เว่ยฉีหรานเลิกคิ้วเล็กน้อย หลุบตาลงมองม้วนจดหมายที่ผู้ติดตามมอบให้
เขายื่นมือไปรับจดหมาย พลางยกยิ้มมุมปาก แววตาพลันแปรเปลี่ยน ดั่งกระบี่คมที่ถูกชักออกจากฝัก แกร่งกล้าจนไม่มีผู้ใดอาจหาญมาสบตาด้วย
แรงกดดันอันหนักหน่วง ข่มขวัญให้สมุนผู้นั้นต้องก้มหน้าลง ทั้งยังเผลอถอยหลังไปสองก้าว ขณะเฝ้ารอด้วยความนอบน้อม
ทันทีที่เห็นลายมือบนจดหมาย คิ้วเขาก็ยิ่งเลิกสูง อดมิได้ที่จะยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาพินิจอย่างลึกซึ้ง...
คนผู้นี้นับเป็ยอดฝีมือ สามารถผสมผสานความอ่อนช้อยของสตรี และความแข็งแกร่งเยี่ยงบุรุษ ลายมือมีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่ละเส้นขีดเขียนได้มั่นคงและสม่ำเสมอ ยิ่งส่วนใดเป็เส้นโค้งในตอนท้าย ก็ยิ่งตวัดอย่างสง่างาม
เนื้อความในจดหมายเขียนเพียงไม่กี่คำ วรรคแรกถึงบิดาและอี๋เหนียง เนื้อหา ‘ข้าอยู่เมืองเย่ มีความสุขดี ไม่ต้องกังวลอันใด’ แต่ตัวอักษรนั้นน่าสนใจเลยทีเดียว ทั้งเรียบง่ายและประณีตเป็อย่างมาก
ชัดเจนแล้ว ว่าผู้เขียนอยู่ที่สำนักฝูเซิงในเมืองหลวง ทว่าจดหมายกลับบอกว่าอยู่ในเมืองเย่ ดังนั้น น่าจะเป็ยอดฝีมือที่เข้าร่วมกับสำนักฝูเซิง
เว่ยฉีหรานเก็บจดหมายไว้ในแขนเสื้อ แล้วกำชับสั่ง “อย่ากระโตกกระตากเื่ที่ข้ากลับมาแล้ว แค่ไปกระซิบบอกไป๋หาน ว่าให้มาหาข้าที่เดิมก็พอ”
พูดเสร็จ เขาก็ขี่ม้าออกไปทางสวนด้านหลังจวน และเข้าไปในประตูลับ ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันเชื่อมไปยังห้องลับใต้ห้องหนังสือ
...
ภายในห้องลับยังคงสว่างไสว เว่ยฉีหรานนั่งขัดสมาธิบนตั่ง พลางหลับตาฝึกฝนวิชา
จากนั้นไม่นาน ไป๋หานก็เข้ามาจากทางลับในห้องหนังสือ นางเหลือบมองแผ่นหลังของบุรุษที่นั่งอยู่บนตั่งเงียบๆ แม้แววตาจะเรียบเฉย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความยินดี
บางครั้ง หญิงสาวก็อยากให้ตัวเองโลภกว่านี้ ทว่าเพียงแต่คิดเท่านั้น... แค่ได้มองแผ่นหลังของเขา นางก็มีความสุขยิ่งนัก
หากสามารถมองอีกฝ่ายได้เช่นนี้ไปตลอดชีวิต ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว...
พอเว่ยฉีหรานััได้ถึงลมหายใจของผู้มาเยือน ก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ จากนั้น จึงค่อยๆ ปรับลมหายใจ แล้วลืมตาขึ้นด้วยความเดือดดาล ดวงตาฉายแววเยียบเย็น
แรงกดดันพุ่งปะทุ จนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
ไป๋หานถอยหลังไปสองก้าว เพราะเกรงว่าเขาจะล่วงรู้ความรู้สึก จึงชิงพูดขึ้นก่อน “เ้าสำนัก หากทำเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของท่านจะแย่ได้”
ทันใดนั้น เว่ยฉีหรานก็ยกมือขึ้นบีบคางอีกฝ่ายอย่างแรง เพื่อบังคับให้นางสบตากับเขา พลางเอ่ยเบาๆ “ข้าเคยเตือนเ้าแล้ว ว่าอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้อีก!”
กรามของหญิงสาวถูกบีบ กระดูกลั่นคล้ายเสียงแตกร้าว สร้างความเ็ปเกินทน จนถึงขั้นหลั่งน้ำตา
ไป๋หานถูกบังคับให้มองใบหน้าที่คุ้นเคย ซึ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ แม้จะกรีดร้องก็ยังลำบาก ได้แต่เค้นเสียงออกมาคำหนึ่ง “เ้าค่ะ!”
ดวงตาของเว่ยฉีหรานหรี่แคบ “เ้าเคยบอกว่าในใจของเ้ามีเพียงข้า ชีวิตนี้จะอยู่เพื่อข้า ตายเพื่อข้า ดังนั้น เ้าควรจะมอบใจภักดีให้กับข้า”
เขากล่าว พลางโน้มตัวเข้าใกล้ พร้อมปล่อยจิตสังหารออกมามากขึ้น “มิฉะนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำลายเ้าด้วยมือของตัวเอง!”
ไป๋หานไม่สงสัยเลย ว่าอีกฝ่ายต้องทำเช่นนั้นแน่ เพราะอาจารย์ของนางพูดจริงทำจริงเสมอ เป็ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาแล้วอย่างไร? เมื่อต้องฆ่านาง เขาก็คงไม่แม้แต่จะกะพริบตา…
ไป๋หานหลุบตาลง ด้วยความเศร้าอันทะลักล้น ภายในใจทุกข์ตรม นี่หรือคือบุรุษที่นางหลงรักมาตลอดหลายปี?
“ศิษย์ทราบดี อาจารย์โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!”
เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ถึงนางจะมีใจให้ตนมานานแล้ว...
เว่ยฉีหรานปล่อยนิ้วที่บีบคางหญิงสาวออก แล้วหันหลังให้ “ตอนกลับมาจากภารกิจในวัง ข้าอยากเห็นลายมือของศิษย์ใหม่ทุกคนในสำนักฝูเซิง”
ไป๋หานไม่กล้าถามเหตุผล ทั้งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ว่าเขาจะกลับมาเมื่อใด ได้แต่รับคำสั่งเท่านั้น “เ้าค่ะ! ท่านอาจารย์”
หลังเว่ยฉีหรานเอ่ยจบ ก็โบกมือเป็เชิงไล่ให้นางออกไป
ไป๋หานโค้งคำนับ ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว และหันหลังออกมาจากห้องลับอย่างรวดเร็ว นางปิดกลไกลับที่ประตูหินตรงชั้นหนังสือ้า ก่อนทรุดตัวลงร้องไห้
‘น้ำตา’ เป็สิ่งซึ่งแสดงถึงความอ่อนแอ นางจึงไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับการร่ำไห้ต่อหน้าผู้คน แต่วันนี้ ทั้งสายตารังเกียจและความโหดร้ายของอาจารย์ กลับเป็ดั่งเข็มทิ่มแทงใจ จนหญิงสาวรู้สึกเ็ปยิ่งนัก แม้กระทั่งจะหายใจก็ยังติดขัด
หนีเจียเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องหนังสือ ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ จึงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กำลังจะยื่นมือไปเคาะประตู ก็พลันหยุดชะงัก แล้วหันหลังเดินกลับไปทางบันไดอย่างเงียบๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อมีศิษย์อีกสองคนมาหาไป๋หาน หนีเจียเอ๋อร์จึงเป็ฝ่ายเดินเข้าไปบอก ว่าหากพวกเขาไม่มีเื่ด่วนอันใด ก็อย่าเพิ่งไปรบกวนนางในยามนี้
เพราะอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในความโศกเศร้า จนไม่อาจควบคุมอารมณ์ หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่อยากให้คนเหล่านี้ไปรบกวน จึงเข้าไปขวางเอาไว้ ซึ่งไป๋หานก็ได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขาแล้วเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดเคยใส่ใจตนเช่นนี้มาก่อน นางจึงรู้สึกอุ่นใจ ลุกขึ้นมาเช็ดน้ำตา และก้าวออกไป
แอ๊ด...!
