ดังนั้น เฟิ่งเทียนรุ่ยจึงกลายเป็หางของนาง ติดตามนางออกไปจากวัง
เฟิ่งเฉี่ยนเดินไปคิดไปว่าทำอย่างไรจึงจะสลัดหางนี้ออกไปได้
“พี่สาม ข้าหิวแล้ว ท่านช่วยไปซื้อขนมเหอเถาให้ข้าหน่อยเถิด!” เฟิ่งเฉี่ยนมองเฟิ่งเทียนรุ่ยแล้วยิ้มตาหยี
“ได้ เ้ารอข้าอยู่ที่นี่” เฟิ่งเทียนรุ่ยไม่สงสัยอันใด เขาก้าวไปยังร้านขนมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
พลันมีรถม้าตกแต่งอย่างหรูหราคันหนึ่งผ่านสายตาไปในตอนนี้ ทำให้กั้นสายตาระหว่างคนทั้งสองเอาไว้
จะบอกว่าช้าก็ช้าเร็วก็เร็ว เฟิ่งเฉี่ยนเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ อย่างรวดเร็วแล้วหายไปจากถนนสายนั้น
รอเมื่อรถม้าวิ่งผ่านไป เฟิ่งเทียนรุ่ยหันมาอีกครั้งหนึ่ง ถนนฝั่งตรงข้ามไร้ซึ่งเงาของเฟิ่งเฉี่ยน คิ้วกระบี่นั้นขมวดมุ่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เฟิ่งเฉี่ยนมั่นอกมั่นใจกับวิธีการเอาตัวรอดของตนอย่างยิ่ง แต่เดินไปได้ไม่นานนักนางพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง นางยังคงถูกคนสะกดรอยตามอยู่ และไม่ใช่คนเดียวด้วย!
“ใครกำลังสะกดรอยตามข้า ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” นางตวาดเสียงเข้ม
บริเวณปากตรอกปรากฏให้เห็นบุรุษชุดดำสองคน พวกเขาประสานมือเป็หมัดเพื่อคารวะนาง “คุณหนูสี่!”
ได้ยินคำเรียกขานของคนทั้งสอง เฟิ่งเฉี่ยนรู้ทันทีว่าทั้งคู่เป็องครักษ์ของจวนสกุลเฟิ่ง
ติ๊ง--องครักษ์ 1: พลังชีวิต 410 พลังการต่อสู้ 410 ; องครักษ์ 2 : พลังชีวิต 530 พลังการต่อสู้ 530!
คิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือของสกุลเฟิ่งจะมีความสามารถไม่ธรรมดา พวกเขาเป็จอมยุทธ์ขั้นสี่และขั้นห้า มิน่าเล่านางจึงสลัดพวกเขาไม่หลุด!
“พวกเ้าชื่ออะไร” นางถาม
บุรุษที่รูปร่างสูงกว่าแนะนำตนเอง “ข้าน้อยชื่อ เซี่ยอี เขาเป็น้องชายฝาแฝดของข้าน้อยชื่อ เซี่ยเอ้อร์ขอรับ”
เฟิ่งเฉี่ยนถามหยั่งเชิง “เซี่ยอี เซี่ยเอ้อร์ นอกจากพวกเ้าสองคนที่สะกดรอยตามข้า...ไม่สิ คุ้มกันเปิ่นกงแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกหรือไม่”
เซี่ยอี่ตอบตามความสัตย์จริง “ไม่มีแล้วขอรับ!”
ครั้งนี้เฟิ่งเฉี่ยนวางใจ จึงยิ้มให้คนทั้งสอง “ลำบากพวกเ้าแล้ว”
เฟิ่งเทียนรุ่ยปรากฏตัวที่อีกด้านหนึ่งของตรอก “น้องหญิงสี่ เหตุใดเ้าจึงมาที่นี่เล่า”
เฟิ่งเฉี่ยนอ้างว่า “เมื่อสักครู่เห็นคนผู้หนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตา จึงไล่ตามมาแต่กลายเป็ว่าจำคนผิด”
“ที่แท้เป็เช่นนี้” เฟิ่งเทียนรุ่ยยังคงสงสัย เขายื่นขนมที่ไปซื้อมาเมื่อสักครู่ให้นาง “น้องหญิงสี่ ขนมเหอเถาของเ้า”
เฟิ่งเฉี่ยนรับมาอย่างเบิกบานใจ “ขอบคุณพี่สาม”
สองพี่น้องเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เฟิ่งเฉี่ยนกินขนมเหอเถาพร้อมกับคิดหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเอง
อีกด้านหนึ่งของถนน มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมอาภรณ์สีขาวเส้นผมสีเงิน ผิวพรรณงดงามราวกับหิมะที่ต้อนรับแสงแดด ทั่วทั้งร่างแทบจะเปล่งแสงออกมาได้ ส่งผลให้คนมองตาไม่กระพริบ
ข้างกายเขามีบุรุษอีกคนหนึ่งในชุดสีดำ หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นเช่นเดียวกับเขา ทว่าเมื่อยืนอยู่ข้างบุรุษชุดขาวกลับทำให้เขาดูอับแสงลง
มีองครักษ์คนหนึ่งเดินขึ้นมารายงานกับบุรุษชุดดำ “ทูลไท่จื่อ เกิดเื่กับองค์หญิงหลานซินแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซือคงจวินเย่ชะงัก และถามเสียงเย็น “เกิดอะไรขึ้น”
องครักษ์ถ่ายทอดเื่ราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงเมื่อคืน
แววตาอำมหิตพาดผ่านดวงตาของซือคงจวินเย่ “ราชวงศ์ของแคว้นเป่ยเยียนรังแกกันเกินไปแล้ว กระทั่งองค์หญิงของแคว้นหนานเยียนของพวกเราก็ยังกล้าแตะต้อง”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะขึ้นมา พูดขึ้นลอยๆ ว่า “ั้แ่เล็กหลานซินเป็คนไม่ยอมคน นางไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ใครจะกล้าหาเื่นาง”
ซือคงจวินเย่มองน้องชายปราดหนึ่งแล้วครุ่นคิด “เื่นี้ค่อยว่ากัน ปล่อยให้นางได้รับความลำบากเสียบ้าง รอให้สิ้นสุดการแข่งขันเดินหมากค่อยว่ากัน”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยเดินไปข้างหน้าอย่างไม่แยแส เส้นผมสีเงินถูกปล่อยลงมานั้นปลิวไสวเบาๆ ตามก้าวเดินของเขา
เด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านข้างเกิดขาพันกันล้มลง พุทราเชื่อมหลุดออกจากมือกระเด็นใส่อาภรณ์สีขาวสะอาดราวกับหิมะของซือคงเซิ่งเจี๋ย!
ทุกอย่างราวกับหยุดลง!
ซือคงเซิ่งเจี๋ยราวกับถูกสาบอยู่ที่นั่น เขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
รวมไปถึงซือคงจวินเย่และคนอื่นๆ ต่างหยุดอยู่กับที่และหันไปมองซือคงเซิ่งเจี๋ย สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
นาทีถัดมาสีหน้าของซือคงเซิ่งเจี๋ยซีดราวกับกระดาษ ร่างของเขาสั่นเทิ้ม คล้ายว่ากำลังจะหมดสติเสียเดี๋ยวนั้น “ท่านพี่ ประคองข้าไปร้านตัดเสื้อ ข้า้าเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดๆ!”
บรรดาองครักษ์มองหน้ากันไปมา ทุกคนล้วนรู้ดีว่าองค์ชายสามนั้นเป็คนรักความสะอาดจนรู้ไปทั่ว ทันทีที่เห็นสิ่งของสกปรกร่างทั้งร่างจะสั่นเทิ้ม หากอาการหนักกว่านั้นถึงขั้นหมดสติไปเลยก็มี
ในยามปกติมีไท่จื่อคอยปกป้องดูแล จึงน้อยนักที่จะเกิดเื่เช่นนี้ แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้...จะเจอเข้าอย่างจัง!
คนทั้งหมดเข้าไปในร้านตัดเสื้ออย่างรีบร้อน ไม่นานนัก เฟิ่งเฉี่ยนและสองพี่น้องก็มาถึงร้านตัดเสื้อเช่นกัน
“พี่สาม ข้าจะไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สักหน่อย ท่านรอข้าอยู่ที่นี่สักครู่”
พูดแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในร้านตัดเสื้อ
ในร้านตัดเสื้อมีลูกค้าไม่มากนัก ทว่าแต่ละคนกลับเปี่ยมไปด้วยรัศมีเข่นฆ่า ทำให้คนจดจำไม่ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษชุดดำที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่ข้างโต๊ะเก็บเงิน แม้เขาจะกำลังดื่มน้ำชา ทว่าสายตากลับกวาดมองไปรอบๆ เป็พักๆ ให้ความรู้สึกกดข่มผู้อื่น ชัดเจนเหลือเกินว่านี่ก็คือบุคลิกของเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่พึงมี!
