“นี่ข้าเอง!” โจวชิงหวาเดินเข้าไปจับไหล่ของหนีเจียเอ๋อร์ พลางเอ่ยเบาๆ “ขออภัย คงจะทำให้เ้ากลัวแล้ว ใช่หรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า สูดลมหายใจ เหมือนจะดมกลิ่นอะไรสักอย่าง ก่อนขมวดคิ้วมุ่น “เ้าเพิ่งฟื้นตัว เหตุใดถึงดื่มสุรา?”
“แค่นิดเดียวเท่านั้น” นิ้วเรียวของชายหนุ่ม เกี่ยวปอยผมที่ปรกหน้าผากนาง ไปทัดไว้หลังใบหูเบาๆ “ข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ เ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ต้องระวังตัวให้ดี ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด!”
“ไม่เป็ไรหรอก เ้าไม่จำเป็ต้องกลับมาก็ได้ ข้าอยู่ที่นี่สบายมาก พวกเราหายหน้ามานานเช่นนี้ แม่นมโจวคงจะเป็ห่วงไม่น้อย เ้ากลับไปหานาง และดูแลกิจการของเ้าเถอะ ไม่ต้องลำบากมาอยู่กับข้า” หนีเจียเอ๋อร์พูดอย่างจริงจัง
ด้วยไม่อยากให้ชายหนุ่มทิ้งภาระทุกอย่าง มาอยู่กับตน…
โจวชิงหวายังไม่ทันโต้แย้ง หนีเจียเอ๋อร์ก็ชิงพูดขึ้นมาอีก “จากนั้น เ้าช่วยไปบอกครอบครัวของข้าด้วย แต่ไม่ต้องเล่าเื่ที่ข้าตาบอดหรอก มิฉะนั้น เว่ยอี๋เหนียงคงจะวิตกหนัก”
อย่างน้อยก็ไม่สมควรบอกตอนนี้ พวกเขาจะได้คลายกังวลไปพักหนึ่ง
“ไม่ต้องกังวล!” ปลายนิ้วของโจวชิงหวา ระไปตามผืนผ้าสีขาวที่พันรอบดวงตาของนาง
บางทีหากโชคดี การลงเขาไปครั้งนี้ อาจจะหาผู้ที่สามารถรักษาดวงตาของนางได้ แล้วพวกเขาจะได้กลับบ้านไปด้วยกัน
...
วันรุ่งขึ้น
หนีเจียเอ๋อร์ไม่รอให้ควงเหยามารับอย่างทุกที แต่รีบเดินไปหาควงเยวี่ยโหลวแต่เช้า
เมื่อศิษย์ที่เฝ้ายาม เห็นนางค่อยๆ คลำทางเดินมาช้าๆ หนึ่งในนั้นจึงก้าวเข้าไปช่วยประคองอย่างเต็มใจ “ศิษย์พี่หญิง รีบร้อนมาแต่เช้าเชียว!”
หญิงสาวย่อมมองไม่เห็นว่าเป็เวลาใดแล้ว แต่นางตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากนอกห้อง จึงคิดว่ายามนี้ท้องฟ้าคงจะสว่างและสายมากแล้ว เพิ่งจะรู้ว่านกน้อยเ่าั้มาปลุกนางเช้าเกินไป
“ข้ามีเื่อยากจะขอร้องท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วง ไปทำธุระของเ้าเถอะ”
“เช่นนั้น ศิษย์พี่หญิงระวังเท้าด้วย” ว่าแล้ว เขาก็ช่วยพยุงนางขึ้นบันไดไปอย่างคล่องแคล่ว
ควงเยวี่ยโหลวที่ยังอยู่ในน้องนอน ได้ยินบทสนทนาจากข้างนอก จึงลุกขึ้นมาแต่งตัว และเดินไปเปิดประตูให้
แอ๊ด!
หนีเจียเอ๋อร์รออยู่นอกห้องนอนอย่างสงบเสงี่ยม พอได้ยินเสียงประตูเปิด แผ่นหลังบอบบางก็หยัดขึ้น พลางหันไปหากลิ่นอันเป็เอกลักษณ์ของอาจารย์ แล้วปรับสีหน้าอย่างละอายใจ “ขออภัยท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าเช้าแล้วเลยเดินมาหา ไม่คิดว่าจะเช้าเกินไป จนรบกวนการนอนของท่าน”
ควงเยวี่ยโหลวพูดเสียงเบา “ไม่เป็ไร ได้เวลาตื่นของอาจารย์พอดี เหตุใดเ้ามาเร็วเช่นนี้?”
หนีเจียเอ๋อร์แตะผนังไม้ พลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วย่อตัวลงทำคารวะ “พี่ชายของข้าจะลงจากเขาวันนี้ แต่การลงเขาครั้งนี้ไม่ง่ายเลย หนทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก ข้าไม่รู้ว่าเว่ยฉีหรานจะหาตัวพวกเราพบหรือยัง ดังนั้นจึงอยากปรุงโอสถให้เขานำติดไปตัวไปสักสองสามเม็ด ท่านอาจารย์เห็นว่าอย่างไรเ้าคะ?”
จะไม่มีการแจกจ่ายโอสถของสำนักอิ้นเสวี่ยให้คนนอก นี่คือหนึ่งในกฎระเบียบ แต่ยามที่ควงเยวี่ยโหลวมองนาง ริมฝีปากพลันหนักอึ้งเกินกว่าจะกล่าวปฏิเสธ หากสามารถช่วยโจวชิงหวาให้ลงเขาได้อย่างราบรื่น หนีเจียเอ๋อร์คงจะสบายใจขึ้น เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่มอบโอสถให้กับอีกฝ่าย
“ตามข้ามาสิ” ควงเยวี่ยโหลวเดินออกจากประตู แต่จู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก ก่อนหันมาดึงมือหนีเจียเอ๋อร์ให้จับชายเสื้อของตนเอาไว้ แล้วค่อยๆ ก้าวเดินไปพร้อมกับนาง
หนีเจียเอ๋อร์ใจเต้นรัว ััได้ถึงความอบอุ่นที่อาจารย์มอบให้
ทุกก้าวที่เยื้องย่างออกไป นางสามารถลงฝีเท้าได้อย่างไร้กังวล เพราะรู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้น ควงเยวี่ยโหลวย่อมจะเตือนนาง หรือไม่ก็พาเดินอ้อมไปอย่างแน่นอน
เมื่อพวกเขามาถึงบันได ควงเยวี่ยโหลวก็ชำเลืองมองหญิงสาวเล็กน้อย จึงเห็นรอยยิ้มมุมปากของนาง ที่หยักโค้งอย่างไม่รู้ตัว
ขณะที่ก้าวเดิน หนีเจียเอ๋อร์ก็หวนนึกถึงภาพที่ตัวเองคุกเข่าอยู่หน้าสำนักอิ้นเสวี่ย “อาจารย์ ครั้งแรกที่พบกัน ข้านึกว่าท่านเป็บุรุษผู้ไม่เคยแยแสใครในใต้หล้า ทั้งเ็าและเืเย็น ไม่ต่างจากเว่ยฉีหรานผู้นั้น แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ ข้าก็รู้ว่าท่านเป็คนดีคนหนึ่ง ทั้งยังถ่อมตนและสูงส่ง ปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยความเมตตาอันเปี่ยมล้น น่าสรรเสริญยิ่งนัก!”
นางลูบแขนเสื้อของเขาเบาๆ พลางกระซิบเสียงนุ่มนวล “ที่แท้ ท่านก็เป็คนอ่อนโยนเช่นกัน”
ควงเยวี่ยโหลวเบิกตากว้าง เขาเคยได้ยินคำชมมาหลายครั้งหลายครา ทว่าเมื่อออกมาจากปากของนาง กลับฟังดูแตกต่างและรื่นหูเหลือเกิน
แต่พอรู้ตัว ก็ใกับความคิดของตนเอง ว่าไปใส่ใจกับคำพูดของนางั้แ่เมื่อใด
“อาจารย์ ท่านเป็อะไรไป ข้าพูดอะไรผิด หรือท่านโกรธศิษย์แล้ว?” หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ควงเยวี่ยโหลวหันกลับมา และสายตาก็ไปสะดุดกับดอกบ๊วยที่เพิ่งเบ่งบานในเช้าวันนี้ เขาชี้ไปที่ดอกบ๊วย พลางพูด “ดูสิ! ดอกบ๊วยกำลังบาน”
พูดจบก็ต้องข่มความอึดอัดใจ คิ้วของเขายับย่น ด้วยรู้สึกผิดเป็อย่างมาก “ขออภัยด้วย!”
“อาจารย์ไม่ต้องใส่ใจ ท่านใช้ตามอง ส่วนศิษย์ใช้หัวใจมอง ดอกบ๊วยที่พวกเราเห็นล้วนเบ่งบานและงดงามไม่ต่างกัน” หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มอย่างร่าเริง ไร้ร่องรอยของความเศร้าโศก
ควงเยวี่ยโหลวจึงกล่าว “รอสักครู่!”
จากนั้น ก็เดินไปหักกิ่งดอกบ๊วยที่ตากน้ำค้างยามเช้าจนชุ่มฉ่ำ แล้วนำมาวางไว้ในมือของหญิงสาวโดยมิได้เอ่ยอันใด ก่อนจะพานางเดินไปที่ห้องโอสถต่อ
หนีเจียเอ๋อร์ถือกิ่งดอกบ๊วยในมือ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้ม ดูอ่อนหวานละมุนละไม
เมื่อมาถึงห้องโอสถ ควงเยวี่ยโหลวก็เดินเข้าไปตามลำพัง เขาหยิบขวดที่บรรจุยาลูกกลอน ออกมา แล้วมอบให้นาง
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจ ปรากฏว่าอาจารย์พาตนมาที่นี่ เพื่อมอบยาอันล้ำค่าให้อย่างง่ายๆ เช่นนี้ หญิงสาวจึงกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
...
หนีเจียเอ๋อร์รีบเดินมาที่ประตูทางออกสำนัก ก็พบว่าโจวชิงหวามารออยู่ก่อนแล้ว
ชายหนุ่มคิดว่านางอาจจะลืม ว่าวันนี้ตนจะออกเดินทาง ถึงได้มาดักรอแต่เช้า ทว่าเมื่อนางยัดขวดยาใส่มือเขา ดวงตาของโจวชิงหวาก็เป็ประกายด้วยความดีใจ หลังร่ำลากันแล้ว ชายหนุ่มก็เตรียมจะจากไป
ทว่า ควงเหยากลับเดินมาหาเสียก่อน แต่มิใช่มาส่งเขา อีกฝ่ายกล่าวว่าตนมีธุระด่วน ต้องลงจากเขาตามคำสั่งของอาจารย์ จึงขอร่วมทางไปด้วยสักระยะ
เมื่อคนทั้งสองจากไป หนีเจียเอ๋อร์ที่ยังอยู่ที่นั่น พลันได้กลิ่นหอมบางอย่าง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ลู่ซีไม่ต้องซ่อนตัว พวกเขาไปกันแล้ว”
ลู่ซีตกตะลึง ยกนิ้วชี้จิ้มกัน ก่อนเอ่ยถามเสียงอ้อมแอ้ม “ท่านรู้ั้แ่เมื่อใด?”
“รู้ั้แ่เ้ามาแล้ว!” หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “รู้ได้อย่างไร ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะลงเขาวันนี้?”
ลู่ซีหน้าร้อนวูบ อับอายที่ถูกจับได้ นางจึงสารภาพว่า “ข้าได้ยินอาจารย์สั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่ลงเขา”
แล้วก็รีบพูดต่อ “ศิษย์พี่หญิงคนดี ท่านอย่าบอกศิษย์พี่ใหญ่กับพี่ชายของท่านนะ”
หนีเจียเอ๋อร์ไม่ตอบ เพียงส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยไปให้