“เ้าหน้าที่อำเภอล้อมร้านไว้หรือ?” โจวอวี่ชางขมวดคิ้วแน่นทันใด
“ขอรับ นำโดยอี๋เหนียงเจ็ดตระกูลเหลียง อี๋เหนียงสี่ก็มาด้วยขอรับ ลูกค้าในร้านเราต่างหวาดกลัวกันหมดแล้ว” คนรับใช้ก้มหน้าก้มตาตอบ
“เวินซี เ้าพาจ้าวต้านออกไปทางด้านหลัง พี่จะออกไปรับมือกับพวกเขา จะพยายามถ่วงเวลาให้เ้าสักชั่วยาม” โจวอวี่ชางครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พูดกับเวินซี
เวินซีจึงพยักหน้าด้วยแววตาเ็า
“ท่านพี่ อย่าลืมปิดหน้านะเ้าคะ อย่าให้พวกเขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้”
“แม้ว่าเวินเยียนจะรู้ว่ามีร้านหม้อไฟอยู่ แต่นางคงไม่รู้ว่าจ่างกุ้ยคือท่าน” เวินซีเอ่ยเตือนอย่างเป็กังวล
หากเวินเยียนและหลานเยว่เฉิงเห็นโจวอวี่ชาง เกรงว่าคงจะมีแต่หายนะตามมา โชคดีที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่ใดเลย จึงสามารถหลบซ่อนตัวได้สักพัก...
“เข้าใจแล้ว” โจวอวี่ชางพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังจากที่ทั้งสองตกลงกันแล้ว เวินซีก็เดินไปที่ห้องจ้าวต้าน
ในตอนนั้นโจวอวี่ชางก็ให้คนรับใช้เดินออกไปที่โถงหน้าอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นอี๋เหนียงเจ็ดนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องโถงและมองสำรวจร้านด้วยสีหน้านิ่ง
เวลาผ่านไปนานแต่ก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัว สีหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ได้ไปแจ้งจ่างกุ้ยมาแล้วหรือ? เหตุใดนานเช่นนี้เขาถึงยังไม่ออกมาอีก? คิดจะซ่อนนางสารเลวนั่นไว้แล้วค่อยออกมาหรือ?”
นางโกรธมากพลันตบโต๊ะอย่างแรง
คนรับใช้ทุกคนในโถงพากันไปหลบอยู่ที่มุมห้อง พวกเขาก้มหน้าลง ไม่มีผู้ใดกล้าเดินออกไปตอบคำถามนาง
“ข้าจะให้เวลาหนึ่งก้านธูป หากจ่างกุ้ยของพวกเ้ายังไม่ออกมา ข้าจะพาคนบุกเข้าไปเดี๋ยวนี้” อี๋เหนียงเจ็ดให้โอกาสครั้งสุดท้าย
หากมิใช่ว่านางเคยได้ยินเื่เกี่ยวกับจ่างกุ้ยมาก่อนว่าเขาเป็คนมีสถานะและมาจากเมืองหลวง นางก็คงทำลายร้านทิ้งไปแล้ว ไม่อดทนรออยู่เช่นนี้แน่
เมื่อนึกถึงบุตรชายของตนที่ยังาเ็หนักและนอนอยู่บนเตียง นางก็กวาดถ้วยชาทั้งหมดบนโต๊ะด้วยความโกรธ
“เหตุใดอี๋เหนียงเจ็ดถึงต้องอารมณ์ร้ายเช่นนี้ขอรับ? ข้ามิได้มาหาท่านหรือขอรับ?”
โจวอวี่ชางแต่งหน้าเพื่อปกปิดรูปลักษณ์ที่แท้จริงแล้วรีบออกมา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มสง่างาม
“ข้าก็คิดว่าจ่างกุ้ยจะมิกล้าออกมาเสียอีก” อี๋เหนียงเจ็ดพูดประชด
“ที่ใดกันล่ะขอรับ ข้าเพียงนอนกลางวันอยู่ ตื่นมาล้างหน้าล้างตาก็ต้องช้าสักหน่อยสิขอรับ” โจวอวี่ชางตอบได้อย่างแเี เขาเดินไปนั่งตรงข้ามอี๋เหนียงเจ็ด “มิทราบว่าฮูหยินเจ็ดเข้ามาล้อมร้านของข้าไว้ด้วยเื่อันใดหรือขอรับ?”
