เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะแก้เก้อ "เอ่อ... คือว่า เหลียนเซวียน ที่พวกเราคุยกันข้างห้องท่านได้ยินหมดแล้วหรือไม่"
เหลียนเซวียนพยักหน้าอย่างเรียบเฉย
"โอ้โห" แม้เซวียเสี่ยวหรั่นจะคิดไว้แล้ว แต่เห็นเขาพยักหน้า ก็ยังอุทานอย่างอดไม่ได้ "ไกลขนาดนี้ ทั้งยังมีกำแพงกั้นอีกด้านหนึ่ง หูของท่านไวยิ่งกว่าหูแมวอีกนะเนี่ย"
เหลียนเซวียนหน้าดำทะมึน คราก่อนบอกว่าเขาจมูกดีเหมือนสุนัข ครานี้ยังบอกว่าหูไวเหมือนแมว นางช่างสามารถนัก!
"แหะๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นเพิ่งตระหนักได้ จึงแสร้งโง่หัวเราะกลบเกลื่อน
"เอ้อ... เหลียนเซวียน เมื่อครู่ข้าพลั้งปากบอกเื่ที่พวกเราจะไปเมืองชางตานกับพวกนางไป" เซวียเสี่ยวหรั่นยอมรับผิดโดยสัตย์ซื่อ "ท่านว่าควรจะกำชับพวกนาง อย่าแพร่งพรายออกไปดีหรือไม่"
ยังรู้จักยอมรับผิด เป็ศิษย์ที่สอนได้
เหลียนเซวียนซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้ก้นบึ้งดวงตา
"ไม่ต้องหรอก ครั้งหน้าระวังก็แล้วกัน"
"อื้ม ข้าจะระวังแน่นอน" เซวียเสี่ยวหรั่นผงกศีรษะ
"วันนี้เ้ายังไม่ได้ต้มยา" เหลียนเซวียนเตือนเรียบๆ หนึ่งประโยค
นางเหลือบตามองค้อน คนกินยาขมไม่ใช่ท่านสิ ถึงได้จำแม่นนัก
จากนั้นก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา แล้วยกถ้วยชามออกไป
อูหลันฮวาแย่งเอาจานชามไปล้าง เซวียเสี่ยวหรั่นจึงออกมาต้มยาบนเตาหิน
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านจะทำอันใด รอข้าทำเถอะ"
อูหลันฮวาล้างจานชามไป สายตาก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลา
"ต้มยาน่ะ เื่นี้เ้าไม่ต้องยุ่ง"
จะให้นางทำทุกเื่ได้อย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นก่อไฟ พลางขบคิดว่า่บ่ายมีงานอะไรบ้างที่ต้องทำ
อูหลันฮวากลับรีบล้างจานชามให้เสร็จแล้วเดินเข้ามา
"ต้าเหนียงจื่อ ท่านสอนข้าต้มยาสิ ต่อไปให้ข้าต้มก็ได้"
นางไม่เคยต้มยามาก่อน หลายปีมานี้ยามเจ็บไข้ก็ต้องทนเอาเอง คนบ้านนั้นไหนเลยจะมีจิตเมตตาเชิญหมอมารักษานาง
นอกจากตักน้ำผ่าฟืน พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้ห้องครัว
ดังนั้นยาต้มอย่างไร นางไม่รู้เลยจริงๆ
"ไม่ต้องๆ ให้ข้าต้มแหละดีแล้ว ไม่ได้เปลืองแรงอะไรมาก" เซวียเสี่ยวหรั่นโบกไม้โบกมือ ไม่อยากให้นางรับงานทุกอย่างไว้ที่ตัวเองหมด
อูหลันฮวากลับยังดึงดัน ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างตลอดเวลา
ต้าเหนียงจื่อเป็คนนอกหมู่บ้าน ไม่มีที่นาก็ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก หากงานบ้านเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่ยอมให้ทำ แล้วตนเองจะทำอะไรได้อีก
เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจอย่างจนปัญญา จำต้องบอกวิธีการต้มยาแก่นาง
อูหลันฮวายิ้มกว้าง หยิบเก้าอี้เตี้ยมานั่งเฝ้าหน้าเตาหิน
เห็นนางดูจริงจังขนาดนั้น เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้ฉวยโอกาสนี้ไปเก็บของในห้อง
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับไปห้องปีกตะวันตก
มีคนมาเพิ่มหนึ่งคน แต่กลับมาห้องมีเพียงสองห้อง อูหลันฮวาย่อมนอนห้องเดียวกันกับเธอ
ในห้องมีของบางอย่างที่เธอจะต้องรีบจัดการ
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบกระบุงสะพายหลังมาจากมุมห้อง เปิดหนังสัตว์ที่คลุมไว้ออก เผยให้เห็นของที่อยู่ด้านล่าง
เสื้อกันแดด เป้สีดำ รองเท้าสีขาวที่ขาดจนนิ้วลอดออกมาได้แล้ว ของสามอย่างนี้จะเก็บไว้ไม่ได้
จากนั้นก็รื้อของในเป้ออกมา ด้านในมีกระเป๋ายาขนาดพกพากับกระเป๋าใส่ของจุกจิกสีชมพู
ในกระเป๋ายาเหลือแต่ยาแก้โรคกระเพาะหนึ่งแผง มีแปดเม็ด กินไปแล้วสามเม็ด เหลืออยู่ห้าเม็ด
ของสิ่งนี้จะเก็บหรือไม่เก็บดีนะ? เซวียเสี่ยวหรั่นครุ่นคิด ก่อนวิ่งไปห้องโถงหยิบกรรไกรมา
ตัดแผงยาออกมาเป็เม็ดๆ เพื่อให้พื้นที่เก็บน้อยลง คำอธิบาย้าก็ไม่สะดุดตา ยามจะใช้ค่อยหยิบออกมาทีละเม็ดก็พอแล้ว
หลังจากนั้นก็เริ่มรื้อของในกระเป๋าใส่ของจุกจิกสีชมพูอีกใบออกมา
เงิน เป็เพียงกระดาษไร้ค่าในที่แห่งนี้ ไม่เก็บ
โลชั่นกันแดด สะดุดตาเกินไป ไม่เก็บ
ดินสอเขียนคิ้วกับลิปสติก เซวียเสี่ยวหรั่นมองแล้วมองอีก รู้สึกเสียดายมาก แต่สุดท้ายอักษรตัวใหญ่ที่อยู่ข้างบนทำให้เธอตัดสินใจไม่เก็บ
เหลือแค่หวีกับกระจก หวี แลดูสะดุดตาเกินไป ไม่เก็บ
ส่วนกระจก...
เซวียเสี่ยวหรั่นตัดใจไม่ลง
เธอเคยเห็นกระจกของที่นี่มาแล้วที่ร้านขายของชำในตลาดนัด ส่องดูไม่เห็นจะสวยสักนิด สีออกเหลืองไม่ว่า ยังเห็นไม่ชัดอีกด้วย
กระจกแบบนั้นจะสู้กระจกของเธอได้อย่างไร
กล่องใส่กระจกทรงกลมขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ดูคล้ายกับชุดเครื่องสำอาง
เซวียเสี่ยวหรั่นกัดฟัน แยกเฉพาะกระจกออกมา รู้สึกว่าแบบนี้ก็เล็กกว่าเดิมมากแล้ว
เธอนำยาแก้โรคกระเพาะกับกระจกเก็บในถุงผ้า ซีมู่เซียงเป็คนมอบถุงผ้าสีม่วงอ่อนใบนี้ให้เธอเอง
ในที่สุด ก็ยังมีอุปกรณ์ป้องกันตัวสเปรย์พริกอีกอย่าง
อันนี้ต้องเก็บไว้
ออกจากบ้านต้องเตรียมอาวุธป้องกันตัว จะไม่เก็บได้อย่างไร เธอเป็แค่หญิงสาวอ่อนแอ ต้องอาศัยมันมาเสริมความกล้าให้ตัวเอง
ดีที่ขนาดของมันแค่ฝ่ามือไม่นับว่าสะดุดตามาก เก็บไว้อย่างระมัดระวัง ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่โต
เธอยัดของจุกจิกที่กระจายเต็มพื้นใส่เข้าไปในเป้ รวมถึงเสื้อกันแดดและรองเท้าที่เน่าแล้วคู่นั้น
ก่อนโยนเข้าไปในกระบุงใช้หนังกวางปิดไว้ เซวียเสี่ยวหรั่นวางกระบุงไว้หน้าห้อง
อูหลันฮวาเฝ้าดูไฟอย่างจริงจัง ส่วนเหลียนเซวียนก็อยู่ในห้องไม่ได้ออกมา
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินไปข้างกายอูหลันฮวา แสร้งทำเป็มองยาในหม้อ ก่อนหมุนตัวเข้าครัว ลอบนำกลักไฟออกมา
"หลันฮวา ข้าจะไปขุดผักจี้ไช่ [1] กลับมาสักหน่อย"
เธอแบกกระบุงขึ้นหลัง ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับก็ผลักประตูวิ่งออกไป
"อา...?" อูหลันฮวามองเงาหลังของคนที่เพิ่งวิ่งตัวปลิวออกไป ยังไม่ทันบอกว่าแปลงผักที่นางแอบปลูกไว้มีต้นจี้ไช่อยู่มากมาย
เหลียนเซวียนซึ่งอยู่ในห้องหน้านิ้วคิ้วขมวด
สตรีผู้นั้นกลับเข้าห้องรื้อของกุกกักๆ อยู่เป็นานสองนาน หลังจากนั้นก็ทำลับๆ ล่อๆ เข้าไปในครัว สุดท้ายก็วิ่งไปหลังเขา
นางจะทำอันใด?
เหลียนเซวียนหรี่ตาแคบ นึกถึงพฤติกรรมที่นางเผาเสื้อก่อนหน้านี้ นี่นางจะเอาสิ่งใดไปเผาทิ้งอีกแล้ว?
นึกถึงยามอยู่ในป่า ของที่นางหยิบออกมาแต่ละอย่างล้วนพิลึกพิลั่น
หากของเ่าั้ไม่เหมาะให้ผู้อื่นพบเห็น ก็สมควรกำจัดทิ้งจริงๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่นึกเลยว่าการกระทำเล็กน้อยที่เป็ความลับของตนเอง เหลียนเซวียนจะคาดเดาได้หมดแล้ว
เธอะโโลดเต้นไปทางหลังเขาอย่างเริงร่า เชิงเขาที่อาเหลยพามาครั้งก่อนมีหลุมเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เธอมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคน ก็หยิบเป้สีดำ กับกลักไฟออกมา หลังจากนั้นก็รีบจุดที่สองสองมุมของกระเป๋า หลังจากนั้นก็โยนลงไปในหลุม
ไม่ช้า ไฟก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เป้สีดำทั้งใบเผาไหม้อยู่ในกองไฟ กลิ่นเหม็นยางไหม้แสบจมูกคละคลุ้งไปในอากาศ
เซวียเสี่ยวหรั่นหากิ่งไม้แถวนั้นโยนใส่ลงไป เพื่อให้ไฟลุกโชน
ควันดำเริ่มหนา เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น
"ตุ้บ" มีความเคลื่อนไหวมาจากบนเขา
เซวียเสี่ยวหรั่นใจนขวัญหนีดีฝ่อ หัวใจเต้นไม่เป็ส่ำ พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเงาร่างคุ้นตาะโลงมาจากหินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
นั่นก็คืออาเหลยของพวกเขา
"อาเหลย เ้านี่เอง"
ขณะที่เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็มีเงาร่างเล็กโผล่ออกมาจากด้านหลังของอาเหลย
...
[1] เป็ผักป่าตระกูลเดียวกับกะหล่ำ แต่เป็ผักใบต้นเล็กๆ คล้ายผักกาดหอม แต่ใบมีลักษณะเรียวยาวขอบเป็หยัก คนนิยมนำมาประกอบอาหาร มีสารอาหารสูง และมีสรรพคุณทางยา บำรุงม้าม ขับปัสสาวะ ห้ามเื บำรุงสายตา
