ทุกคนอยากรู้ว่าหลินหวั่นชิวคิดจะทำกระไรกันแน่ บุรุษสูงเตี้ยอ้วนผอมและทุก่วัยจำนวนหนึ่งพร้อมใจกันก้าวออกมา
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เื่สำคัญ
สำคัญคือพวกเขารู้หนังสือเป็พอแล้ว
หลินหวั่นชิวพลิกด้านในเสื้อขนจิ้งจอกต่อหน้าทุกคน ชี้ไปบนผ้าผืนเล็กๆ ที่เย็บบนคอเสื้อ พูดกับคนเ่าั้ว่า “รบกวนทุกท่านช่วยอ่านคำ้าให้ข้าทีเ้าค่ะ”
คนเ่าั้ขยับเข้าไปดู สวีเทาขมวดคิ้วแน่น สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
“หวั่นชิว หงหย่วน” หนึ่งในนั้นอ่านออกเสียง
“หวั่นชิว หงหย่วน” บุรุษเฒ่าอีกคนอ่านเช่นกัน
จากนั้นทุกคนที่เหลืออ่านออกมากันหมด
ความจริงปรากฏทันที
มิน่าเล่า ฟู่เหรินน้อยนางนี้ถึงได้ถามสตรีสองคนนั้นว่าตัวเองชื่อกระไร สามีตัวเองชื่อกระไร
ที่แท้ก็ปักชื่อไว้บนเสื้อผ้านี่เอง ยังจะกล้าบอกว่าไม่ใช่ของนางอีกหรือ?
“ขอบคุณทุกท่านมากเ้าค่ะ” หลินหวั่นชิวย่อตัวคำนับให้แล้วมองไปทางพวกสวีเทา “ใต้เท้าทุกท่าน พวกท่านลองตัดสินดูเ้าค่ะว่าเสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้เป็ของผู้ใด?”
บรรดามือปราบมองหน้ากันไปมา สวีเทาหน้าดำคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อ
พวกเขาเพิ่งตัดสินไปว่าเสื้อขนจิ้งจอกเป็ของสตรีแต่งตัวฉูดฉาดสองคน อีกทั้งสวีเทายังทำท่าจะจับตัว ทว่าสุดท้ายกลับถูกตบหน้าภายในชั่วพริบตา
พวกเขายังไม่ทันได้พูด ฝูงชนที่ตั้งใจทำงานเต็มที่ก็ะโขึ้นก่อน “ต้องถามอีกหรือ ต้องเป็ของเ้าอยู่แล้ว”
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าลักษณะพิเศษ สีขาวจะเป็ลักษณะพิเศษได้อย่างไร ถ้าตาไม่บอดก็เห็นกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?”
“ไอ๊หยา นางไม่ร้อนใจก็เพราะเช่นนี้นี่เอง ต้องรู้จักของของตัวเองดีกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น หลินกุ้ยฮวากับหลินฉินอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ทั้งคู่อยากหนีไปจากที่นี่ แต่สายตาฝูงชนจับจ้องมากันหมด มีช่องให้พวกนางหนีที่ใดกัน บุรุษบางคนถึงขั้นฉวยโอกาสดันผลักเพื่อลวนลาม
หลินหวั่นชิวมองด้วยสายตาเ็า เตือนพวกสวีเทาว่า “ใต้เท้าทุกท่านบอกว่าจะตัดสินอย่างเป็ธรรมมิใช่หรือ? เหตุใดเล่า พอเป็เื่ของพวกนางแล้วพวกท่านตัดสินยุติธรรม แต่พอเป็เื่ของข้าแล้วพวกท่านไม่แม้แต่จะส่งเสียงเช่นนั้นหรือ หรือว่าทุกท่านจะมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเอ้อร์เจี่ยและผู้น้อยของข้า?”
