“อาหญิง...” อวี้ซือหรงถูกอวี้ซื่อตะคอกใส่ก็ใจนแทบะโหนี มือถือผ้าเช็ดหน้าจีบนิ้วกรีดกราย ดวงตาจ้องเขม็งแต่มิได้โต้ตอบ ยามนี้นางไม่กล้าแสดงกิริยากำเริบเสิบสาน
สะใภ้เฉินเห็นน้องสามีโกรธเคืองขึ้นมาจริงๆ ก็โอบกอดปลอบบุตรสาวของตนเองพลางยิ้มเอาใจอวี้ซื่อไปด้วย นางเข้าใจหัวอกสตรีด้วยกันดีที่สุด หากได้แต่งเข้าสกุลฉินก็เป็วาสนาที่ดีที่สุดสำหรับอวี้ซือหรง พวกนางจึงไม่อาจล่วงเกินต่ออวี้ซื่อ แม้ว่านางจะต่อว่าอวี้ซือหรงอย่างไม่ไว้หน้า พวกนางก็จำเป็ต้องอดทน
เฉินซื่อคิดแผนการภายในใจเรียบร้อยแล้ว แค่สร้างเื่ให้หรงเอ๋อร์กับฉินอวี้เซวียนดูเหมือนมีอะไรกัน ต่อให้ยายเฒ่าผู้นั้นคิดจะไม่ยอมรับย่อมไม่ได้
พวกนางต่างคนต่างมีความคิด แล้วก็แยกย้ายกันไป ไม่มีผู้ใดแยแสโม่หลันที่ล้มคว่ำหมอบอยู่บนพื้น รอจนทุกคนจากกันไปหมดแล้ว นางจึงหยัดกายลุกจากพื้น เดินโซเซกะปลกกะเปลี้ยไปจับกำแพงจึงค่อยประคองตัวยืนได้อย่างมั่นคง
โม่หลันไม่ได้ตามออกไป นางเข้าไปสำรวจทุกมุมที่คนสามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวได้ แม้กระทั่งองค์พระพุทธรูปนางยังเข้าไปผลักอยู่สองสามครั้งอย่างไร้ความเคารพ ด้วยเกรงว่าในนี้จะมีประตูลับ คุณหนูเข้ามาในหอกลางแท้ๆ ไม่น่าจะออกไปไหนได้ แล้วจู่ๆ จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร ริมฝีปากของนางเม้มแน่น เหงื่อเริ่มผุดพรายเต็มหน้าผาก ความหวาดหวั่นเกาะกุมจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณหนูคงจะไม่เกิดเื่ขึ้นจริงๆ หรอกกระมัง
เดิมทีนางก็ไม่คิดว่าที่นี่จะมีประตูลับหรือมีที่ให้คนซ่อนตัวได้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่แน่ใจ คนเ่าั้ต่างไปกันหมดแล้ว ไฉนจึงยังไม่ออกมา หรือว่าคุณหนูจะเกิดเื่ร้ายขึ้นจริงๆ แม้นางจะเป็คนสุขุมเพียงใดแต่ก็เป็เพียงสาวใช้อายุสิบกว่าปี แค่คิดก็หวาดผวาจนหน้าซีด ปากคอสั่นร้องเรียกหาเ้านาย “คุณหนูเ้าคะ... คุณหนู...”
“โม่หลัน... ข้าอยู่นี่” น้ำเสียงอิดโรยตามด้วยเสียงไอเบาๆ โม่หลันยังคงออกแรงผลักพระพุทธรูปอย่างไม่ละความพยายาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของโม่เสวี่ยถง จึงหมุนตัวมาด้วยความตื่นเต้นยินดี ก็เห็นโม่เสวี่ยถงยืนพิงอยู่ข้างเสาในหอกลาง สีหน้าขาวซีดแม้จะผลิยิ้มอ่อนบาง แต่ริมฝีปากไร้สีเืยังสั่นระริก มือทั้งสองที่เกาะเสาต้นนั้นอยู่สั่นน้อยๆ คล้ายจะประคองตนไม่อยู่
ภาพบาดตาชวนให้ตื่นตระหนกราวกับลูกธนูที่พุ่งเข้าหาดวงตาของโม่หลัน ก็คืออาภรณ์สีขาวดุจจันทร์กระจ่างของผู้เป็นายอาบย้อมไปด้วยคราบเื
“คุณหนู...” โม่หลันถลาเข้าไปประคองโม่เสวี่ยถง ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามอย่างร้อนใจ กลับถูกโม่เสวี่ยถงปรามไว้ก่อน “ไม่มีอะไร แค่าเ็เล็กน้อย ไม่ใช่เื่ใหญ่”
“เ้ากลับไปก่อน... อีกประเดี๋ยวข้าค่อยไป” โม่เสวี่ยถงพยายามแข็งใจเอ่ยวาจา
“แต่ว่า... คุณหนูเป็แบบนี้จะกลับไปอย่างไรเล่า” โม่หลันร้อนใจยิ่ง เมื่อเข้ามาใกล้จึงพบว่าที่คอของโม่เสวี่ยถงมีาแ เมื่อรอยเืปรากฏบนผิวขาวกระจ่างงามละเมียดปานกระเบื้องเคลือบของนาง ยิ่งดูสะดุดตาน่าหวั่นใจ
“คุณหนู...”
“กลับไปเถอะ ข้าจะพาคุณหนูของเ้าไปส่งให้เอง” เสียงบุรุษลอยมาจากด้านหลัง โม่หลันสะดุ้ง หันหลังไปมองด้วยจิตใต้สำนึก ก็เห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นทอประกายเจิดจ้า แต่แฝงไปด้วยความเ็ามืดทะมึน ตัวเขาในยามนี้หาได้มีกลิ่นอายเอ้อระเหยลอยชายเช่นยามปรกติ ทำให้คนเห็นรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงหัวใจโดยไม่รู้ตัว
องค์ชายแปดเซวียนอ๋อง!
“โม่หลัน เ้ากลับไปก่อน บอกทุกคนว่าข้าไปสวนด้านหลัง หาตัวไม่พบ... ตอนที่เ้าไปเดินวนหา ข้าก็กลับไปแล้ว” โม่เสวี่ยถงกล่าวอย่างหนักแน่นท่าทางสงบเยือกเย็น ดวงตาฉายแววโกรธแค้น ดูจากเหตุการณ์เมื่อครู่ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าละครฉากนี้ใครเป็ผู้จัดฉาก
ยามนี้นางไม่อาจแสดงตัวแล้วเดินออกไปจากที่นี่อย่างเปิดเผย แม้ว่าอวี้ซือหรงจะคาดไม่ถึง แต่อวี้ซื่อย่อมทิ้งคนไว้ที่นี่เพื่อจับตาดูนาง เมื่อใดก็ตามที่ตนเองปรากฏตัวขึ้น น้ำโคลนสารพัดก็พร้อมสาดเข้าหาตัวทุกเมื่อ ดังนั้นโม่หลันต้องออกไปก่อน แล้วต้องแสร้งทำเป็หานางไม่พบ
เห็นท่านอ๋องเซวียนอยู่ข้างกายคุณหนู แม้ในใจของโม่หลันยังคงหวาดหวั่น แต่ก็ตระหนักได้ว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว จึงไม่มีข้อโต้แย้งใด ยอมถอยออกไปแต่โดยดี นางเชื่อว่าท่านอ๋องพระองค์นี้จะต้องสามารถจัดการกับเื่ที่เกิดขึ้นได้แน่นอน
“โม่เสวี่ยถง อยากให้ข้าช่วยแก้แค้นให้หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านมองแผลที่แขนและคอของนาง สีหน้าก็ยิ่งบูดบึ้งจนดูไม่ได้ เมื่อเดินเข้าไปประคองจึงพบว่าแม้นางจะดูสุขุมเยือกเย็น แต่ร่างกายกลับสั่นสะท้าน เขาทราบดีว่าครานี้นางหวาดกลัวอย่างแท้จริง แววตาของเขาอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ความแค้นของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องสะสางด้วยตนเอง” น้ำเสียงเ็าพร่าสั่น ทว่าตอกตรึงมั่นคงยิ่ง
