พอได้ฟังคำพูดของเลี่ยวเล่อเล่อ หลงอวี้ก็รู้สึกประหลาดใจ
“ เ้าเข้าลัทธิมาแค่สามวันเองหรือ ”
หลงอวี้ถาม
“ ใช่แล้ว ข้าก็เหมือนเ้า นอกจากจะโดนไอ้อ้วนเฟิงหยางยึดตราประจำตัวไปแล้ว ยังถูกกลั่นแกล้งไปทั่วด้วย ตอนนี้เลยได้แต่ต้องขอพึ่งพาเ้าแล้ว”
เลี่ยวเล่อเล่อพูดด้วยความคับแค้นใจ
หลงอวี้มองเครื่องแบบลูกศิษย์ระดับล่างที่สกปรกยับเยินของนาง ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่บ้าง จึงถามกลับไป
“ เหตุใดพวกมันถึงเล่นงานเ้า? ”
“ ตอนที่ข้าเข้าร่วมลัทธิ ไอ้หมูตอนนั่นเพิ่งจะได้เป็ฝ่ายธุรการในเดือนนี้ มันถูกใจข้า อยากให้ข้าติดตามมัน ถุย จะให้ข้าเลี่ยวเล่อเล่อผู้นี้ติดตามไอ้หมูตอนแบบนั้นเนี่ยนะ?”
สีหน้าของเลี่ยวเล่อเล่อเต็มไปด้วยความขยะแขยง
หลงอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเห็นใจเฟิงหยาง อันที่จริงเฟิงหยางก็ไม่ได้อ้วน แค่ตัวใหญ่ไปหน่อยเท่านั้น ไม่คิดว่าในสายตาของเลี่ยวเล่อเล่อมันกลับกลายเป็หมูตอนไปเสียอย่างนั้น
“ ไปกันเถิด ข้าว่าเ้ามีศักยภาพไม่เบา ข้าจะพาเ้าไปหอวิทยายุทธ์ เ้าต้องพยายามให้มาก อย่าให้ข้าผิดหวังล่ะ หากเ้าเอาชนะไอ้หมูตอนนั่นได้ละก็ โอสถชิงหัวนั่นถือเป็ของเ้าก็แล้วกัน ”
เลี่ยวเล่อเล่อพลันเปลี่ยนสีหน้า พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก
หลงอวี้ขมวดคิ้ว “ โอสถชิงหัว เ้าได้จากการเดิมพันกับมัน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
“ท่าทางเ้าจะมั่นใจในตัวเองมากเลยสินะ เช่นนั้นข้าคงวางใจได้แล้ว ”
เลี่ยวเล่อเล่อแย้มยิ้ม
. “ ถ้าไม่มีโอสถชิงหัว ต่อให้ชนะเ้าก็ไม่ได้อะไรเลย เช่นนั้นไม่เสียเปรียบแย่เหรอ? ”
“ เดิมทีข้าแค่อยากจะจัดการมันเท่านั้น แต่ในเมื่อมีโอสถชิงหัวเป็เดิมพันเช่นนี้ ถ้าปฏิเสธก็คงโง่เขลาเกินไป ”
หลงอวี้ยิ้มเล็กน้อย
โอสถชิงหัว โอสถระดับกลาง คุณภาพระดับเดียวกับโอสถยอดหยกที่ทำให้เขาทะลวงขีดจำกัดขึ้นสู่วิถียุทธ์ระดับสี่ได้ สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว มันล้ำค่าเพียงใดไม่ต้องบอกก็รู้ หากได้โอสถชิงหัวมาจริงๆ หลงอวี้อาจจะทะลวงขีดจำกัดขึ้นสู่ระดับห้าได้!