หลินหวั่นชิวจงใจเพิ่มเสียงที่ประโยคสุดท้าย พูดอย่างแฝงความหมาย
เหอะ ออกแรงสาดน้ำสกปรกใส่ข้าเต็มที่ ใครสาดคืนไม่เป็บ้างกัน
เมื่อนางพูดเช่นนี้ บรรดาฝูงชนเริ่มชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์อย่างออกรส ทำให้พวกสวีเทาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย
“ในเมื่อเสื้อขนจิ้งจอกมีชื่อเ้าย่อมเป็ของเ้าแน่ พวกข้าที่มาจากที่ว่าการตำบลย่อมตัดสินยุติธรรม พาพวกนางสองคนกลับไป!” สวีเทากัดฟันพูด
เขามองสาวน้อยคนนี้ผิดไปจริงๆ เมื่อก่อนนี้นางแค่…แสร้งทำเป็อ่อนแอสินะ?
หลุดจากบ้านเหล่าหลินแล้วเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
แต่ว่า…
หลินหวั่นชิวที่เป็เช่นนี้กลับน่าดึงดูดยิ่งกว่า
เขาจะคว้านางมาครองในไม่ช้าก็เร็ว
ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนจนใจคันยุบยิบ
“หวั่นชิว น้องเล็ก พี่เป็พี่สาวเ้านะ…เ้าจะใจร้ายเช่นนี้ไม่ได้! ข้าแค่อยากได้เสื้อขนจิ้งจอกขาวเลยล้อเล่นกับเ้าก็เท่านั้น ทั้งหมดเป็ความผิดหลินฉิน นางเป็คนขโมยเสื้อขนจิ้งจอกไม่ใช่หรือ ไม่เกี่ยวกับเอ้อร์เจี่ยนะ! ข้านึกว่าเสื้อขนจิ้งจอกเป็ของนางเลยอยากช่วย ไม่เช่นนั้นข้า…จะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเพราะเหตุใด? น้องเล็ก...เ้ารีบบอกท่านเ้าหน้าที่เสีย...”
“น้ารอง…เหตุใดท่านพูดเช่นนี้ ท่านเป็คนบอกให้ข้าหยิบมาไม่ใช่หรือ?” หลินฉินเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ หลินกุ้ยฮวาโยนความผิดให้นาง นางจึงปัดความรับผิดชอบเช่นกัน
“น้าเล็ก…น้ารองเป็คนสั่งให้ข้าทำ นางบอกว่าเสื้อขนจิ้งจอกเป็ของนาง ให้ช่วยข้าเอาคืนกลับมา…น้าเล็กได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปที่ว่าการตำบล ข้ายังไม่แต่งงานเลย…”
“หลินฉิน เ้าผายลม เ้านั่นแหละเป็คนขโมย ยังจะกล้าเล่นลิ้นอีกหรือ ข้าจะฉีกปากเ้าเสีย…”
หลินกุ้ยฮวากระโจนใส่หลินฉินเมื่อด่าเสร็จ
สุนัขกัดกัน เสียหายทั้งสองฝ่าย
“หยุด พอได้แล้ว!” สวีเทาะโ เข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน เขามองหลินหวั่นชิว “เ้าพูดมา หากนี่เป็เื่ภายในครอบครัวพวกข้าจะไม่ยุ่ง แต่หากไม่ใช่ พวกนางต้องตามข้าไปที่ว่าการตำบล! หากมีปัญหาภายในครอบครัวก็ปิดประตูคุยกันเอง ไม่ใช่วิ่งมาฟ้องที่ว่าการตำบลเสียหมด คิดว่าพวกข้าว่างมากหรือ!”
