดปลอบโยน
ทันใดนั้น เขามีแรงดลใจขึ้นมา คิดเลียนแบบพฤติกรรมของฉู่ซินเหยาผู้เป็พี่สาว เอื้อมมือไปแตะศีรษะของมู่หรงซินอย่างอ่อนโยน หวังว่าจะทำให้นางวางใจ
“อ๊ะ! เ้าจะทำอะไร?! มือหมูเค็ม[1]!” มู่หรงซินใและหันหลังกลับมาด้วยความอับอาย โดยไม่ลืมที่จะะโก่นด่าอีกเล็กน้อย
“ข้าแค่...เอ่อ จะบอกว่าเ้าไม่ต้องกลัว”
“มีใครปลอบคนแบบนี้บ้างกัน? อีกอย่าง ร่างกายหยกของคุณหนูเช่นข้าเป็สิ่งที่เ้าสามารถแตะต้องได้หรือ? ฮึ!”
“แต่... เ้าไม่ได้หลบ”
ฉู่อวิ๋นจับผมของมู่หรงซินต่อเรื่อยๆ ไม่ได้ผละออก
“อ๊ะ!” จากนั้นมู่หรงซินก็ตอบสนอง นางถอยกลับไปสองสามก้าวเพื่อเอาตัวออกห่างจากมือของฉู่อวิ๋น ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอายและพูดว่า “ไม่... ไม่ใช่สักหน่อย! เมื่อครู่ข้าแค่กำลังกลัวอยู่เลยลืมหลบจากมือหมูเค็มของเ้าต่างหาก!”
“โอ้ ได้” ฉู่อวิ๋นยักไหล่ ปล่อยมือออกแล้วเดินหน้าต่อไป เพราะมู่หรงซินขัดขืน เขาจึงทำอะไรไม่ได้
“นี่ เ้าทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?!” มู่หรงซินเดินตามไปทันทีและเร่งถามอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความโกรธ และนางก็กอดเสี่ยวหวงแน่น ทำให้มันส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา
“ไม่มีอะไร... ตอนนี้เ้าก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว แต่อ่อนโยนหน่อยเถอะ เสี่ยวหวงเกือบถูกเ้ารัดจนแบนแล้ว”
ฉู่อวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มู่หรงซินรู้สึกอับอายและรำคาญอย่างเดียว แต่ยังทำให้นางหงุดหงิดใจจนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำให้เหล่านักรบที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะคิกคัก พวกเขารู้สึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่น้อย
“เ้า เ้า อะไรกัน!…” มู่หรงซินอดไม่ได้ที่จะะโ
“แซก-”
แต่เพราะเสียงของมู่หรงซิน ทำให้สัตว์ปีศาจที่อยู่ใกล้ๆ ตื่นตระหนก ใบไม้กระพือปัด ไอสังหารแผ่กระจาย เสียงลมหวีดหวิวดังไม่หยุดหย่อน
“ทุกคนระวังด้วย! สัตว์ปีศาจกำลังมา!” ซ่งอี้ะโ ทำให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นมา
ทันใดนั้น ทุกคนก็ชักอาวุธออกมา หยุดเดินในทันทีและกวาดสายตาจ้องมองไปรอบๆ ด้วยสายตาจริงจัง
“อ๊ะ! เป็ความผิดของข้าหรือ?” มู่หรงซินรู้สึกผิดมาก รีบเอามือปิดปาก
“สาวน้อย สัตว์ปีศาจพวกนี้ซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่มานานแล้ว เ้าแค่ทำให้พวกมันปรากฏตัวเร็วขึ้นแค่นั้นเอง ไม่ต้องโทษตัวเองไป!” ซ่งอี้หัวเราะและโบกดาบของเขาด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หรงซินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วนางก็ได้ยินฉู่อวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “ร้องะโตลอดทั้งวันเป็การกระทำที่ไม่สมควรเลย ตามข้ามาแล้วปกป้องเสี่ยวหวงให้ดีด้วย”
