ในขณะนี้ มู่เทียนอินยุ่งเกินกว่าจะสนใจคนอื่น จนไม่ได้สนใจเลยว่าผู้อื่นจะมองมาที่นางอย่างไร
เมื่อถูกคนผู้นั้นโอบเอว กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยก็โชยเข้าจมูก
ร่างกายของนางสั่นระริก ปลายอกน้อยสีชมพูเริ่มชูชัน แม้แต่เนินน้อยระหว่างขาเปียกชื้น
อืม…อืม…
หากไม่พยายามอดกลั้นไว้อย่างเต็มที่ นางคงจะส่งเสียงออกไปแล้ว
สาร สารเลว... ยามนี้ทุกคนกำลังมองอยู่ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ร่างกายของนางอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ดังนั้น มู่เทียนอินจึงต้องพิงเขาเพื่อพยุงตัว
หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ทว่าภายในใจกลับด่าทอเขาเป็พันเป็หมื่นครั้ง
หลังจากออกจากตำหนักฉงหวาแล้ว ซู่หลิงก็อุ้มนางทะยานขึ้นไป
พลังอันแข็งแกร่งและตัณหาที่โหมกระหน่ำภายในร่างกาย ทำให้สติของมู่เทียนอินค่อยๆ เลือนราง
ในสภาวะความสับสน รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนพาไปที่ข้างเตียง
กลิ่นหอมเย็นที่ชวนให้ใจสั่นค่อยๆ จางหายไป มู่เทียนอินจึงรีบตั้งสมาธิเพื่อปรับลมหายใจทันที
พลังอันรุนแรงพลุ่งพล่านในเส้นลมปราณ และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็พลังปราณทีละน้อย
เมื่อพลังปราณิญญาในร่างกายของนางเพิ่มขึ้น นางจึงสามารถก้าวข้ามระดับิญญาขาวขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง และเข้าสู่ระดับที่สามได้ในทันที
“เสี่ยวอินเอ๋อร์ ไม่เลวเลย ดูท่าว่าเ้าจะสามารถช่วยข้าตามหาิญญาอสูรได้ในไม่ช้า”
เมื่อเห็นนางเลื่อนขั้น เยว่เยาก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“นี่คือที่ไหนในวัง?”
มู่เทียนอินไม่ตอบรับ เพียงมองไปโดยรอบ
มันพูดถึงิญญาอสูรมาไม่รู้กี่ปีแล้ว และนางก็ไม่อยากได้ยินอีก
ภายในห้องมีของใช้ไม่มากนัก ทว่าสิ่งของแต่ละชิ้นกลับสะท้อนถึงความเรียบง่ายและหรูหรา
นางจำได้ว่าถูกซู่หลิงพาตัวไป นี่อาจเป็ห้องที่เขาพักภายในพระราชวังแห่งนี้ใช่หรือไม่?
มู่เทียนอินลงจากเตียง เดินออกไปภายนอก
ทันทีที่ไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงน้ำหยด นางจึงเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว
แต่แล้วก็เห็นบุรุษรูปงามราวรูปสลักยืนอยู่ในน้ำที่ส่องสะท้อนเป็ประกาย
บุรรุษหนุ่มรูปงามเปลือยท่อนบน มีเพียงเสื้อบางชุ่มน้ำคลุมร่างกายส่วนล่างอย่างหละหลวม
การแต่งกายที่ดูเหมือนจะปิดบังเรือนร่าง เป็การสวมใส่ที่น่าดึงดูกว่าการเปลือยกายเสียอีก
เรือนผมสีดำขลับที่เปียกชุ่มห้อยละลงมา แนบติดพวงแก้มและหัวไหล่อย่างยุ่งเหยิง
หยดน้ำไหลลงมาตามแนวกระดูกไหปลาร้า คล้ายงูเลื้อยไปตามร่างกายเปลือยเปล่าอันสมบูรณ์แบบ
สองจุดเย้ายวนประดับอยู่บนแผงอกเนียนลื่นราวกระเบื้องเคลือบ เส้นเอวสอบเย้ายวน มัดกล้ามเนื้อหน้าท้องแปดลูกที่แข็งแน่น...