“ที่เราทำเช่นนี้ย่อมมีเื่สำคัญสิ จ่างกุ้ย เ้าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่?” อี๋เหนียงเจ็ดพูดเปิดประเด็น ก่อนจะวางภาพเหมือนใบหนึ่งลงบนโต๊ะ
มันคือภาพวาดที่เหมือนกับเวินซีและจ้าวต้าน
“ร้านเรามีลูกค้าเข้าๆ ออกๆ ทุกวันขอรับ ข้าจำหน้าผู้ใดมิได้หรอก” โจวอวี่ชางเหลือบมองภาพครู่หนึ่ง พลางเอ่ยตอบ
“จริงหรือ? แต่มีคนบอกข้าว่าคนในรูปนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจ่างกุ้ยมากนี่ มันมิใช่เื่จริงหรือ?”
“อาจจะจริงก็ได้ขอรับ ข้ามีลูกพี่ลูกน้องมากมาย คนที่ข้ามิเคยพบเจอก็เยอะ”
“จ่างกุ้ยคงจะไม่รังเกียจหากพวกเราค้นร้านหรอกนะ?” อี๋เหนียงเจ็ดไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ขอรับ แต่ฮูหยินเจ็ด ก่อนจะค้นร้านของข้า ลูกค้าที่ท่านทำให้พวกเขาใจนหนีไป ความเสียหายพวกนี้...”
“ข้าจะชดเชยให้”
“เช่นนั้นก็ชดใช้มาก่อนเถิดขอรับ” โจวอวี่ชางพูดด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นใบหน้าของอี๋เหนียงเจ็ดก็เคร่งขรึมขึ้น “รอให้ข้าค้นร้านเสร็จก่อนมิได้หรือ?”
ทันทีที่ได้รู้เื่ที่นางสารเลวปรากฏตัว นางก็รีบพาเ้าหน้าที่มาที่ร้านทันที ยามนี้เงินติดตัวแม้สักอีแปะก็ไม่มี
“มิได้ขอรับ ฮูหยินเจ็ดต้องทำให้ข้าวางใจหน่อยสิขอรับ?”
“เ้า...เ้าจงใจถ่วงเวลาใช่หรือไม่?” อี๋เหนียงเจ็ดถามพลางหรี่ตาลง ความเย็นะเืแผ่ซ่านออกมา
“มิใช่นะขอรับ” โจวอวี่ชางสบตานางอย่างเป็ธรรมชาติ โดยไม่ถ่อมตัวหรือก้าวร้าวเกินไป
อี๋เหนียงเจ็ดตบโต๊ะ นางกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกอี๋เหนียงสี่เอื้อมมือออกมาห้ามไว้
“จ่างกุ้ย ว่ามาเถิดว่าจะเอาเท่าไร” อี๋เหนียงสี่เอ่ยปากอย่างอ่อนโยน
“เื่นี้...ต้องให้คนคิดบัญชีออกมาคิดให้ละเอียดก่อนขอรับ”
“เรากำลังรีบ บอกตัวเลขมาเถิด จะคิดเท่าไรเราก็จ่าย”
“มิได้ขอรับ ข้าจะรับเงินเกินมาได้เช่นไร ให้คนมาคิดให้ละเอียดเถิดขอรับ” โจวอวี่ชางมีท่าทีแน่วแน่
เขาโบกมือไปเรียกคนทำบัญชีที่หลบอยู่ที่มุมมา ก่อนที่คนทำบัญชีผู้นั้นจะค่อยๆ คิดเงินช้าๆ ต่อหน้าทุกคน
อี๋เหนียงเจ็ดกัดฟันด้วยความโกรธ สายตาที่ดุดันของนางแทบอยากจะฆ่าโจวอวี่ชางให้ตายไปทันที
“ท่านพี่สี่ หากเป็เช่นนี้ต่อไป นางนั่นหนีไปได้จะทำเช่นไรล่ะเ้าคะ?” นางมองไปที่อี๋เหนียงสี่เพื่อขอความช่วยเหลือ
“ไม่มีทาง ร้านนี้ถูกปิดทางออกไว้หมดแล้ว เชื่อพี่สิ พี่เองก็ดูฝูหรู่เติบโตมาและอยากจะแก้แค้นให้เขา” อี๋เหนียงสี่ปลอบใจนาง
“ก็ได้เ้าค่ะ” อี๋เหนียงเจ็ดตอบรับโดยไม่เต็มใจนัก
ที่บริเวณโถงหน้านั้นค่อยๆ เงียบลงจนกระทั่งเหลือเพียงเสียงพลิกหน้าบัญชีและเสียงลูกคิด
......
ส่วนที่สวนหลัง เมื่อได้เห็นเ้าหน้าที่ล้อมรอบประตูหลังไว้แน่น เวินซีก็พาจ้าวต้านกลับเข้าไปในห้อง
ไม่รู้ว่าโจวอวี่ชางจะถ่วงเวลาได้นานเท่าไร นางกำลังคิดหาวิธีอย่างประหม่า
หากตนเองจะหนีออกไปคนเดียวก็คงปีนกำแพงออกไปได้ แต่ตอนนี้นางมีจ้าวต้านที่าเ็สาหัสอยู่ด้วย เกรงว่าออกไปได้ไม่นานจะต้องถูกจับได้แน่
“มิเช่นนั้นเ้าออกไปก่อนเถิด ข้าค่อยหาวิธีเอง” จ้าวต้านมองดูนางเดินไปมาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เราต้องออกไปด้วยกันเ้าค่ะ” เวินซีไม่เชื่อเขา นางตอบด้วยเสียงเ็า
จ้าวต้านเม้มริมฝีปาก มิได้ตอบอันใด
เวินซีมองดูใบหน้าของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็คิดบางอย่างได้จึงเดินไปหา
“มิเช่นนั้น ข้าจะแต่งตัวให้ท่านกับสืออีเป็คนรับใช้ ให้อยู่กับคุณชายต้วน ข้าจะพาซูเหอออกไปคอยสังเกตการณ์ หากมีอันตรายใด พวกข้าจะรีบออกมาทันที” เวินซีเอ่ยปากบอกแผนการ
ด้วยหน้าตาของต้วนจิงเย่น่าจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นไปจากสืออีและจ้าวต้านได้
“เช่นนั้นก็แต่งเลยเถิด” จ้าวต้านตอบรับเห็นด้วย
เวินซีเริ่มแต่งตัวเขาอย่างรวดเร็ว แปลงร่างจ้าวต้านให้เป็คนรับใช้ร่างหยาบหน้าตาน่าเกลียดได้อย่างชำนาญ และเพื่อไม่ให้ผู้ใดสังเกตมองหน้าเขานานเกินไป นางยังเพิ่มไฝเม็ดใหญ่ที่คางของเขาอีกด้วย
เมื่อทำเสร็จแล้ว นางก็นำชุดคนรับใช้มาและพาเขาไปที่ห้องของต้วนจิงเย่
เมื่อมาถึงห้อง สืออีก็ปลอมตัวเป็คนรับใช้ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเสร็จ เวินซีและซูเหอก็ะโขึ้นไปบนหลังคาห้องที่สูงที่สุดในสวนหลัง คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทั้งเรือน
ที่บริเวณโถงหน้า ในที่สุดการคำนวณบัญชีก็เสร็จสิ้น คนทำบัญชีปิดสมุดลงพลันเดินไปข้างโจวอวี่ชาง โค้งคำนับและพูดอย่างสุภาพกับอี๋เหนียงเจ็ด
“ฮูหยินเจ็ด ตามสถานการณ์รายได้และกำไรที่เราควรจะได้ พวกท่านต้องชดใช้ให้เราหกสิบเก้าตำลึงขอรับ”
“หกสิบเก้าตำลึง?” ไม่คิดเลยว่าจะเป็เงินจำนวนมากเช่นนี้ อี๋เหนียงสี่พูดออกมาด้วยความตกตะลึง
“ขอรับ หกสิบเก้าตำลึง หากท่านทั้งสองไม่เชื่อ จะให้ผู้อื่นมาคำนวณก็ได้นะขอรับ” น้ำเสียงของคนทำบัญชีนั้นหนักแน่น
ใบหน้าของอี๋เหนียงสี่ซีดลง นางหยิบกระเป๋าเงินปักสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ พลันเทเศษเงินออกมา
เมื่อนับได้หกสิบเก้าตำลึง นางก็ดันเงินกองนั้นไปให้โจวอวี่ชาง “จ่างกุ้ย นับดูสิ”
“มิต้องนับหรอกขอรับ ข้าย่อมเชื่อใจฮูหยินทั้งสอง ในเมื่อเงินถึงมือข้าแล้ว ก็เชิญขอรับ” โจวอวี่ชางยื่นเงินให้คนคิดบัญชีพลันเอ่ยปาก
“เข้าไปค้นหาให้หมด อย่าได้ละเว้นแม้แต่มุมเดียว” ฮูหยินเจ็ดพูดอย่างหมดความอดทน
หลังจากที่เ้าหน้าที่พากันเข้าไปในสวนหลังแล้ว นางก็ลุกขึ้นเดินตามพวกเขา