ความสามารถในการดูดกลืนพลังฟ้าดินจากโอสถของเขานั้นสูงกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า เพียงดูดกลืนโอสถหนึ่งครั้งก็เทียบเท่าคนอื่นสามครั้ง
หากเป็เช่นนั้น ความเร็วในการยกระดับพลังของเขาก็ย่อมต้องสูงกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว
เลี่ยวเล่อเล่อพาหลงอวี้มุ่งหน้าไปหอวิทยายุทธ์ ส่วนผู้คนที่มุงอยู่รอบนอกหอธุรการพอเห็นว่าจบเื่แล้วแยกย้ายกลับไป
มีคนบางส่วนที่ไม่ได้กลับไปฝึกต่อ ติดตามหลงอวี้และเลี่ยวเล่อเล่อที่มุ่งหน้าไปหอวิทยายุทธ์อยู่ห่างๆ พวกเขายังคงรอชมเื่สนุกอย่างใกล้ชิด
สำหรับพวกเขา การมีเื่สนุกๆ ให้ชมในวิถีชีวิตที่มีแต่การฝึกฝนนั้น นับว่าเป็สีสันให้กับชีวิตไม่น้อย
ส่วนเฟิงหยางที่มองเลี่ยวเล่อจากไปพร้อมกับหลงอวี้ภายในหอธุรการนั้น สีหน้าของเขากลายเป็เคร่งเครียด เขาสบถออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าตามไปยังหอวิทยายุทธ์ด้วย
“ ไอ้สวะหลงอวี้ ต่อให้เอาชนะตัวกระจอกอย่างหานเจี้ยนได้แต่เ้าไม่มีทางรอดมือข้าไปแน่ รอเ้าออกจากหอวิทยายุทธ์ก่อนเถิด! ถึงตอนนั้นไม่ว่าเ้าหรือเลี่ยวเล่อเล่อก็ล้วนต้องยอมสยบอยู่แทบเท้าข้า ”
ดวงตาของเฟิงพยางวาบประกายอำมหิต ไม่ได้หวาดกลัวเื่ที่หลงอวี้ชนะหานเจี้ยนได้แม้แต่น้อย
เขากลับมั่นใจว่าหลงอวี้ต้องไม่รอดแน่ ต่อให้เฟิงหยางไม่ลงมือ หลงอวี้ที่มีเื่กับถานเยว่ พี่ชายของนางย่อมไม่ปล่อยมันไว้แน่!
แต่ตอนนี้ เขาย่อมต้องจัดการหลงอวี้ด้วยตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกผู้อื่นเอาไปนินทาให้ขายหน้าแน่
......
ลัทธิสยบฟ้า หอวิทยายุทธ์
อันที่จริง วิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจที่สุดของลัทธิสยบฟ้าไม่ได้ถูกเก็บไว้ในหอวิทยายุทธ์ แต่อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งด้านหลังหอวิทยายุทธ์ มันถูกสลักไว้บนกำแพงทั้งสองฝั่งของถ้ำ
ทว่าแม้แต่ลูกศิษย์ระดับสูงยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปในถ้ำนั้น แล้วหลงอวี้ที่เป็ลูกศิษย์ระดับล่างยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหลงอวี้ตอนนี้ เป็หอสูงราวสิบจ้าง1ที่สร้างขึ้นจากวัสดุชั้นดีหลังหนึ่ง มันถูกแบ่งเป็สามชั้น ลูกศิษย์ระดับล่างเข้าไปได้แค่สองชั้นแรกเท่านั้น
“ เอาล่ะ ถึงหอวิทยายุทธ์แล้ว เ้ารีบเข้าไปเถอะ เ้าหมูตอนนั่นมันตามหลังมาแล้ว อย่าให้เสียเวลาล่ะ”
พอถึงหอวิทยายุทธ์ เลี่ยวเล่อเล่อก็หันไปมองด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดมือเร่งหลงอวี้ให้เข้าไป
หลงอวี้มองดูเลี่ยวเล่อเล่อครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้ นางยังถูกยึดตราประจำตัวจึงไม่สามารถเข้าไปในหอวิทยายุทธ์ได้ ไม่รู้ว่าอยู่ข้างนอกคนเดียวจะถูกเฟิงหยางรังแกอีกหรือเปล่า
ไม่นานหลงอวี้ก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป
พอเขาก้าวเท้าจะเข้าไปในหอวิทยายุทธ์ เงาร่างของเลี่ยวเล่อเล่อพลันปลีกแยกไปอีกทางทันที
นางวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งแล้ว!
สาวน้อยผู้นี้ช่างคล่องแคล่วว่องไว ดูท่าคงไม่ต้องห่วงนางแล้วล่ะ
“ ต่อให้ข้าแพ้ให้กับเฟิงหยาง แม่นี่ก็คงไม่ยอมมอบร่างกายให้เฟิงหยางอยู่ดี คงจะหนีไปแบบนี้ล่ะมั้ง? อย่างมากก็ไม่ฝึกวิชาที่ลัทธิสยบฟ้าแล้ว ย้ายไปเข้าร่วมกับอีกหกสำนักลัทธิใหญ่ที่เหลือในอาณาจักรต้าถังแทนก็ได้... ”
หลงอวี้คิดในใจเช่นนั้น ก่อนจะดึงความคิดกลับมาจดจ่อกับเบื้องหน้า วินาทีต่อมา เขาก็ได้เข้ามาในหอวิทยายุทธ์แล้ว
“ จงแสดงตราประจำตัวของเ้า ”
ทันทีที่เข้ามาในหอวิทยายุทธ์ น้ำเสียงอันแก่ชราแต่เปี่ยมด้วยพลังพลันดังก้องโสตประสาทของหลงอวี้
หลงอวี้ควักตราประจำตัวออกมา บนนั้นมีคำว่า ‘ หลงอวี้ ’ สลักไว้
ตรานี้ผู้าุโเป็คนสลักให้ก่อนจะให้ฝ่ายธุรการไปแจกจ่าย คนนอกไม่มีทางลอกเลียนแบบได้
“ เข้าไปเถิด หอวิทยายุทธ์ชั้นที่หนึ่งเก็บบันทึกเคล็ดวิชาสยบฟ้าไว้ เ้าเพิ่งมาครั้งแรกต้องเรียนรู้เคล็ดวิชาสยบฟ้าก่อน ถึงจะสามารถขึ้นไปชั้นที่สองได้ พอขึ้นไปถึงชั้นที่สองแล้วเ้าถึงจะได้ฝึกวิทยายุทธ์สำหรับใช้ต่อสู้”
น้ำเสียงแก่ชราแต่เปี่ยมพลังนั่นดังขึ้นต่อเนื่อง แต่หลงอวี้กลับมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน ช่างสูงส่งลึกล้ำยากจะคาดเดา
“ แต่ช้าก่อน คนหนุ่มสาวเวลาฝึกวิชาต้องสงบใจ อย่าเร่งร้อน อย่ามุทะลุ อย่าใช้แต่กำลัง าแที่เ้าได้รับมา หากสาหัสกว่านี้จะส่งผลกระทบต่อการฝึกในภายหลังได้! ”
คำพูดนั้นแฝงความเข้มงวดเล็กน้อย แต่มีเจตนาดี หลงอวี้รู้สึกขอบคุณ จึงยกมือขึ้นคารวะให้กับความว่างเปล่า
“ ขอบพระคุณผู้าุโ เช่นนั้นผู้เยาว์ขอเข้าไปก่อนนะขอรับ ”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้าุโของลัทธิ หลงอวี้ก็มีมารยาทกับอีกฝ่ายอย่างที่ควรซึ่งเขาก็ไม่ได้ลำบากใจอะไร
พอพูดจบก็เข้าไปในหอวิทยายุทธ์ชั้นที่หนึ่งทันที
พื้นที่ภายในหอค่อนข้างกว้างขวาง แค่ชั้นแรกก็มีการแบ่งห้องมากถึงหนึ่งร้อยแปดห้อง บนกำแพงในแต่ละห้องมีเคล็ดวิชาสยบฟ้าสลักไว้
เคล็ดวิชาสยบฟ้า เป็วิชาฝึกพลังที่สืบทอดในลัทธิ ซึ่งวิชาฝึกพลังเป็พื้นฐานสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน!
เทียบกับวรยุทธ์แล้ว วิชาฝึกพลังไม่ได้เพิ่มพลังต่อสู้ให้แก่ผู้ฝึกวรยุทธ์มากนัก เพียงแต่วิชาฝึกพลังจะช่วยเพิ่มความเร็วในการดูดกลืนพลังฟ้าดินของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ ทำให้ยกระดับพลังได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนั้น ยังสามารถเร่งความเร็วในการโคจรลมปราณภายในชีพจร เร่งความเร็วในการฟื้นฟูลมปราณให้สูงขึ้น หากฝึกวิชาฝึกพลังได้ดีจะช่วยให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ไม่เหนื่อยล้าหมดแรงในจังหวะสำคัญได้
เคล็ดสยบฟ้า คือวิชาฝึกพลังของลัทธิสยบฟ้านั่นเอง
หลงอวี้ต้องคาดหวังกับวิชาฝึกพลังมากอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะตระกูลเฟิงหรือตระกูลถานในเมืองอวี้กวนต่างก็ไม่มีวิชาฝึกพลัง หากคิดจะฝึกวิชาเช่นนี้ ต้องหาฝึกจากหนึ่งในเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่ของอาณาจักรต้าถังเท่านั้น และนี่เป็เหตุผลสำคัญที่ทำให้ทั้งเฟิงเหยา ถานเจียน และเฟิงอวิ๋นต่างเข้าร่วมกับสำนักลัทธิทั้งหลาย
หลังจากหลงอวี้เลือกห้องว่างที่อยู่ในชั้นนี้ได้ ก็เข้าไปและลงกลอนประตูศิลาทันที
เมื่อเข้ามาแล้วเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่า ห้องนี้เป็กำแพงหินทั้งสี่ด้าน บนกำแพงหินนั้นสลักตัวอักษรและภาพวาดที่ดูลึกล้ำยากจะเข้าใจ
“ นี่คงเป็เคล็ดสยบฟ้ากระมัง ”
หลงอวี้พิจารณาตัวอักษรและภาพวาดบนกำแพงหินอย่างละเอียด จู่ๆ ก็รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่บนกำแพง ราวกับว่าเคยรู้เื่พวกนี้มาก่อน!
“ กลิ่นอายที่แฝงอยู่ในเคล็ดสยบฟ้าคล้ายคลึงกับจินตภาพที่อยู่บนหน้าผาทั้งสองฝั่งของหุบเขาสยบฟ้าเลย! ”
หลงอวี้สังเกตเห็นจุดนี้อย่างรวดเร็ว จนอดเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมาไม่ได้
เคล็ดสยบฟ้า เป็วิชาฝึกพลังเฉพาะตัวของลัทธิ ห้ามมิให้เผยแพร่ออกสู่ภายนอกเด็ดขาด และเพื่อป้องกันไม่ให้วิชาหลุดออกไป เช่นนั้นสิ่งที่อยู่บนหน้าผาทั้งสองฝั่งของหุบเขาก็ย่อมมิใช่วิชาฝึกพลังของเคล็ดสยบฟ้าแน่นอน
หากเป็เช่นนั้น สิ่งที่อยู่บนหน้าผาของหุบเขาคืออะไรกันแน่ เหตุใดหลงอวี้จึงสามารถบรรลุจินตภาพที่คล้ายคลึงกับเคล็ดสยบฟ้าบนนั้นได้?
“ ช่างมันก่อนก็แล้วกัน เ้าเฟิงหยางยังรอข้าอยู่ข้างนอก จะทำให้มันผิดหวังไม่ได้ ”
ดวงตาของหลงอวี้ตาพลันเป็ประกาย
“ บรรลุเคล็ดสยบฟ้านี่ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยขึ้นไปชั้นสอง เลือกวิทยายุทธ์มาสักสองวิชา มีแค่ทางนี้ทางเดียวที่จะเอาชนะเฟิงหยางได้! ”
เขาคิดไปพลางนั่งขัดสมาธิไปพลาง ปล่อยให้จินตภาพในร่างกายแผ่กระจายค่อยๆ หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับเคล็ดสยบฟ้าบนกำแพง
ผ่านไปไม่นาน ลมปราณภายในร่างกายของหลงอวี้ก็เริ่มไหลเวียนไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้เป็พิเศษ เพียงครู่เดียวเขาก็บรรลุเคล็ดสยบฟ้าได้
“ ดูท่าจินตภาพนั่นจะช่วยให้ข้าบรรลุเคล็ดสยบฟ้าได้ง่ายขึ้น... ”
หลงอวี้ลืมตาขึ้น ในดวงตายังคงความสงสัยอยู่ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าจินตภาพนั้นคืออะไรกันแน่ ทำไมดูเหมือนลูกศิษย์ของลัทธิสยบฟ้าคนอื่นจะยังไม่มีใครบรรลุได้เลย
และในตอนที่เขาครุ่นคิด น้ำเสียงของชายชราเมื่อครู่ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง!
“ ข้าสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมเ้าบรรลุเคล็ดสยบฟ้าได้เร็วขนาดนี้ ที่แท้เ้าก็คือเ้าหนูที่บรรลุจินตภาพสยบฟ้าได้ที่ตาไป๋พูดถึงนี่เอง ฮ่าๆ! ”
น้ำเสียงของชายชราแฝงไว้ด้วยความอารมณ์ดี
“ พ่อหนุ่ม ไม่เลวเลย เ้าต้องเข้าใจก่อนว่า จินตภาพสยบฟ้าไม่ใช่สิ่งที่จะบรรลุได้ง่ายดาย เ้าเพิ่งเข้าลัทธิมาก็สามารถบรรลุเศษเสี้ยวจินตภาพได้แล้ว ช่างน่ายกย่อง น่ายกย่องเสียจริง! ในลัทธิสยบฟ้าตอนนี้ นอกจากบรรดาลูกศิษย์ระดับพิเศษแล้วก็ไม่มีใครสามารถบรรลุจินตภาพสยบฟ้าได้แม้แต่เศษเสี้ยว ”
หลงอวี้ที่ฟังอยู่ เต็มไปด้วยความสงสัย จึงอดถามไม่ได้ว่า
“ ผู้าุโ เ้าจินตภาพนี่ แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกัน ”
“ วิชาฝึกพลังทุกวิชา เช่น เคล็ดสยบฟ้าของลัทธิเรา วิชาหทัยน้ำแข็งของสำนักน้ำแข็งเยือก ในนั้นล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ผู้คิดค้นได้แฝงไว้ สิ่งที่บรรลุได้เป็ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน และจินตภาพที่เ้าบรรลุได้นั้น ก็เป็เสี้ยวหนึ่งของกฎแห่งฟ้าดินที่ว่านั่น ”
น้ำเสียงอารมณ์ดีของชายแก่ดังขึ้นอีก
“ ตอนที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ฝึกพลัง ผู้ที่มีพร์สูงจะััถึงกฎแห่งฟ้าดินผ่านจินตภาพได้ และใช้พลังจากเศษเสี้ยวของมันได้อีกด้วย อานุภาพร้ายกาจ เ้าบรรลุจินตภาพสยบฟ้าได้เสี้ยวหนึ่งแล้ว คงจะัักับพลังที่ว่านั่นได้แล้วล่ะมั้ง?”
“ ใช่แล้ว จินตภาพสยบฟ้า สิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือพลังแห่งการกดทับ มีประโยชน์ในการต่อสู้มากทีเดียว ”
หลงอวี้พยักหน้าพลางตอบกลับ
“ เป็เช่นนั้น แรงกดทับคือกฎแห่งฟ้าดินที่แฝงอยู่ในเคล็ดสยบฟ้านี่เอง ”
ชายชราพูดอย่างพอใจ
“ แต่ว่าจินตภาพนั้นเป็เพียงระดับพื้นฐานระดับหนึ่งเท่านั้น หากสามารถบรรลุได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ััถึงแก่นที่อยู่ในนั้นได้ ก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นไปอีก เพียงแต่เ้าในตอนนี้ยังห่างไกลเกินไป ตอนนี้เ้าทำความคุ้นเคยกับเคล็ดสยบฟ้าไปก่อนเถิด ”
“ ได้ขอรับผู้าุโ ”
หลงอวี้พยักหน้า ในที่สุดก็คลี่คลายความสงสัยในใจได้แล้ว ทำให้เขาเบาใจไม่น้อย
ที่แท้ จินตภาพเป็เพียงขั้นแรกสุดของการบรรลุวิชาฝึกพลังเท่านั้น เหนือจินตภาพขึ้นไป ยังมีระดับแก่น ในลัทธิสยบฟ้าก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่บรรลุจินตภาพได้ ยังมีลูกศิษย์ระดับพิเศษอีกไม่น้อยที่บรรลุได้เช่นกัน หนึ่งในนั้นต้องมีเฟิงอวิ๋นด้วยอย่างแน่นอน!
“ดูท่า การฝึกฝนของข้าเพิ่งจะเริ่มต้น ต้องพยายามมากกว่านี้ ตอนนี้บรรลุเคล็ดสยบฟ้าได้แล้ว น่าจะขึ้นไปเลือกวิทยายุทธ์ที่ชั้นสองได้แล้วล่ะมั้ง”
ดวงตาของหลงอวี้ฉายแววคาดหวัง
......
[1] หนึ่งจ้างประมาณสามเมตร