“ไปตายซะ!” มู่หรงซินะโด้วยความอับอาย
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มหมูป่าสีม่วงแดงก็พุ่งออกมาจากบริเวณโดยรอบและเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ขาที่วิ่งเร็วดั่งควบม้าพร้อมด้วยเสียงฟ้าร้อง วิ่งเข้าหากลุ่มคนพร้อมเสียงคำราม
“ฮิฮิ ก็แค่สัตว์ปีศาจระดับเจ็ดกลุ่มหนึ่ง จอมยุทธ์ฉู่ มาประลองกันดูหรือไม่ว่าใครจะฆ่าได้มากกว่ากัน?” เมิ่งซานยกธนูขึ้นแล้วยิ้มให้ฉู่อวิ๋น
“นี่ รวมข้าไปด้วย! ข้าเป็นักรบขั้นมหาสมุทรก็จริงแต่ข้าจะต่อให้ ล่าพวกมันด้วยมือเดียวเป็อย่างไร?” เฟิงเยี่ยนก็เดินมาสมทบด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ข้าอยากกินหมูป่าย่าง พวกท่านอย่าฉีกมันเป็ชิ้นๆ เชียว!” สือเหล่ยยิ้มอย่างกล้าหาญและบิดกำปั้นไปมา
ฉู่อวิ๋นยกยิ้มขึ้น โบกกระบี่ชื่อยวนในมือและพูดว่า “ได้สิ ในเมื่อทุกท่านสนใจกันขนาดนี้ ข้าก็จะช่วยเล่นไปจนสุดท้ายเอง! มาเลย!"
“ควั่บ--”
ครู่ต่อมา กลุ่มหมูป่าก็โจมตีเหมือนกระแสน้ำบนูเาที่อัดแน่นเชี่ยวกราก ทุกคนหัวเราะร่าและลงมือล่า สักพักหนึ่ง แสงกระบี่วาบวับ ลูกศรโบยบิน โลหิตหยดไหลนอง และชิ้นเนื้อก็ปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง ทุกคนสังหารกันอย่างมีความสุข
สำหรับพวกเขา การฆ่าสัตว์ปีศาจระดับเจ็ดนั้นแสนจะง่ายดาย ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด
“ควั่บ ควั่บ ควั่บ-”
ร่างหมูป่ากลุ่มหนึ่งนอนเกลื่อนเต็มพื้นที่ ทุกตัวล้วนถูกฆ่าตายหมดแล้ว และไม่มีใครได้รับาเ็
นอกจากนักรบขั้นมหาสมุทร ฉู่อวิ๋นเป็คนที่ฆ่าหมูป่าได้มากที่สุด ทั้งยังฟันตัวหมูขาดได้ในหนึ่งกระบี่ ทำให้ทุกคนชื่นชมเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากการต่อสู้ ป่าสีเืก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ซ่งอี้ยกดาบั์ขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าหนุ่มน้อยเอ๋ย! อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะถึงแม่น้ำสายเล็กแล้ว คืนนี้เราจะตั้งค่ายกันที่นั่น ตอนนี้ก็จัดการเก็บซากหมูป่าพวกนี้ก่อน คืนนี้เราจะฉลองย่างหมูป่ากัน!”
“ขอรับ!”
ทุกคนมีความสุขมากพลางตอบรับไปหนึ่งคำ ฉู่อวิ๋นเองก็มีความสุขมากเช่นกัน เขาไม่คิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นขนาดนี้
ยามนี้ พระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสีแดงสาดย้อมท้องฟ้าตกกระทบลงบนพื้นโลก
ทว่าหมอกสีแดงเข้มหนาทึบบนท้องฟ้ากลับไม่จางหายไป ยังคงล่องลอยต่อไปไร้จุดจบ
----------
[1] มือของคนลามก