ไม่อาจพรรณนาความงดงามเย้ายวนได้ งดงามราวกับต้องมนตร์
ดวงตาสีม่วงเรียวเล็กเปล่งประกาย และเงยหน้าขึ้นมองมาพอดี
ทั้งสองสบตากันเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว
ดวงตาสีดำขลับของมู่เทียนอินเบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว ใจลอยไปชั่วครู่!
เหม่อมองไปที่ความงามอันน่าทึ่งตรงหน้า ร่างกายของนางพลันร้อนผ่าวด้วยอารมณ์ปรารถนา ใบหน้าหวานแดงก่ำราวสีเื
เหตุใดคนผู้นี้ต้องอาบน้ำในเวลานี้ด้วย ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
ขณะที่นางจ้องเขม็งอยู่นั้น หยดน้ำหนึ่งหยดไหลพาดผ่านริมฝีปากอันละเอียดอ่อนของบุรุษผู้นั้น ผ่านคางแหลม แผงอกที่มีกระดูกไหปลาร้าอันเร้าอารมณ์
ไหลลงไปจนถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องและเอวอันสมบูรณ์แบบ... จนกระทั่งหยดลงไปในน้ำ
เมื่อเห็นฉากเย้ายวนนี้ มู่เทียนอินก็รู้สึกหัวใจเต้นรัว จมูกร้อนผ่าวขึ้น
นางจึงรีบหันหลังกลับไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ทะลุหมดแล้ว? มานี่สิ”
บุรุษหนุ่มรูปงามราวะที่ถูกเนรเทศเม้มริมฝีปากบาง แล้วพูดเสียงเบา
“ท่านพูดอะไรน่ะ!”
มู่เทียนอินชะงักไปชั่วครู่ และอดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียง
เขากำลังอาบน้ำอยู่ เหตุใดถึงเรียกนางเข้าไปล่ะ!
จากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนจะรู้เื่การทะลวงระดับของตนแล้ว
ทันทีที่นางพูดจบ เอวบางก็ถูกแรงลึกลับดึงม้วนเข้าไป ทำให้ทั้งตัวนางตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ยุคาบนข้อมือถูกกระแทกจนเปิดออก ร่างกายที่อ่อนนุ่มจึงตกลงไปในน้ำ
กระโปรงสีขาวโปร่งแสงทันทีเนื่องจากความเปียกชื้น แนบติดกับส่วนเว้าโค้งของร่างกาย
“เ้าคิดว่า... จะเอาอสรพิษเขมือบนภาของเปิ่นจุนไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? ดังที่ว่า 'การตอบแทนเป็สิ่งสำคัญ' เ้ารับอสรพิษเขมือบนภาไปแล้ว ควรจะตอบแทนมาบ้างสิ”
ซู่หลิงคว้าเอวเรียวของนางอย่างง่ายดาย สายตาจับจ้องนางอย่างลึกซึ้ง
ใบหน้าหยกที่งดงามราวเทพเซียน แสดงออกถึงความเ็า ปราศจากตัณหาใด
ในดวงตาสีม่วงเข้มนั้น กลับมีร่องรอยของสิ่งชั่วร้ายที่แผ่ขยายออกมาอย่างช้าๆ
“ปรากฏว่าท่านจงใจส่งอสรพิษเขมือบนภามา เพราะรู้ั้แ่แรกแล้วว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายตัวนี้ได้ หากข้าทำพันธสัญญาแล้ว จะต้องพักอาศัยอยู่ในวัง”
การััผิวแนบผิว ทำให้ร่างกายที่บอบบางของเด็กสาวอ่อนยวบลงเรื่อยๆ
เืในร่างกายร้อนจัด และแม้แต่เสียงก็เต็มไปด้วยเสน่ห์
“ใช่แล้ว ใครใช้ให้เ้าฝึกวิชายุทธ์ของเปิ่นจุนกันล่ะ”
ซู่หลิงมองไปที่ร่างกายที่ยังดูอ่อนเยาว์ในอ้อมแขน ดวงตาพลันมืดมนลงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้มู่เทียนอินก็ใเล็กน้อย
เขารู้ได้อย่างไรว่านางได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานั้นแล้ว?
“ท่าน...ปล่อยข้าก่อนเถิด”
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนมู่เทียนอินรู้สึกตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง
แม้จะกัดริมฝีปาก ก็อดร้องครวญครางออกมาไม่ได้
ความเ็าของคนผู้นี้ น่าสะพรึงกลัวกว่าโอสถเร้ากำหนัดถึงสิบเท่า
“นั่นคือการฝึกจิตเสริมสมดุลหยินหยางที่ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลข้าทิ้งไว้”
ขณะที่นางกำลังสับสน คนผู้นั้นก็พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของมู่เทียนอินก็ค่อยๆ เย็นลง
หาก...หากรู้ั้แ่แรกแล้วว่าเป็วิชาที่มี 'เื่ทางเพศ' เข้ามาเกี่ยวข้องเช่นนี้ ให้ตายก็คงไม่คิดฝึกฝน
“ทุกครั้งที่เข้าใกล้ เ้าจะมีอารมณ์ร่วม และร่างกายของเ้าจะไวต่อสิ่งเร้าอย่างยิ่ง”
เสียงของซู่หลิงยังคงราบเรียบและควบคุมได้เสมอ
แม้จะมีกลิ่นหอมล่อใจอยู่ในอ้อมแขน ก็ไม่รบกวนจิติญญาการอดกลั้นของเขา
“เปิ่นจุนมั่นใจแล้วว่าเคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิได้ยอมรับเ้าแล้ว เ้าได้กลายเป็เ้าของมันไปแล้ว”
ที่แท้คืนวันที่ได้ััใกล้ชิดเป็บททดสอบของเื่นี้นี่เอง
"ท่าน้าสิ่งใดกันแน่?"
มู่เทียนอินจ้องเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาสีดำที่พร่ามัวกลับเปล่งประกายอ่อนหวานและมีเสน่ห์
“ข้า้าเ้า มาอุ่นเตียงให้ข้าสักหนึ่งเดือน”
อาภรณ์เปิดเผยออกบางบางส่วน เด็กสาวโฉมงามแฝงไปด้วยความดื้อรั้น
บุรุษหนุ่มเปิดริมฝีปากบาง และกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงแหบพร่า
“ท่านพูดอะไรน่ะ?!”
เสียงของมู่เทียนอินดังขึ้น หน้าอกเล็กกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
นางไม่ควรด่วนตัดสินใจฝึกฝนเคล็ดวิชาของเขาเพราะความโกรธแค้นชั่ววูบ
ทว่าเงื่อนไขนี้มันมากเกินไป !
“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถระงับเืสัตว์ร้ายในร่างกายของเปิ่นจุนได้ เ้าจึงจะหลุดพ้นจากสภาวะเช่นนี้ได้”
บุคคลผู้งดงามราวเทพเซียน ขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าที่งดงามราวหยกยังคงสงบเยือกเย็น
“เืสัตว์ร้าย? เืสัตว์ร้ายบ้าอะไรกัน?”
เขามีท่าทางเ็าและเฉยเมย ทว่าริมฝีปากบางสีแดงอ่อนกลับดูน่าดึงดูดอย่างประหลาด
และร่างกายที่แข็งแรงสมส่วน ยั่วยวนชวนให้ใจสั่น
มู่เทียนอินสูดดมกลิ่นหอมเย็น ร่างกายกระหายและปรารถนาอย่างแรงกล้าจนยากจะอดกลั้น
หากไม่ใช่ถูกเขาจับเอวไว้แน่น คงจะอดใจไม่ไหวหันตัวไปตะครุบเขาล้มลงไปแล้ว
ทว่าในใจนางกลับรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ไม่ว่าบุรุษผู้นี้จะหล่อเหลาเพียงใด นางก็ไม่ชอบเขาอยู่ดี!
“เ้าไม่จำเป็ต้องรู้เื่เหล่านี้ เ้าเพียงเข้าใจว่าการปราบเืสัตว์ร้ายจะเป็ผลดีต่อทั้งเ้าและข้า”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนยังคงดิ้นรนอย่างไม่หยุดหย่อน จนผิวขาวราวหิมะของเขาเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
ในสายตาของมู่เทียนอิน นี่เป็การล่อลวงอย่างเปิดเผย!
"ข้าไม่้า!"
ทว่านางกัดฟันปฏิเสธทีละคำอย่างยากลำบาก
“คืนนั้นเราได้ััเนื้อแนบเนื้อกันแล้ว เปิ่นจุนคิดว่านี่เป็สิ่งที่ดีสำหรับเราทั้งคู่”
ช่างปากแข็งเสียจริง
หากเขาไม่คอยกดเอวนางไว้ตลอดเวลา เกรงว่าร่างกายของนางคงไม่หยุดเคลื่อนไหว
แม้นางจะพยายามอดทนไม่ให้จูบเขา ทว่ามือเล็กด้านล่างกลับไม่ซื่อสัตย์
“เ้าเองก็เป็สตรีควรรักษาชื่อเสียง หากเ้ารู้สึกว่าเื่นี้เป็การล่วงเกินเกินไป เปิ่นจุนจะรับผิดชอบเอง”
ด้วยความละเอียดอ่อนของซู่หลิง จึงสังเกตเห็นได้ทันทีว่านางกำลังโกรธเคือง เขาค่อยๆ หลุบตาลง ใบหน้าหยกเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่กำลังปั่นป่วนอยู่ภายใน
“ฮ่า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรล่ะ?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของมู่เทียนอินแดงก่ำ ในใจมีเพียงความโกรธเท่านั้น
วางแผนให้นางมาที่นี่ จากนั้นใช้กลิ่นหอมเย็นบนร่างกายล่อลวงให้นางสูญเสียการควบคุม
กล้าดีอย่างไรมาพูดอย่างมีศีลธรรมเช่นนี้?
"ข้าจะแต่งงานกับเ้า"
ซู่หลิงหลุบสายตาลงมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ใบหน้างดงามของมู่เทียนอินตกตะลึง
นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่?
เขาเป็ถึงฮ่องเต้ใหญ่ของสมาพันธ์ และยังเป็นายน้อยของตระกูลซู่
เมื่ออยู่ในตระกูลใหญ่และมีสถานะเช่นนั้น การแต่งงานจะสามารถทำได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้หรือ?
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แม้ว่าจะทำได้อย่างง่ายดายจริงๆ
นางก็ได้ชื่อว่าเป็คนขี้โรคแห่งแคว้นมู่สุ่ย
ด้วยพร์และความแข็งแกร่งของเขา สามารถพูดได้อย่างหน้าตาเฉยว่าจะแต่งงานกับนางได้หรือ?
“ซู่หลิง”
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ มู่เทียนอินก็ปรับสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้นทันที
“อืม?”
คนผู้นั้นเหลือบมองนางอย่างเฉยเมย น้ำเสียงเ็า ทว่ากลับน่าฟัง
“หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่ท่านมาหาข้า...ััแนบชิดกับข้า นั่นเพราะท่าน้ายืนยันเื่เคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิใช่หรือไม่?”