สวีเทาพูดเช่นนี้เพื่อกดดันหลินหวั่นชิว เขาตัดสินให้เื่นี้เป็ปัญหาครอบครัว เปลี่ยนเื่ใหญ่ให้กลายเป็เื่เล็ก
หลินหวั่นชิวยิ้ม “เฮ้อ จริงๆ เลย เหตุใดตอนจะจับข้าก่อนหน้านี้ไม่บอกว่าให้ปิดประตูคุยกันเองในครอบครัวบ้าง? อนุญาตผู้ว่าวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง[1] ทีตอนนี้มาบอกว่าครอบครัวเดียวกัน เมื่อครู่ทุกท่านก็เห็นว่าสตรีสองนางนี้ คนหนึ่งไม่เห็นข้าเป็ญาติผู้ใหญ่ อ้าปากพูดคำสกปรกว่าข้าล่อลวงคนโน้นคนนี้ เอ้อร์เจี่ยของข้าเองก็เช่นกัน บอกว่าข้าล่อลวงคน ตอนที่ท่านเ้าหน้าที่จะจับข้า นางพูดว่ากระไรนะ? บอกว่าข้าไม่ควรละโมบเกินไป ข้าจำได้ทุกอย่าง ตอนนี้ทุกท่านจงดูให้ดีเถิดว่าผู้ใดเป็คนล่อลวงกันแน่ ความจริงประจักษ์แก่สายตาทุกท่าน พวกนางสองคน คนหนึ่งขโมยเสื้อขนจิ้งจอก คนหนึ่งกลับดำเป็ขาว บอกว่าเสื้อขนจิ้งจอกเป็ของตัวเอง จะส่งข้าเข้าคุก เื่ราวก็เป็เช่นนี้ ไม่ต้องมาบอกว่าเป็ครอบครัวเดียวกัน ข้าเป็คนบ้านเจียง ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางแม้แต่น้อย ส่วนจะจัดการอย่างไร จะตัดสินด้วยความยุติธรรมหรือเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็แล้วแต่เ้าหน้าที่ทุกท่านเถิด ประชาชนธรรมดาแบบพวกข้าย่อมทำกระไรไม่ได้อยู่แล้ว อย่างมากก็เป็แค่บทสนทนาหลังมื้ออาหารของลุงป้าน้าอาทุกท่าน อย่างมากก็แค่ชื่อเสียงเสียหาย ไม่มีกระไรเป็พิเศษ! ว่ากันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ว่าข้าโเี้ไร้ปราณี แต่บ้านข้าไม่ได้มีเงินทองเหลือเฟือ สามีข้าเป็นายพราน เขาตั้งใจขึ้นเขาไปล่าสัตว์ทั้งที่อากาศหนาวก็เพื่อทำเสื้อขนจิ้งจอกให้ข้า เพราะไม่มีเงินซื้อจึงได้แต่ต้องไปล่ามาด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตในเขาลึกหนาวเหน็บนานครึ่งเดือน…ตอนกลับมาก็มีแผลบนร่าง อายุขัยหายไปครึ่งหนึ่ง…” หลินหวั่นชิวเริ่มร้องไห้เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางพูดแบบจริงครึ่งเท็จครึ่ง ขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์มีราคาแพง นางกำลังบอกทุกคนว่าตัวเองไม่ปัญญาซื้อ ได้มาเพราะสามีตัวเองใช้ชีวิตแลกมา
ขณะที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจก็หลีกเลี่ยงการถูกอิจฉาไปด้วย
วิธีการของนางทำให้ได้รับความเห็นใจจากทุกคนตามที่คาด พากันด่าพวกหลินกุ้ยฮวาว่าไม่ใช่คน ขนาดของที่สามีผู้อื่นใช้ชีวิตแลกมายังกล้าขโมย คิดจะแย่งก็แย่งเช่นนั้นหรือ
เชิงอรรถ
[1] อนุญาตผู้ว่าวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง(只许州官放火,不许百姓点灯) หมายถึง ห้ามผู้อื่นทำ ให้แต่พวกตนทำได้เท่านั้น หรือ ให้แค่พวกพ้องของตัวเองทำเื่กระไรก็ได้ แต่ห้ามผู้อื่นทำเหนือตน