แสงตะวันทอลงมารำไร
ในจวนหลัวแห่งใหม่ผู้คนขวักไขว่วุ่นวายไปทั้งจวน
วันนี้เป็วันตากหนังสือ
สาวใช้เสี่ยวซือก็ยังต้องมาช่วยด้วยเช่นกัน
หากอยากรู้ว่าตระกูลไหนยิ่งใหญ่หรือไม่ ก็ต้องดูเนื้อหาภายใน ดูว่าหนังสือมีมากหรือไม่
บนูเาอย่างอื่นอาจไม่มี แต่หลายปีมานี้กลับปล้นหนังสือมาได้มากมาย
มาเมืองหลวงครานี้ราชครูก็จัดแจงให้ขนมาด้วยไม่น้อย
ต่อมาก็ให้ทยอยส่งตามมาจนบัดนี้ก็ขนมาหมดแล้ว
แม่นางหลัวยุ่งจนหัวหมุน แต่เมื่อเป็เช่นนี้กลับทำให้นางยิ่งดูมีชีวิตชีวา
นอกจากตากและจัดหนังสือแล้ว นางยังต้องช่วยทุกคนสั่งตัดชุดใหม่
กระแสนิยมในเมืองหลวง และพื้นที่ห่างไกลต่างกัน
เสื้อผ้าในพื้นที่ห่างไกลเน้นความสะดวกคล่องแคล่ว ทว่าเมื่ออยู่เมืองหลวงที่มาของเสื้อผ้าต้องให้ความรู้สึกที่ซับซ้อน ผ้าที่ต้องใช้ก็มากกว่า สลับซับซ้อนกว่า
ทว่าช่างดีต่อการค้าขายผ้าทอของพวกนาง ในเมืองหลวงจะตัดชุดแต่ละครั้งต้องใช้ผ้าอย่างน้อยสี่ฉื่อไม่มีทางจะใช้ผ้าเพียงฉื่อเดียว ว่าไปแล้วก็ช่างฟุ้งเฟ้อนัก
โชคดีที่แม่นางหลัวไม่เพียงแต่จะคุ้นชินเื่นี้ ทว่ายังเข้าใจเป็อย่างดี นางเติบโตในเมืองหลวง เื่ราวต่างๆ เหล่านี้นางล้วนเข้าใจ
อีกทั้งนางยังมีพ่อบ้านอย่างท่านลุงฉือคอยช่วยเหลือ เหล่าปาก็มาช่วยจัดการดูแล เื่ในเรือนจึงค่อนข้างจะเป็ระเบียบเรียบร้อย
เช่นนั้นยามนี้จึงไม่เพียงจัดการเื่บ้านช่องเรียบร้อย ทุกคนยังได้ชุดตัดใหม่ไว้ใส่กันอีกคนละชุด
อย่างน้อยยามที่พวกเขาออกจากเรือน ก็ไม่ถูกคนอื่นมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ชาวเมืองหลวง
ไม่เพียงแค่เฉินโย่วและเด็กคนอื่นๆ เท่านั้นที่ได้ชุดใหม่ นายท่านสามก็ได้เช่นกัน
นายท่านสามที่ยามนี้สวมชุดสีขาวใหม่เอี่ยมอยู่ หน้าผากก็มีปอยผมร่วงลงมาปกปิดคิ้วที่บากหายไปกว่าครึ่งพอดิบพอดี
ในมือถือพัดกระดาษ สะบัดข้อมือเข้าหากายเบาๆ พร้อมชวนเด็กๆ คุยสัพเพเหระไปเรื่อย
รอจนหลัวอู๋เลี่ยงเดินออกมาจากห้อง
นายท่านสามที่กำลังสนทนากับเด็กๆ อยู่ก็เหนียมอายจนไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อ
ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อ กล่าวขึ้นอย่างเขินอาย “อู๋เลี่ยง ชุดที่เ้าสั่งตัดให้ข้าช่างพอดีตัวนัก”
หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขำพรืด
ชุดที่นางตัดให้เฉินโย่ว และเด็กคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่พอดีกายเช่นกัน
ทว่ายามที่นางเห็นนายท่านสามที่กำลังเขินอายอยู่ท่ามกลางเหล่าเด็กๆ ก็นึกขัน
อยู่ต่อหน้าเด็กๆ แล้วยังจะมาทำท่าทีเขินอายเช่นนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน
ดวงตางดงามกลอกขึ้นคราหนึ่ง
นายท่านสามเห็นเช่นนั้นก็หน้าแดงกว่าเดิม
คนอื่นๆ ในเรือนจึงพากันหัวเราะด้วยเช่นกัน
ท่านราชครูก็ได้ชุดใหม่ด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อก่อนเขาก็อยู่ในเมืองหลวงมาตลอด จึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับอาภรณ์นัก เพียงแต่เมื่อมององค์หญิงใหญ่ที่แม้จะสวมชุดอย่างบุรุษยังน่ามองถึงเพียงนี้ เขาก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ
เด็กชายร่างอวบอ้วนครานี้ก็ได้ชุดใหม่เช่นกัน แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไร ทว่าเมื่อเห็นคนอื่นหัวเราะ เขาก็หัวเราะตามไปด้วย เขาชอบที่นี่ อยู่ที่นี่แล้วรู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน
ขันทีชราเมื่อเห็นว่าองค์ชายน้อยหัวเราะอย่างไม่คิดอะไร เขาก็พลอยหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน ทั้งวันนี้เขาเองก็ได้ชุดใหม่เหมือนคนอื่นๆ
ชุดสำหรับพ่อบ้านตัดขึ้นจากผ้าขนสัตว์ ใส่แล้วดูขึงขังไม่เบา ทั้งยังให้ความรู้สึกถึงความองอาจเช่นบุรุษ เขาชอบชุดนี้นัก
เมื่อเสียงหัวเราะในเรือนดังขึ้นไม่ขาดสายเช่นนี้ก็ชวนให้รู้สึกครึกครื้น
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูตึงตังดังขึ้น
ต่อมาก็มีเหล่าทหารกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว
โดยมีขันทีอัญเชิญราชโองการเดินนำมาอย่างเอิกเกริก
ขันทีชราเมื่อเห็นขันทีที่กำลังเดินนำมา ในตาก็พลันเห็นแสงสว่างวาบ
ราชโองการมาถึงที่ใด ก็ดุจดั่งฮ่องเต้ได้มาออกพระบัญชาด้วยพระองค์เองที่นั่น
รอจนราชโองการประกาศจบ ทุกคนก็ราวกับคนเขลา
ความหมายของราชโองการคือ ้าให้แม่นางหลัวเข้าวังไปป้อนสุราพิษให้น้องสาวได้สิ้นใจตามที่ปรารถนา
ท่าทางของขันทีผู้เป็คนอัญเชิญราชโองการถือดีนัก ยิ่งกว่านั้นยามที่ต้องอ่านราชโองการให้ทุกคนฟัง หากเป็เื่ดีเช่นเลื่อนตำแหน่ง รับพระราชทานทรัพย์ ท่าทีของขันทีก็จะร่วมยินดีไปด้วย ทว่าหากเป็เื่ร้ายเช่นริบทรัพย์ ปะายกโคตร แน่นอนว่าขันทีก็ย่อมไม่ปกปิดท่าทียกตนข่มท่านของตนเอง
ทว่าก็เห็นว่าท่ามกลางคนเหล่านี้ยังมีท่านราชครู ปราชญ์แห่งแว่นแคว้นยืนอยู่
ขันทีประกาศราชโองการแม้จะนับว่าเป็ตำแหน่งสำคัญ ทั้งยังต้องเป็ขันทีระดับสูงข้างกายฮ่องเต้จึงจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้
ขันทีทั่วไปไม่อาจออกจากวังหลวงอย่างง่ายดาย
ในฐานะที่เป็ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ ทั้งยังนับว่าเป็ขันทีอนาคตไกล เขาจึงได้รู้ว่าฮ่องเต้ช่างความจำสั้น และหุนหันพลันแล่น
ทว่ามีเื่เดียวที่พระองค์ทรงยังไม่ลืม นั่นคือเื่ของท่านราชครู ฮ่องเต้อาลัยอาวรณ์ชายตรงหน้าอยู่ไม่ลืม จึงได้ตรัสถึงอยู่เสียหลายครา
ยามนี้ยังได้พระราชทานตำแหน่งของราชครูให้เป็ราชครูปราชญ์แห่งแคว้น…ถึงแม้คำว่าปราชญ์นี้จะใช้ยามที่บุคคลนั้นเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
ทว่าราชครูยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นความหมายของคำว่าปราชญ์ย่อมจะต้องยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
เช่นนั้นขันทีที่อัญเชิญราชโองการมาจึงไม่กล้าโอ้อวดอีก ทั้งยังปฏิเสธทองที่นายท่านสามพยายามจะยัดเยียดให้เสียหลายครั้ง เขาออกไปรอด้านนอกอย่างไม่เร่งรีบอันใด
ใบหน้าของนายท่านสามไม่แดงระเรื่ออีกต่อไป เขาไม่กล่าวถึงเื่สถานะที่แท้จริงของราชครู เพียงแค่เอ่ยปากถามตรงๆ “ท่านอาจารย์กัว ฮ่องเต้ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
แม้ในหัวท่านราชครูยังคงขาวโพลน แต่ก็ยังพอจะเข้าใจ ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรก็มีนิสัยเช่นนี้ กล่าวว่าลมก็แปลว่าฝน ทำสิ่งใดล้วนไม่มีแบบแผน
“เกรงว่าเื่นี้คงจะมีลับลมคมใน ทว่าฝ่าา…ก็เป็เช่นนี้ บอกให้อู๋เลี่ยงเตรียมตัวเถิด”
นายท่านสามนึกโกรธขึ้นมา เื่นี้เป็เื่ที่คนปกติเขาจะสั่งให้คนอื่นทำกันหรือ อู๋เลี่ยงกว่าจะดิ้นรนกลับมาเมืองหลวงได้ก็ยากเย็น บัดนี้ยังต้องให้นางไปป้อนยาพิษให้น้องสาวต่างมารดา เช่นนี้ต่อไปจะให้นางทำเช่นไรเล่า นางยังต้องมาแบกข้อครหาเช่นนี้
ในอดีตนายท่านสามที่แม้จะตกไปอยู่ในรังโจร ในใจก็ยังมีความฝันจะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และราชวงศ์อยู่
ทว่ายามที่กองทัพจิงเข้ารุกรานทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกล ราชสำนักไม่ได้ส่งคนมาแม้สักคน ตอนนั้นราชสำนักอาจจะมีเื่ เขาฝืนใจให้ตัวเองเข้าใจเช่นนั้นมาตลอด
ทว่าตรงหน้านี้คือราชโองการที่ฮ่องเต้เป็ผู้บัญชาด้วยพระองค์เอง
นายท่านสามรู้สึกเพียงว่าความคิดของเขาที่อัดแน่นไปด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อแคว้นกำลังเปลี่ยนไป
หากว่าเป็คนทั่วไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกิดจิตสังหารต่ออีกฝ่ายทันที ในหัวเขายามนี้เต็มไปด้วยวิธีการนับร้อยนับพันที่จะเอาชีวิตอีกฝ่าย
ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็ถึงฮ่องเต้
ด้วยเพราะเวลากระชั้นนัก เขาจึงได้แต่ส่งอู๋เลี่ยงจากไปด้วยใบหน้าซีดขาว
รอบๆ ยังมีคนมากมายเหลือเกิน เขาจึงไม่ได้จับมือนางไว้ ทำได้เพียงดึงชายเสื้อนางไว้เท่านั้น
“อู๋เลี่ยง ไม่ว่าจะมีเื่อะไร ข้าจะอยู่ข้างหลังเ้าเสมอ หากเ้าหันมาจะเห็นข้ารอเ้าอยู่”
นายท่านสามกำชายเสื้อของหลัวอู๋เลี่ยงไว้แน่น พร้อมทั้งกล่าวขึ้นด้วยความอาวรณ์
หลัวอู๋เลี่ยงมองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงก้าวเท้าไปข้างหน้า
ชายเสื้อลื่นนัก
เพียงพริบตามือของนายท่านสามก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
เขามองอู๋เลี่ยงจากไป
มองนางนั่งอยู่บนเกี้ยวที่หาบนางไปสู่วังหลวง
เกี้ยวเคลื่อนที่ไปอย่างมั่นคง
นางเติบโตมากับเหล่านางกำนัลเก่าแก่จากวังหลวง เส้นทางในวังหลวงนางล้วนชัดแจ้งราวกับว่ามันสลักอยู่บนกายนาง
โชคชะตาช่างมหัศจรรย์เสียจริง
เกี้ยวที่นางนั่งอยู่ถูกแบกไปทางตำหนักที่พระสนมหรงอาศัยอยู่ ทว่ายามนี้กลับพยายามพานางเดินเป็วงกลมอยู่รอบหนึ่ง
ตำหนักของพระสนมหรงมีชื่อว่าตำหนักเฉียงเหวย ที่นี่แม้จะเงียบเหงา ทว่าบรรยากาศกลับไม่เลว
หลัวอู๋เลี่ยงก้าวขาลงจากเกี้ยวก็เห็นว่าประตูตรงหน้ามีกุหลาบชมพูเลื้อยอยู่ ดูแล้วงามตานัก ทั้งยังแฝงไปด้วยความน่าสนใจราวกับว่ากำลังมองภาพวาดอยู่ก็ไม่ปาน
น้องสาวของนางรักการวาดภาพ เื่นี้นางยังจำได้อยู่
ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของพวกนางไม่นับว่าดีนัก บัดนี้ก็ไม่ได้เจอกันมาเสียหลายปี เดาว่าคงจะย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
กระทั่งจะตายก็ยังอยากจะลากนางให้ซวยไปด้วย คงน่าจะเป็เช่นนี้มากกว่า
ในความทรงจำไม่ว่าเื่อะไรน้องสาวก็จะต้องแก่งแย่งกับนางให้ได้
หลัวอู๋เลี่ยงก้าวเดินเข้าไปในตำหนัก ตำหนักหรูหรา ไม่มีวี่แววแห่งความพ่ายแพ้สิ้นหวัง ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายกับเรือนของคนที่กำลังจะลาโลก
เมื่อเดินเข้ามาในตัวตำหนักแล้ว นางก็เดินต่อเข้าไปในโถงแห่งหนึ่ง
ด้านในโถงมีสตรีร่างบางนั่งอยู่
ไม่เจอกันหลายปี อีกฝ่ายยามนี้สวมชุดแดงตลอดร่าง ดูแล้วงดงามสดใส
บนศีรษะยังมีหยกประดับอยู่
นอกจากริ้วรอยบางๆ บนใบหน้าที่ลากเป็เส้นยาวตรงร่องแก้ม สตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางคนนี้ก็แทบไม่ต่างจากภาพในความทรงจำของนางเลยสักนิด
ท่าทียังคงดูเบิกบานราวกับอยากจะประกาศให้โลกรู้
“เ้าเป็คนให้ข้ามาที่นี่หรือ หากว่าเ้าไม่อยากตาย ท่านปู่ของเ้าอย่างไรก็ต้องปกป้องเ้า” หลัวอู๋เลี่ยงไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย ไม่แม้แต่จะเกรงอกเกรงใจหรือเอ่ยนามของอีกฝ่าย เพียงแค่กล่าวออกไปตรงๆ เช่นนี้
“เป็ข้าที่ทำให้ท่านต้องมาที่นี่ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ใจข้าร่ำร้องเพียงอยากจะตาย ชีวิตในวังหลวง ช่างน่าเบื่อหน่ายจนเต็มกลืน น่าขันนักที่ตอนนั้นข้าถึงขั้นทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้มาอยู่ที่นี่” พระสนมหรงกล่าวไปแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปหาหลัวอู๋เลี่ยงด้วยดวงตาพราวประกาย
“ได้ยินมาว่าพี่สาวเปลี่ยนชื่อแล้ว ยามนี้ไม่ได้ชื่อชิงเฉิง แต่เป็อู๋เลี่ยง เมื่อก่อนท่านเกรงอกเกรงใจทุกคน บัดนี้เปลี่ยนชื่อแล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยหรือ”
หลัวชิงเฉิงในอดีตไม่ว่าเื่ใดก็ล้วนอ่อนข้อให้น้องสาว
ทว่ายามนี้นางจะไม่เป็เช่นนั้นอีก นางไม่ใช่หลัวชิงเฉิง นางคือหลัวอู๋เลี่ยง
นางมองน้องสาวด้วยความเ็า วันนี้เมฆน้อยลมพัดเอื่อยๆ คนทั้งสองราวกับเป็คนแปลกหน้า
“สายตาเช่นนี้นี่แหละ สายตาเช่นนี้” พระสนมหรงกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ั้แ่เล็กจนโต ไม่ว่าบุรุษคนใดที่ได้พบท่านก็ล้วนแต่นึกรักท่านไปเสียทุกคน ราวกับว่าในสายตามีเพียงแค่ท่าน ท่านพ่อเองก็เช่นกัน ท่านปู่เองก็เช่นกัน กระทั่งพี่ชายก็เป็เช่นนั้น พี่สาว ข้าเกลียดท่านเหลือเกิน”
พระสนมหรงค่อยๆ เดินเข้ามาประชิดตัวหลัวอู๋เลี่ยง แล้วจึงค่อยๆ ยกมือทั้งสองขึ้น
ดวงตาคู่นั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็แดงก่ำ
“ทว่าหลังจากนั้นข้าจึงเพิ่งค้นพบว่าข้าไม่ได้เกลียดท่าน ใจข้าเอาแต่พุ่งเป้าไปที่ท่าน ทั้งใจล้วนเป็ท่าน ข้าอยากเข้าวังก็เพราะอยากจะเป็ท่าน พี่สาว มือของข้ารวดร้าวไปหมด ข้าปวดเหลือเกิน ข้าไม่อาจวาดรูปได้อีก มือของข้ากระทั่งพู่กันก็ยังยกไม่ขึ้น พี่สาว ข้าปวดเหลือเกิน”