มู่เทียนอินเลิกคิ้วขึ้น แม้ว่าเสียงของนางจะแหบพร่า ทว่าน้ำเสียงก็จริงจัง
"ใช่"
ซู่หลิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิเป็วิธีการฝึกจิตขั้นสูง เป็สิ่งล้ำค่าไม่มีใครเทียบได้ และมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากเขาเอ่ยถามนางโดยตรง นางอาจจะไม่บอกความจริงก็ย่อมได้
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีฝึกจิตนี้ยังเกี่ยวข้องกับความลับของตระกูล เขาจึงไม่้าให้มันรั่วไหลออกไปมากนัก
มู่เทียนอินมองการยอมรับอย่างเปิดเผยของเขา
ไม่ทราบว่าเหตุใดใจถึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
ด้วยเคล็ดวิชานี้ บุรุษตัวเหม็นผู้นี้ถึงได้ทำตัวหยาบคาย ล่วงเกินเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะพูดว่าจะรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับนาง ทว่าก็เป็เพราะนางได้ฝึกฝนวิชานี้ไปแล้ว
“การแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งอย่างง่ายดาย เพียงเพื่อเคล็ดวิชา ท่านคิดว่าเื่สำคัญอย่างการแต่งงานจะทำได้ง่ายดายขนาดนั้นหรือ?”
มู่เทียนอินยิ้มออกมา รอยยิ้มมีเสน่ห์และสดใส
“ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ขณะมองปากเล็กของนางพูดไม่หยุด ทั้งคำพูดยังเต็มไปด้วยความประชดประชัน
ซู่หลิงจึงหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้น
“เปิ่นจุนจะยอมสละการแต่งงานอันสำคัญของตนเองเพียงเพื่อเคล็ดวิชานั้นได้อย่างไร? ที่จุมพิตเ้าก็เพราะเ้ามีกลิ่นกายที่น่าพิสมัย และนิสัยที่เข้ากันได้ต่างหาก”
“แต่งงานกับเ้า เพราะชื่อเสียงของสตรีเป็เื่ใหญ่ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เปิ่นจุนก็ต้องรับผิดชอบ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เทียนอินก็ตกตะลึงไปอีกครั้ง ใบหน้าเล็กก็ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม
กลิ่นกายที่น่าพิสมัยและนิสัยเข้ากันกับเขาได้หมายความว่าอย่างไร?
เขา เขา เขา... กำลังสารภาพรักกับนางอยู่งั้นหรือ?
เพียงเพราะชื่อเสียงของสตรีผู้หนึ่ง เขาจึงต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานด้วย? คนผู้นี้มีความคิดโบราณถึงเพียงนี้เลยหรือ?
“ซู่หลิง ท่าน…”
หากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากผู้อื่น เกรงว่าอาจฟังดูเหมือนหลอกลวง
ทว่า เมื่อมองผู้ที่ดูเ็าและสง่างามขมวดคิ้วขึ้นมา พร้อมกับท่าทางหยิ่งผยองเช่นนี้
มู่เทียนอินไม่เข้าใจว่าผู้หยิ่งผยองถึงเพียงนี้ น่าจะไม่จำเป็และไม่น่าจะโกหกใช่หรือไม่?
"ฝ่าา!"
ในเวลานี้ เทียนเฟิงก็เดินเข้ามาจากภายนอก
และบังเอิญเห็นฉากที่มู่เทียนอินและเ้านายของตนดูสนิทสนมกันเกินควร
เขา... เขาเห็นอะไรน่ะ?
ฝ่าากำลังกอดกับมู่เทียนอินจริงๆ ! กอดสตรี!
ั้แ่อดีตจนถึงยามนี้ นายน้อยของเขามีนิสัยเ็าและเฉยเมยมาโดยตลอด มีความหยิ่งผยองที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้
ไม่ต้องพูดถึงสตรีที่ดูอ่อนแอเลย แม้แต่ผู้เฒ่าตระกูลซู่ก็ยังมีความรู้สึกเกรงขามต่อเขาอย่างบอกไม่ถูก
มู่เทียนอินผู้นี้คือใครกันแน่?
เมื่อไม่นานมานี้ ฝ่าาแทบไม่มีอารมณ์แปรปรวนเลย ยามนี้กลับกอดนางด้วยร่างกายเปลือยเปล่า
เป็ไปได้หรือไม่ที่ฝ่าาได้ตรัสบอกเื่เืสัตว์ร้ายไปแล้ว?
เทียนเฟิงคุกเข่าลงด้วยความสับสน ศีรษะก้มต่ำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้