เสียงประตูไม้เปิด พอหนีเจียเอ๋อร์หันไปมอง ก็พบว่าขอบตาของไป๋หานแดงก่ำ บนคางของนางยังมีรอยนิ้วปรากฏชัดเจนอีกด้วย
ด้วยสถานะของไป๋หานในสำนักฝูเซิง ย่อมไม่มีใครขวัญกล้ามาทำเื่เช่นนี้ นอกเสียจากเ้าสำนัก เว่ยฉีหราน ชายผู้นั้นใส่ใจแต่เื่ของตัวเอง ยามอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ย่อมลงมือได้
หนีเจียเอ๋อร์อดที่จะมองเข้าไปในห้องหนังสือมิได้ แน่ใจแล้ว ว่าตอนนี้เว่ยฉีหรานจะต้องอยู่ในห้องลับเป็แน่
เขากำลังทำอะไรในห้องลับแห่งนี้?
หนีเจียเอ๋อร์เกรงว่าไป๋หานจะสงสัย จึงถอนสายตาอย่างรวดเร็ว
“รองเ้าสำนัก โปรดรอสักครู่!” พูดจบ ก็วิ่งกลับไปยังห้องของตน
ไป๋หานขมวดคิ้ว มองแผ่นหลังผอมบาง ด้วยไม่รู้ว่าอาหนี้าจะทำอันใด?
หลังจากไป๋หานจัดการธุระกับศิษย์สองคนจนเสร็จ ก็เห็นหนีเจียเอ๋อร์วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา พร้อมขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเล็กในมือ แล้วยื่นมันมาให้
“รองเ้าสำนัก นี่คือยาทาแก้อาการฟกช้ำ”
ไป๋หานเบิกตากว้าง ลดสายตาลงไปที่คางตัวเอง แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้ทันที ว่าคงจะมีรอยฟกช้ำเด่นหรา จนสะดุดสายตาผู้คน หญิงสาวจึงรับน้ำใจอีกฝ่าย พลางกล่าว “ขอบคุณ”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายศีรษะ คลี่ยิ้ม “เมื่อเทียบกับความเมตตาของรองเ้าสำนักที่มีต่อข้าแล้ว นับว่าเล็กน้อย”
เมื่อไป๋หานเปิดขวดยา กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งก็ลอยมากระทบใบหน้า เวลาทาบนผิวก็ให้ความเย็นชุ่มชื้นเบาสบาย จนอดมิได้ที่จะประทับใจบุรุษผู้มีความสูงเท่าตัวเองตรงหน้า
“เ้าเรียนรู้การทำยามาจากผู้ใด?”
หนีเจียเอ๋อร์ตอบอย่างใจเย็น “ครึ่งหนึ่งผ่านตำราแพทย์ อีกครึ่งได้มาจากผู้าุโที่เป็เถ้าแก่ร้านขายยาขอรับ!”
นางมิได้โกหก เพราะเรียนรู้ทักษะนี้มาจากตำราแพทย์ และไถ่ถามเถ้าแก่หูจริงๆ
หญิงสาวตระหนักดีว่า ความสามารถทางการแพทย์ของตนนั้น ยังตื้นเขินนัก ที่โชคดีรักษาพิษมหัศจรรย์ขององค์ชายน้อยได้ ก็อ้างอิงมาจากตำราทั้งสิ้น
คงจะดีกว่านี้ หากนางมีโอกาสเรียนวิชาแพทย์อย่างจริงจัง จากปรมาจารย์เลื่องชื่อสักคน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้