บุรุษที่มีความโดดเด่นเช่นนี้มาปรากฏตัวอยู่ในร้านตัดเสื้อธรรมดา จึงเป็ที่ดึงดูดความสนใจ
ขณะที่นางกำลังประเมินอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายก็กวาดผ่านมา สายตาของเขาคมปลาบราวกระบี่ พินิจพิจารณานางละเอียดจากนั้นแสดงสีหน้าไม่ยี่หระหลายส่วน เขาละเลื่อนสายตาไปอย่างรวดเร็วแล้วมาหยุดอยู่บนร่างชายหญิงที่ถือกระบี่ยาวไว้ในมือ
อาจเป็เพราะเห็นว่าบนร่างของนางไม่มีอาวุธอันใด ดังนั้นจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา กลับกลายเป็ว่าระมัดระวังจอมยุทธ์ที่ถือกระบี่ยาวมาด้วยมากกว่า
เฟิ่งเฉี่ยนไม่มีกะจิตกะใจจะไปใส่ใจฐานะของอีกฝ่าย ยามนี้นางคิดเพียงหาวิธีสลัดพี่สามและองครักษ์ของสกุลเฟิ่งแล้วรีบเดินทางไปยังจวนสกุลหาน
เฟิ่งเฉี่ยนเลือกส่งๆ มาชิ้นหนึ่ง แล้วเดินตามการนำทางของเสี่ยวเอ้อร์ไปยังห้องลองเสื้อ
“เสี่ยวเอ้อร์ มีห้องลองเสื้อที่อยู่ติดหน้าต่างหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบ “มีขอรับ แต่อยู่ห้องด้านขวาสุด”
เฟิ่งเฉี่ยนเหลือบตามองห้องลองเสื้อขวาสุดปราดหนึ่งแล้วเดินตรงไป “ข้าไปเปลี่ยนที่นั่นก็แล้วกัน!”
เสี่ยวเอ้อร์มีสีหน้าประหลาด “ไม่ได้ขอรับ ด้นนั้นเป็ห้องลองเสื้อของลูกค้าผู้ชาย ลูกค้าสตรีอยู่อีกด้านหนึ่งขอรับ!”
เฟิ่งเฉี่ยนโบกมือ ยืนกรานว่า “ข้าจะผลัดเปลี่ยนที่นี่! เ้ารีบออกไปเถิด หาไม่แล้วข้าจะร้องว่าเสียมารยาท!”
เสี่ยวเอ้อร์ตาค้างอ้าปากทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะยอมแพ้ หมุนกายเดินออกไปจากห้องลองเสื้อ
เฟิ่งเฉี่ยนหิ้วเสื้อผ้าเดินมาถึงห้องลองเสื้อห้องขวาสุด นางยื่นมือไปดึงประตูทว่าดึงอย่างไรก็เปิดไม่ออก
หรือมีคนอยู่ข้างใน
นางลองเคาะประตูและะโเข้าไปในด้านใน “ข้างในมีคนหรือไม่”
ไม่มีเสียงตอบ!
นางเคาะประตูอีกสองครั้ง “มีคนหรือไม่มีกันแน่”
ยังคงไม่มีเสียงตอบ และประตูเปิดไม่ออก!
เฟิ่งเฉี่ยนครุ่นคิด นางเงยหน้าขึ้นมองพื้นที่ว่าง้าของห้องลองเสื้อทั้งสองห้อง นางปีนจากห้องด้านซ้ายไปห้องด้านขวาได้
พูดแล้วก็ลงมือทำทันที!
เฟิ่งเฉี่ยนเปิดประตูห้องลองเสื้อด้านซ้ายแล้วโยนเสื้อผ้าลงบนพื้น จากนั้นปีนจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง
ไม้กระดานที่กั้นห้องนั้นสูงกว่านางราวๆ ครึ่งตัวคน นางอาศัยยืมแรงจากกำแพงทั้งสองด้านปีนขึ้น้า เมื่อปีนเกือบจะถึง้าสุด ขาทั้งสองข้างอยู่ระหว่างกำแพงทั้งสองด้าน มือทั้งสองเป็อิสระอีกครั้งจึงปีนขึ้น้าสุดของไม้กระดาน จากนั้นยืมแรงมือเหวี่ยงตัวเองออกไปก็ข้ามไปยังไม้กระดานอีกด้านหนึ่งได้แล้ว!
เมื่อเหวี่ยงตัวมายังกำแพงอีกด้านหนึ่ง ภาพในห้องนั้นเข้ามาในคลองจักษุของนาง ส่งผลให้นางอึ้งงันไปชั่วขณะ!