“ท่านปู่ ท่านจะลำเอียงเกินไปแล้ว!” เซียงเซียงถูกตำหนิจนรอบดวงตาของนางเป็สีแดง นางพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าเป็หลานสาวแท้ๆ ของท่านปู่นะ ถึงแม้ท่านปู่จะไม่ปกป้องข้าก็ไม่เป็ไร แต่ทำไมถึงร่วมกับคนนอกมาเหยียบย่ำข้า? เจี้ยนนวี่เหรินนางนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเด็กในครรภ์เป็ใคร แล้วท่านยังจะชื่นชมนางอีกหรือ? ตกลงนางเป็ใครกันแน่ ทำไมท่านถึงต้องให้ความสำคัญขนาดนั้น?”
“นี่ไม่ใช่เื่ที่เ้าควรรู้” ทันใดนั้นเอง สีหน้าท่านลุงอวิ๋นพลันเปลี่ยนเป็เ็า และตำหนินางอย่างรุนแรงว่า “เ้าทำงานของตนเองให้ดีก็พอแล้ว เื่อื่นไม่ต้องถามให้มากความ ข้าจะบอกอะไรเ้าสักอย่างหนึ่ง เ้าจงปฏิบัติต่อแม่นางติงอย่างเกรงใจสักหน่อย ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าส่งเ้ากลับบ้านเกิดก็แล้วกัน”
ขณะที่เขาพูด เขาก็หันศีรษะไปมองหน้าต่างที่ปิดอย่างแ่าอยู่ด้านหลัง ดวงตาของเขาฉายแววสับสนเล็กน้อย
เซียงเซียงโกรธจนกระทืบเท้าไปมาและโยนชุนปิ่งลงบนพื้นอย่างรุนแรง “สตรีนางนั้นเป็คนไร้จรรยาบรรณของสตรีชัดๆ ทำไมท่านปู่ถึงต้องพูดคุยและปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนั้นล่ะ? แต่กับข้าแค่พูดไม่กี่ประโยคท่านปู่ก็ตำหนิข้าแล้ว ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!”
ท่านลุงอวิ๋นไม่สนใจว่าหลานสาวจะโกรธอย่างไร เขาตรงไปที่ห้องเก็บของและเลือกผ้าฝ้ายสีฟ้าอมเขียวมาหนึ่งผืน เลือกปิ่นปักผมเงินลายฝูหรงฮวา [1] มาหนึ่งชิ้น แล้วยังมีเงินอีกสองตำลึง จากนั้นก็หยิบของทั้งหมดไปที่ห้องครัว
ติงเหว่ยไม่คาดคิดว่านางจะได้รับสินน้ำใจจากการทำอาหารในครั้งแรกมากมายขนาดนี้ ไม่เพียงมีปิ่นปักผมเงินกับเงินตำลึงเท่านั้น ยังมีผ้าฝ้ายผืนนั้นอีก ช่างดูเหมาะกับนางเสียจริง เอาไว้ทำเครื่องนุ่งห่มและเครื่องนอนของเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมาได้พอดีเลย สีของมันทั้งไม่เปื้อนง่ายและเนื้อผ้าก็นุ่มนวลด้วย
เมื่อท่านลุงอวิ๋นเห็นนางยิ้มและขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าก็ดีใจ เขากำชับอีกสองสามประโยคแล้วเดินออกไป
ติงเหว่ยคิดไปคิดมาแล้วจึงหยิบเหรียญจำนวนยี่สิบเหวินออกมาจากกระเป๋าเงินของนางแล้วแบ่งให้กับเสี่ยวชิง อันที่จริงนางก็มีส่วนช่วยด้วยเหมือนกัน ดังนั้นนางก็ควรได้รับอะไรตอบแทนบ้างไม่มากก็น้อย
เสี่ยวชิงไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ตามที่คาดไว้และรับเงินเหวินไป นางดีใจมากราวกับฉีดเืไก่ [2] และแยกไปทำงานต่างๆ ในไม่ช้าทั้งสองก็เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นจนเสร็จ
ติงเหว่ยต้มน้ำแกงปลาจี้ยวี๋ [3] และเต้าหู้หนึ่งชาม นึ่งหมั่นโถวสีเงินและสีทองหนึ่งเข่ง ทำผัดผักสองอย่าง และในที่สุดก็บอกลาท่านลุงอวิ๋นและเสี่ยวชิงเพื่อกลับบ้านของนาง
เมื่อเดินผ่านลานด้านนอก นางได้กลิ่นหอมจางๆ ของอาหารมาจากลานด้านข้าง นางจึงเพิ่งตระหนักว่าที่ที่นางยุ่งทำอาหารมากว่าครึ่งค่อนวันนั้นคือที่ที่เอาไว้จัดเตรียมอาหารสำหรับนายน้อยท่านนั้นโดยเฉพาะ คนอื่นๆ ที่เหลือภายในบ้านต่างก็มากินอาหารกันที่นี่
คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านลุงอวิ๋นรักหลานชายของตนเองมากจริงๆ นางเริ่มสงสัยในตัวคุณชายอวิ๋นท่านนี้ทั้งที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
……
วันนี้ทุกคนในครอบครัวสกุลติงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่าจะมีคนในบ้านครอบครัวสกุลอวิ๋นรังแกลูกสาวของพวกเขา พวกเขาจึงเอาแต่เฝ้ารอเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดติงเหว่ยก็สะพายกระเป๋ากลับมา ไม่เพียงแต่สีหน้านางจะดูดีมาก ในอ้อมแขนยังถือผ้าฝ้ายมาด้วยหนึ่งผืน บนศีรษะยังปักด้วยปิ่นเงินที่แกะสลักอย่างประณีต
แม่นางหลี่ว์บีบเงินสองตำลึงในมือ นางยิ้มจนปิดปากไม่ได้ “ลูกสาว ได้ค่าจ้างแค่วันเดียวมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
ติงเหว่ยก็ดีใจมากที่นางได้พบกับคนดีๆ นางพยักหน้าและยิ้มพร้อมพูดว่า “ท่านแม่ วันนี้ข้าทำเตี่ยนซินแล้วครอบครัวนายท่านต่างก็ถูกใจ ดังนั้นจึงให้สินน้ำใจเพิ่มมานิดหน่อย ข้าเดาว่าต่อไปคงไม่มากเท่านี้แล้ว"
แม่นางหลิวพี่สะใภ้คนโตลูบผ้าผืนนั้นแล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “น้องหญิงได้พบบ้านที่มีหัวหน้าครอบครัวที่ดีแล้ว”
แม่นางหลี่ว์และพี่สะใภ้คนรองมองดูหญิงสาวด้วยความอิจฉาแล้วพูดว่า “น้องหญิงเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ต่อไปช่วยชี้แนะข้าบ้าง”
“ได้สิ ถ้าพี่สะใภ้อยากเรียน ข้าไหนเลยจะไม่สอน แค่ว่าเตี่ยนซินของชนชั้นสูงที่ร่ำรวยต้องทำอย่างประณีตและต้นทุนก็สูง หากว่าร้านเราทำขายเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก” ติงเหว่ยพูดด้วยความสัตย์จริง แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ร้านของเราขายของสองสามชนิดนั้นไปก่อนชั่วคราว รอข้ามีเวลาแล้วค่อยๆ ออกสินค้ารูปแบบใหม่”
แม่นางหลี่ว์กลัวว่าลูกสาวจะเหนื่อยเกินไป จึงรีบสั่งให้ลูกสะใภ้จัดเตรียมโต๊ะอาหารเย็น ลูกสะใภ้ทั้งสองก็ไม่โกรธเช่นกัน พวกนางยิ้มจนตาหยีและร่วมกันไปจัดการ
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ทั้งครอบครัวก็พักผ่อน จนถึงตอนนี้ติงเหว่ยจะไปบ้านสกุลอวิ๋นทุกๆ สองหรือสามวัน ถึงแม้จะยุ่งแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร
……
แต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะสกุลอวิ๋นร่ำรวยมาก หรือเป็เพราะท่านลุงอวิ๋นจิตใจดีเกินไปกันแน่ ทุกครั้งที่แม่นางติงกลับบ้าน นอกจากเงินค่าแรงแล้วก็ยังมีของติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ ส่วนใหญ่จะเป็เส้นด้ายกับผ้าชนิดต่างๆ ไม่ทันไรก็เก็บได้กว่าครึ่งหีบแล้ว ส่วนเหยียนจือชุ่ยเฟิ่น [4] นางก็แบ่งให้กับพี่สะใภ้ทั้งสอง น่าเสียดายที่พวกนางทำงานอยู่ในร้านซาลาเปาจึงไม่ค่อยได้ทาสักเท่าไร อย่างไรก็ตามสตรีทุกคนต่างก็รักสวยรักงาม วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบมาเปิดดมเป็ครั้งคราวก็ดีมิใช่น้อย
ทว่าติงเหว่ยกลับค่อยๆ รู้สึกหนักใจกับการไปสกุลอวิ๋น ไม่ใช่ว่าบ้านสกุลอวิ๋นไม่ดี แต่เป็เพราะท่านลุงอวิ๋นปฏิบัติต่อนางดีเกินไปต่างหาก
เมื่อใดก็ตามที่ในห้องครัวตุ๋นรังนกหรือน้ำแกงโสม ท่านลุงอวิ๋นจะแบ่งให้นางหนึ่งชามเสมอ ไม่ว่านางจะบ่ายเบี่ยงอย่างไร เขาก็ยืนกรานที่จะดูนางดื่มจนหมดทุกที
ในตอนแรกติงเหว่ยเองก็สงสัยว่าท่านลุงอวิ๋นมีเจตนาไม่ดีต่อเด็กในครรภ์ของนางหรือไม่ ทว่ามีครั้งหนึ่งที่เซียงเซียงมาทะเลาะกับนาง แล้วพูดว่ารังนกกับโสมเ่าั้ล้ำค่าขนาดไหน นางจึงรู้ว่าตนเองคิดมากเกินไป อันที่จริงจะมีบ้านไหนใช้อาหารบำรุงที่หายากแบบนี้มาทำร้ายแม่ครัวคนหนึ่งกัน
แต่ไม่ว่านางจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นนางจึงเลิกคิดจะได้ไม่เปลืองสมองด้วย
……
วันเวลาค่อยๆ ผ่านอย่างไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป ดวงอาทิตย์ใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิของเดือนสามก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หิมะบนูเาและบนต้นไม้ในหมู่บ้านค่อยๆ ละลายหายไป พื้นดินก็ค่อยๆ กลายเป็สีเขียวมากขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อน ฝนแรกในฤดูใบไม้ผลิได้ตกลงมา วันนั้นติงเหว่ยที่กำลังตั้งครรภ์นอนหลับอย่างขี้เซาจึงตื่นสาย ตอนที่กำลังเดินทางไปบ้านสกุลอวิ๋นจึงรีบร้อนนิดหน่อย ผลปรากฏว่าออกไปได้ไม่ทันไรก็ข้อเท้าแพลง
เดิมทีนางจะขอให้แม่นางหลี่ว์ไปที่บ้านสกุลอวิ๋นเพื่อบอกข่าวและขอลาหยุดสักสองวัน คิดไม่ถึงว่าท่านลุงอวิ๋นกลับส่งเกี้ยวมารับที่บ้านสกุลติง ทำให้คนในครอบครัวสกุลติงประหลาดใจจนพูดไม่ออก และชาวบ้านในหมู่บ้านก็เริ่มปล่อยข่าวลือระลอกใหม่อีกครั้ง
สำหรับเื่นี้ ติงเหว่ยก็ทำได้แค่ข่มใจให้ตนเองเชื่อว่าเป็เพราะนางรักษาหลานชายเพียงคนเดียวของสกุลอวิ๋นให้หายจากโรคเบื่ออาหารได้ ดังนั้นท่านลุงอวิ๋นจึงรู้สึกขอบคุณนางมากเป็พิเศษ ทำให้ทำเื่ผิดแผกแตกต่างไปบ้าง
ความจริงแล้วหากตัดข้อสงสัยที่ท่านลุงอวิ๋นปฏิบัติต่อนางดีเกินไป นางเองก็ชอบไปบ้านสกุลอวิ๋นจริงๆ ใน่ที่ผ่านมานางได้รู้จักคนในบ้านสกุลอวิ๋นทั้งหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็เพราะคนในบ้านสกุลอวิ๋นล้วนเป็คนดีมีน้ำใจหรือว่าทุกคนต่างถูกกำชับมาแล้วอย่างเข้มงวดกันแน่ ไม่ว่าจะเป็เด็กรับใช้ผู้ชายหรือผู้ดูแล ต่างก็ปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพและเป็มิตร ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักขอบเขตไม่เอ่ยถึงเื่ครรภ์ของนางที่ค่อยๆ โตขึ้นทุกวัน
หากเปรียบเทียบกับคนในหมู่บ้านแล้ว พวกเขามีความซื่อสัตย์และจริงใจมากกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ดังนั้นยิ่งนานวันเข้านางก็เอาบ้านสกุลอวิ๋นเป็ที่หลบภัยไว้ใช้หลีกหนีความวุ่นวายไปเสียแล้ว
……
เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ดอกไม้และต้นไม้สีเหลืองแห้งในลานบ้านของสกุลอวิ๋นก็ค่อยๆ ร่วงโรยไป ก่อนจะเริ่มผลิใบอ่อน และออกดอกตูมที่มีสีชมพูจางๆ อีกครั้ง ทำให้มองดูจากที่ไกลๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน บางครั้งหลังจากที่ติงเหว่ยเสร็จงานที่ห้องครัวแล้วนางก็จะเดินไปมารอบๆ สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ ทำให้รู้สึกเหมือนทั้งตัวผ่อนคลายและสะอาดสะอ้าน
ทว่าสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนไม่เป็ไปตามที่คาดหวังเสมอไป ติงเหว่ยเพิ่งจะรู้สึกว่าชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันปล่อยข่าวลือจนเกิดความวุ่นวายไปทั่วเพราะนางเข้าออกจวนสกุลอวิ๋นบ่อยครั้ง
“พี่สะใภ้ เ้าเคยได้ยินไหมว่า พักนี้สาวน้อยสกุลติงมักจะเข้าออกจวนสกุลอวิ๋นเป็ว่าเล่นด้วยหน้าท้องโตๆ”
“ทำไมจะไม่เคยได้ยินล่ะ ข้ายังเคยเห็นกับตาตนเองเลย ข้าเคยพูดตั้งนานแล้วว่าสาวน้อยสกุลติงไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมเจียมตัว สตรีประเภทนี้ควรจะจับไปขังในกรงหมู[5]”
แต่ก็มีฮูหยินขี้ขลาดบางคนพึมพำอย่างระมัดระวังว่า “พวกเ้าอย่าพูดจาส่งเดชนะ ลืมเื่วัดชานเฉินที่ถูกฟ้าผ่ากันหมดแล้วหรือ? อีกอย่างเหมือนสาวน้อยนางนั้นจะถูกจ้างให้ไปเป็แม่ครัว นางเป็ถึงลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา ฝีมือคงเก่งกาจไม่เบาเลย”
“...งั้นบางทีอาจเป็แค่เื่บังเอิญก็ได้น่ะสิ! พวกเราไม่ได้ทำอะไรนางสักหน่อย ก็แค่ซุบซิบนินทาไม่กี่ประโยคเอง ท่านย่าเทวาูเาคงไม่ลงทัณฑ์ตามใจชอบกระมัง?”
“เ้าอย่าได้ปากแข็งไปหน่อยเลย ท่านผู้าุโอวิ๋นผู้นั้นพื้นเพก็เป็คนร่ำรวย บุตรสาวสกุลติงไปทำงานที่จวนหลังนั้น เงินแต่ละเดือนคงไม่น้อย ไม่แน่บางทีอาจเป็เพราะท่านย่าเทวาูเาชี้แนะให้นางไปที่นั่นก็เป็ได้”
วันนี้เป็วันที่ติงเหว่ยต้องไปทำงานพอดี แม้ว่าเท้าของนางจะยังไม่หายดีนัก แต่นางกังวลว่าท่านลุงอวิ๋นจะส่งเกี้ยวมารับอีกจึงรีบออกจากบ้านั้แ่เช้าเพราะไม่อยากฟังคำซุบซิบนินทาเ่าั้อย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อต้องเผชิญกับการคาดเดาและการใส่ร้ายเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะยังรักษาอารมณ์ดีๆ เอาไว้ได้ แต่จะออกไปตบตีด่าทอด้วยก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผล ติงเหว่ยจึงเงียบอยู่พักใหญ่แล้วเลือกที่จะเดินไปทางอื่น
มีได้ก็ย่อมมีเสีย นางคิดจะเก็บเด็กในครรภ์เอาไว้ ดังนั้นสถานการณ์เช่นวันนี้ก็คงถูกกำหนดให้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่สามารถไปควบคุมปากของคนอื่นได้ จึงทำได้เพียงปลอบใจตนเองให้มองโลกในแง่ดีเท่านั้น
เช่นเดียวกับที่ท่านลุงอวิ๋นพูดวันก่อน ใน่สองเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลินี้ หากเพิ่มดอกไม้และต้นไม้เข้าไป บ้านสกุลอวิ๋นจะงดงามยิ่งขึ้น ทั้งยังมีเถาวัลย์สีเขียวสองสามต้นเลื้อยอยู่บนผนังสีเทา เป็ความสวยงามท่ามกลางความเงียบสงบ
ฮูหยินสองสามคนถือตะกร้าไปเก็บผักป่าบนูเา พวกเขาเดินผ่านประตูบ้านไปเมื่อเห็นติงเหว่ยจึงหยุดเดิน แล้วนินทาลับหลังอย่างคึกคะนอง ติงเหว่ยเห็นแล้วแทบจะอยากฟันไป๋เหยียน [6] เสียจริง
นางยืดแผ่นหลังของนางขึ้น ใช้มือหนึ่งประคองหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของนาง แล้วเดินเข้าไปในจวนสกุลอวิ๋น ยิ่งเป็่เวลาเช่นนี้จะทำอะไรยิ่งต้องเด็ดเดี่ยว หากว่านางยอมอ่อนข้อให้ คนอื่นก็จะยิ่งเหยียบย่ำขึ้นไป
ท่านป้าหลี่คนดูแลครัวที่เรือนด้านนอกและเสี่ยวฝูจื่อคนเฝ้าประตูกำลังยืนคุยกัน เมื่อเห็นติงเหว่ยเข้ามา ท่านป้าหลี่ก็ยิ้มจนตาหยีทันทีและเอ่ยทักทายก่อนว่า “แม่นางติง วันนี้มาทำงานงั้นหรือ? เ้าไม่ได้มาที่นี่ตั้งหลายวันแล้วนะ!”
ยังไม่ทันที่ติงเหว่ยจะได้พูดอะไรเสี่ยวฝูจื่อก็รีบวิ่งมาข้างหน้าและะโด้วนรอยยิ้มว่า “พี่ติง เมื่อวานผู้ดูแลหลินไปซื้อของในเมือง แล้วซื้อเครื่องในหมูมาด้วยสองชุด ทุกคนต่างก็เป็กังวล พักนี้แดดเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าหากเก็บไว้สองสามวันแล้วจะเหม็นหืนเอาได้”
ติงเหว่ยได้ฟังก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “เครื่องในหมูเป็ของดี จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ววางไว้ก่อน หลังจากข้าทำอาหารให้นายน้อยเสร็จแล้วข้าจะไปหา เอาไปตุ๋นสักหน่อยรับรองว่ารสชาติต้องอร่อยแน่”
เสี่ยวฝูจื่ออดไม่ได้ที่จะร้องะโอย่างดีใจไม่หยุดว่า “ยอดไปเลย พี่ติงลงมือเองทุกคนก็มีลาภปากอีกแล้ว”
ท่านป้าหลี่ที่เดินตามมาภายหลังได้ยินเข้า รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าของนาง แต่ปากกลับตำหนิลูกชายของตนเองว่า “เ้าลูกตะกละคนนี้นี่ ชอบไปก่อกวนให้แม่นางติงทำอาหารให้อยู่เรื่อย เ้ากำลังทำให้นางเหนื่อยนะ ดูสิเ้าจะรับผิดชอบยังไง?”
“ท่านป้าอย่าได้เกรงใจไป ปกติทุกคนก็ดูแลข้าเป็อย่างดี ข้าช่วยทำอาหารบ้างเล็กน้อยก็เป็เื่ที่สมควรแล้ว หากท่านป้าสงสารข้าอีกสักพักก็ช่วยมาเป็ลูกมือให้ข้าสักหน่อย พอท่านทำเป็ ต่อไปข้าก็สบายแล้ว”
“ไอ๊หยา จริงหรือ?” ใบหน้าของท่านป้าหลี่เบิกบานไปด้วยความยินดี ทว่าคนมีฝีมือต่างมีสิ่งของที่แม้จะเก่าแต่ก็รักและหวงแหนมาก [7] ไม่มีทางที่จะเอาเคล็ดลับของสกุลตนเองมาบอกแก่ผู้อื่นง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าเหว่ยเอ๋อร์จะสอนนางทำเครื่องในหมู ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว ท่านป้ารอข้าสักหนึ่งชั่วยามแล้วเอาเตาเปล่าๆ ออกมา ข้าจะเก็บไว้ให้ท่านลุงหลี่ดื่มสักจอกสองจอกในตอนเย็น”
“ช่างเยี่ยมจริงๆ” ท่านป้าหลี่คว้าลูกชายของนางแล้วรีบสั่งอย่างรวดเร็วว่า “เ้ายังไม่รีบไปช่วยแม่นางติงยกกระเป๋าอีก ข้าจะไปจัดการเครื่องในหมูเดี๋ยวนี้”
ท่านป้าหลี่วิ่งเข้าไปที่ห้องครัวอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้เสี่ยวฝูจื่อคว้ากระเป๋าจากมือของติงเหว่ยแล้วเดินนำเข้าไปในจวน
-----------------------------------------
[1] ฝูหรงฮวา 芙蓉花 หมายถึง ดอกพุดตาน เนื่องจากชื่อของดอกพุดตานในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าฝู (福) ที่แปลว่าโชคลาภ ร่ำรวย ด้วยความหมายที่เป็มงคลประกอบกับความสวยงามของมัน ผู้คนจึงนิยมนำมาทำเป็ภาพวาด เครื่องนุ่งห่ม งานศิลปะ ฯลฯ เพื่อมอบเป็ของขวัญแทนคำอวยพร
[2] ฉีดเืไก่ 打鸡血 เป็สำนวนที่ใช้เปรียบถึงคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น เพิ่มพลัง(กำลังใจ)
[3] ปลาจี้ยวี๋ 鲫鱼 หมายถึง ปลาตะเพียน เป็อาหารมงคลอย่างหนึ่งของจีน เนื่องจากพยางค์แรกในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่าจี๋(吉) มีความหมายว่า โชคดี พยางค์สองในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่ายวี๋(余) มีความหมายว่า เหลือเฟือ
[4] เหยียนจือชุ่ยเฟิ่น 胭脂水粉 หมายถึง เครื่องสำอางของสาวจีนโบราณ มีลักษณะเป็ผงอัดแข็งหรือครีมสีแดงไว้ใช้แต้มริมฝีปากและแก้ม เนื่องจากเชื่อว่าสีแดงเป็สีมงคล สื่อถึงพลัง และโชคลาภ เพื่อให้ดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวามากขึ้น มักทำขึ้นจากเม็ดสีของดอกคำฝอย
[5] จับไปขังในกรงหมู 浸猪笼 หมายถึง ในสมัยจีนโบราณจะมีบทลงโทษสำหรับหญิงหรือชายที่คบชู้คือการจับขังในกรงหมูแล้วนำไปถ่วงน้ำจนตาย
[6] ฟันไป๋เหยียน 翻白眼 หมายถึง การแสดงออกของดวงตาเมื่อรู้สึกผิดหวัง โกรธ เหนื่อยหน่าย หรือไม่พอใจ เหมือนภาษาไทยคำว่า “มองบน”
[7] สิ่งของที่แม้จะเก่าแต่ก็รักและหวงแหนมาก 敝帚自珍 หมายถึง เคล็ดลับวิชา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้