เฟิงเจวี๋ยหร่านมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเือย่างตะลึงพรึงเพริด ดวงตาคู่นั้นมิได้ใสพิสุทธิ์ดั่งวารีอีกต่อไป แต่กลับวาวโรจน์เช่นเพลิงกาฬอันโชติ่ แม้จะดูเ็าน่ากลัว ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกปวดใจและนึกเสียดายในความนุ่มนวลอ่อนโยนของนาง
เฟิงเจวี๋ยหร่านรู้ว่านางเป็คนมีทิฐิ จึงเก็บสายตาลงและกล่าวว่า “หากเ้าลองแล้วไม่สำเร็จ ข้าจะช่วยเ้าเอง”
“ไม่ต้อง ข้าแก้แค้นด้วยตนเองได้” โม่เสวี่ยถงอยากยืนให้มั่นด้วยเท้าของตนเอง เพียงแต่นางเสียเืมากเกินไป ร่างกายจึงโอนเอนจนในที่สุดก็ล้มพับไปด้านข้าง เฟิงเจวี๋ยหร่านกระหวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมอก ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแล้วคลุมให้หญิงสาว ก่อนหมุนตัวพานางพลิ้วกายออกไปจากหอกลางอย่างรวดเร็ว จำเป็ต้องใส่ยาให้นางอย่างเร่งด่วน
โม่หลันเดินวนอยู่รอบหนึ่ง แล้วรีบกลับไปห้องพักรับรองแขกอย่างร้อนใจ โม่เสวี่ยถงใส่ยาเรียบร้อยแล้ว นอนหลับพักผ่อนอยู่บนเตียง
ขณะที่ฉินอวี้เซวียนกลับมาถึง โม่เสวี่ยถงก็ฟื้นแล้ว
สาเหตุที่ฉินอวี้เซวียนรู้ข่าวล่าช้ากว่าผู้อื่น เนื่องจากพาคนกลับไปเอาเสื้อผ้าให้อวี้ซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าฉิน รวมถึงโม่เสวี่ยถงที่จวน อีกทั้งยังมีสหายแวะมาหา ดังนั้นกว่าจะกลับมาถึงวัดชิงเหลียงก็ค่ำแล้ว หลังจากจัดการเื่สัมภาระจนเสร็จก็ไปคารวะท่านย่าของตนเองก่อน หลังจากนั้นค่อยไปที่ห้องของอวี้ซื่อ
ถึงอย่างไรอวี้ซื่อก็เป็มารดาแต่ในนามของเขา แม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจจะไม่ยอมรับก็ตาม
ภายในห้องของอวี้ซื่อ เฉินซื่อกับอวี้ซือหรงก็อยู่ด้วย ทั้งสามนั่งล้อมวงกันอยู่ สีหน้าไม่สู้ดีนัก ฉินอวี้เซวียนเข้าไปคารวะ แต่ไม่คิดจะอยู่นาน แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้สึกดีกับอวี้ซือหรง ย่อมไม่อยากไปข้องเกี่ยวด้วย กระทั่งมองยังไม่อยากจะมอง ตัดสินใจว่าไปหาโม่เสวี่ยถงดีกว่า
“พี่ชายเซวียน” อวี้ซือหรงเห็นฉินอวี้เซวียนทำท่าจะจากไปก็รีบลุกเข้าไปหา คารวะทักทายกลับอย่างเหนียมอาย ยามนี้นางย่อมไม่กล้าแสดงความดื้อรั้นเอาแต่ใจ เพียงลอบมองอวี้ซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง บีบผ้าเช็ดหน้าในมือก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดมาก เื่วันนี้ไม่อาจปิดบังสายตาผู้คน ยามอยู่ต่อหน้าฉินอวี้เซวียนนางวางตัวเป็คุณหนูผู้เรียบร้อยอ่อนหวานมาโดยตลอด หากเขารู้ว่าเื่นี้นางมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องโกรธตนเองแน่นอน
โทสะของฉินอวี้เซวียนแม้แต่ท่านอาหญิงก็ไม่แน่ว่าจะระงับได้
เมื่อได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของอวี้ซือหรง อวี้ซื่อก็กระแอมกระไอเบาๆ ริมฝีปากทอยิ้มละมุนแล้วเอ่ยถาม “เซวียนเอ๋อร์ เ้ายังไม่ได้ไปเยี่ยมถงเอ๋อร์หรอกหรือ”
“ขอรับ ลูกแวะไปหาท่านย่าก่อน ท่านย่ากำชับให้ไปเยี่ยมน้องหญิงถงด้วย” ฉินอวี้เซวียนพยักหน้ารับ ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาฉายแววเ็าอยู่หลายส่วน เขาเพิ่งออกมาจากที่พักของท่านย่า ท่านย่าเองก็มิได้บอกอะไรมาก แต่สังเกตจากท่าทางที่คล้ายมีวาจาแต่กลับไม่เอ่ยออกมาของท่าน ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ สุดท้ายท่านย่าก็ได้แต่กำชับให้เขาไปดูโม่เสวี่ยถงว่า้าสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่ หากรู้สึกไม่สบายก็ต้องพักรักษาตัวก่อน อย่าเพิ่งออกไปไหน
บัดนี้อวี้ซื่อก็กล่าวเช่นนี้อีก
เขาไม่รู้ว่าตกลงเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ คิ้วงามมุ่นขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“เมื่อครู่น้องหญิงถงของเ้าเพิ่งเจอเื่ชวนให้ตื่นตระหนก ได้ยินมาว่านางลื่นหกล้มตรงเนินลาดชันข้างกำแพงวัด ยามนี้คงยังพักผ่อนอยู่ เ้าไม่ต้องไปเร็วนักก็ได้ เมื่อครู่ซือหรงใจร้อนออกไปช่วยตามหา ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ท่านย่าของเ้าไม่พอใจ” อวี้ซื่อเลือกแต่ส่วนสำคัญมาเล่าและพยายามบิดเบือนให้ดูเหมือนไม่ใช่เื่ใหญ่ ส่วนเื่ไม่งามของอวี้ซือหรงก็เจตนาอำพรางไว้ไม่เอ่ยถึง
เนินลาดชันที่กำแพงวัด? แม้ว่าสีหน้าของฉินอวี้เซวียนจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตากลับมีความแคลงใจทอวาบ จุดนั้นอยู่ตรงมุมกำแพงประตูท้ายสวนของวัดชิงเหลียง ปรกติก็ไม่มีใครไป แม้ประตูเล็กจะเปิดอยู่ แต่ก็มีเพียงพระภิกษุเท่านั้นที่รู้ น้องหญิงถงจะไปที่นั่นได้อย่างไร มีเื่อันใดให้นางต้องไปที่นั่น ประตูหลังที่ทั้งเปลี่ยวและห่างไกลหากไม่มีผู้นำพาไปย่อมไม่มีทางหาเจอ ซ้ำร้ายยังพลัดลื่นตกลงไปอีก
“พี่ชายเซวียน น้องหญิงถงหายตัวไป ข้าร้อนใจจริงๆ จึงพาคนออกตามหา วิ่งไปหลายที่ แม้ว่าจะไม่พบแต่ก็เจอกับสาวใช้ของนาง ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิว่าข้ายุ่งไม่เข้าเื่... แต่ข้าก็ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ ใจร้อนเกินไป จึงมิได้ไตร่ตรองให้รอบคอบทุกด้าน”
อวี้ซือหรงเลือกพูดแต่ในส่วนที่เป็ประโยชน์กับตนเองตามที่อวี้ซื่อส่งสัญญาณให้ น้ำเสียงแ่เบาอย่างรู้สึกละอายใจ ค่อยๆ เงยหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาขึ้น ดูน่าสงสารคล้ายคนไม่ได้รับความเป็ธรรม
นางมิได้กล่าวถึงฉินซื่อในแง่ร้าย แต่กลับยอมรับความผิดไว้เองทั้งหมด เฉินซื่อฟังแล้วก็ผงกศีรษะแสดงความพึงพอใจอยู่เงียบๆ
เื่ของน้องหญิงถงมีความเกี่ยวพันกับอวี้ซือหรง ฉินอวี้เซวียนกวาดตามองไปที่อวี้ซือหรงที่ยืนอยู่ปราดหนึ่งด้วยแววตาเ็า ไม่ตอบรับใดๆ เพียงเอ่ยกับอวี้ซื่อด้วยวาจาราบเรียบ “ท่านแม่ขอรับ ท่านย่าให้ลูกไปเยี่ยมน้องถง คงกลัวว่านางจะได้รับาเ็ เผื่อ้าหยูกยาอะไรเพิ่มเติม ลูกขออำลาไปก่อน หลังจากรู้อาการของนางแล้วค่อยมารายงานให้ท่านแม่กับท่านย่ารับทราบ”
กล่าวจบก็ไม่มองอวี้ซือหรงที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านข้างแม้เพียงแวบเดียว ค้อมกายคารวะอวี้ซื่อกับเฉินซื่อแล้วหมุนตัวจากไป
“อาหญิง ท่านดูญาติผู้พี่สิเ้าคะ” เมื่อเห็นฉินอวี้เซวียนไม่สนใจตนเอง อวี้ซือหรงก็ร้องไห้โถมตัวเข้าหาเฉินซื่อผู้เป็มารดา
“ซือหรงไม่ต้องกังวล ต่อไปญาติผู้พี่ของเ้าคิดจะไม่ใส่ใจเ้าย่อมไม่ได้แล้ว” อวี้ซื่อยิ้มร้าย ขอเพียงสร้างเื่สำเร็จ นางไม่กลัวว่าฉินอวี้เซวียนจะไม่ยอมรับผิดชอบ
เฉินซื่อโบกมือไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน “น้องหญิง แล้วเด็กสาวสกุลโม่ผู้นั้นจะจัดการอย่างไร ครานี้ทำไม่สำเร็จ เื่สกุลโม่ก็ยิ่งยากจะจัดการ”
อวี้ซื่อรู้ว่านางกล่าวถึงฟางอี๋เหนียง นี่เป็เื่ที่พวกนางสามคนกำหนดร่วมกัน เป้าหมายก็เพื่อกำจัดโม่เสวี่ยถง ฟางอี๋เหนียงรับปากว่าหลังจากเื่สำเร็จ จะนำสินเดิมของลั่วเสียออกมาแบ่งปันให้ทุกคนได้ร่วมเสพสุขด้วยกัน อวี้ซื่อและเฉินซื่อต่างรู้สึกยินดียิ่งจึงตกปากรับคำทันที ดังนั้นจึงส่งข่าวไปว่าครานี้ต้องสำเร็จแน่นอน
คิดไม่ถึงว่าเื่จะกลายเป็เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่อาจแตะต้องโม่เสวี่ยถงแม้เพียงปลายเส้นขน ยังทำให้อวี้ซือหรงถูกฮูหยินผู้เฒ่าฉินรังเกียจไปด้วย ทุกอย่างผิดแผนไปหมด เฉินซื่อย่อมรู้ความคิดในใจของบุตรสาว ยามนี้ก็ร้อนใจไม่ต่างกัน คิดจะลั่นกลองถอยทัพ เงินทองแม้จะสำคัญเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาว
“พี่สะใภ้ หากท่านคิดจะถอยตอนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ สงสารก็แต่หลานสาวซือหรง ในหัวใจเซวียนเอ๋อร์ของข้ามีแต่เด็กสาวสกุลโม่ผู้นั้น แม้ซือหรงจะทุ่มเทใจให้เขาเพียงใด เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์” อวี้ซื่อกล่าวเสียงเย็น ยิ้มเยาะในใจ เื่ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ คิดว่าอยากถอยก็ถอยได้อย่างนั้นหรือ
หากถอยตอนนี้ อวี้ซื่อก็จะไม่ช่วยเหลือพวกนางแล้ว อวี้ซือหรงกับฉินอวี้เซวียนจะไม่มีวันเป็ไปได้อีก
เฉินซื่อเห็นน้องสามีแสดงท่าทางขุ่นเคืองเช่นนั้นก็ได้สติกลับมา แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “ไหนเลยน้องหญิงจึงกล่าวเช่นนั้น พวกเราล้วนมีใจเดียวกันจะทิ้งกันได้อย่างไร เด็กสกุลโม่ผู้นั้นต้องถูกกำจัดทิ้ง แต่ดูท่าทางแล้วก็ใช่ว่าจะจัดการได้โดยง่าย”
เื่วันนี้นับว่าวางแผนมาอย่างรัดกุม ไม่เพียงแต่อวี้ซือหรง แม้แต่อวี้ซื่อและเฉินซื่อล้วนเชื่อว่าไม่มีทางผิดพลาดได้ แต่คิดไม่ถึงว่าในหอกลางจะไม่พบเงาร่างของโม่เสวี่ยถง แม้แต่คนที่ส่งเข้าไปก็หายไปด้วย แล้วจะไม่ให้เฉินซื่อกังวลใจได้อย่างไร นางเองก็นับว่าเป็ผู้มีประสบการณ์ ย่อมรู้ว่าเื่นี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน