จั่วชิงมองสองคนตีกัน พลางกลอกตาอย่างครุ่นคิด ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายเจ็ดกับคุณชายผูหยางเบื้องหน้าดูเหมือนไม่น่าพอใจ และแท้จริงแล้วมิตรภาพกลับไม่ตื้นเขิน
ท่าทีของเขานอบน้อมถ่อมตนอย่างเห็นได้ชัด
"อินจิ่ว เ้าพาคนสองคนกลับเมืองหลวงไปพร้อมกับข้า ฟางขุย เ้ารั้งอยู่ที่นี่"
เหลียนเซวียนคร้านจะสนใจใบหน้างอง้ำของผูหยางชิงหลัน เริ่มเตรียมการเข้าเมืองหลวง
"องค์ชาย ให้ข้าน้อยติดตามพระองค์กลับเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ" ฟางขุยมองไปทางจั่วชิง หัวหน้าเหลยยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมา เห็นได้ชัดว่าคนสนิทข้างกายขององค์ชายไม่เพียงพอ
"ไม่ต้อง รอเหลยลี่กลับมา ค่อยให้เขาตามไป ส่วนเ้าอยู่นี่"
ฟางขุยค่อนข้างคุ้นเคยกับสองพี่น้อง ให้เขาอยู่กับพวกเสี่ยวหรั่นวางใจได้มากกว่า เหลียนเซวียนยกมือขึ้นโบกไม่ให้เขาพูดมาก
ฟางขุยรับคำทันที ก่อนถอยออกไป
"ศิษย์พี่ ข้าจะเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ทางนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว"
เหลียนเซวียนเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ก็หันมามองผูหยางชิงหลัน
"จะไปไหนก็ไปเถอะ" ผูหยางชิงหลันโบกมืออย่างหงุดหงิด
เหลียนเซวียนจูงท่าเสวี่ยก่อนพลิกกายขึ้นหลังของมันอย่างคล่องแคล่ว
"จั่วชิง ไปเถอะ"
เขาปรายตาเ็าไปหาจั่วชิง
จั่วชิงขาสั่น รีบผลักรอยยิ้มออกมา "พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเจ็ด"
มุมปากกลับแฝงแววฝาดเฝื่อน ฝ่าาทรงมีพระบัญชาให้องค์ชายเจ็ดเร่งเข้าเมืองหลวง แต่ไม่ได้รับสั่งให้เขาติดตามเดินทาง
พวกเขาออกเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่ก็ใช้เวลาหลายวัน สะโพกสองข้างของเขาถูกบดจวนเจียนจะแหลกอยู่แล้ว
เดินทางกลับครานี้เวลายังกระชั้นชิด จั่วชิงสามารถจินตนาการได้เลยว่าหลังจากกลับไปถึงเมืองหลวงสภาพของตนเองจะทรุดโทรมแค่ไหน
แต่องค์ชายเจ็ดทรงเอ่ยปาก เขาไหนเลยจะกล้าไม่ทำตาม จั่วชิงรับม้าจากที่บริวารจูงมาให้ แข็งใจปีนขึ้นไป
แน่นอนว่าเหลียนเซวียนไม่ยอมให้เขาติดตามขบวนรถ หย่งเจียมาหาเขาเป็การส่วนตัว ถ้าให้เสด็จพ่อรู้เข้า คงระคายเคืองพระทัยไม่น้อย
แต่ขันทีตำหนักหน้าเหล่านี้ หลังออกจากเมืองหลวง แต่ละคนล้วนวางตนเป็ศูนย์กลาง เื่ประจบเอาหน้าล้วนมีไว้เพื่อฝ่าาผู้เป็นายของพวกเขาเท่านั้น
หากไม่เก็บไว้ข้างกาย หรือจะปล่อยให้เป็ภัยต่อผู้อื่น
เหลียนเซวียนหันกลับมามอง แสงตะวันเจิดจ้าชวนให้แสบเคืองตาอยู่บ้าง เขาหลุบตากึ่งหนึ่ง ข้างรถม้าที่อยู่ไม่ไกลนักมีเงาร่างบอบบางที่คุ้นเคยยืนอยู่ นางคิดจะมาส่ง แต่ถูกฟางขุยเกลี้ยกล่อมไว้ว่าอย่ามา
ดวงตาสีดำสุกสกาวหรี่ตามองมาทางเขา นี่คือความเคยชินของนาง ยามมองไกลๆ อาจเป็เพราะเห็นไม่ชัด จึงมักชอบหรี่ตาเล็กน้อย
มุมปากของเหลียนเซวียนผุดรอยยิ้มสายหนึ่ง ยกมือโบกเล็กน้อยนับเป็การบอกลา
ก่อนหมุนตัวไปเก็บรอยยิ้ม สองตาแปรเปลี่ยนเป็คมกริบดุจพญาเหยี่ยว "ไปได้"
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ อาชาเ่าั้ก็หายไปไม่เห็นฝุ่น
องครักษ์ฟาง เหตุใดเขาถึงพาบริวารไปแค่ไม่กี่คนเองเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นมองเงาร่างของเหลียนเซวียนที่ไปไกลแล้ว หัวใจรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก
"รอหัวหน้าเหลยหลับมา ก็จะตามนายท่านไปสมทบกับนายท่านเองขอรับ" ฟางขุยตอบกลับ
"เขาไม่กลัวถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นวิตกอยู่บ้าง
"ฝ่าาทรงมีพระบัญชา ทั้งมีจั่วชิงติดตาม คนร้ายย่อมไม่กล้าเสี่ยงลงมือ คุณหนูเซวียมิต้องกังวล นายท่านรับมือได้ขอรับ"
หากมิใช่เพราะกำลังภายในยังไม่ฟื้นฟูเป็ปรกติหลังถอนพิษ แม้กระทั่งพวกอินจิ่วพระองค์ก็อาจคร้านจะพาไป
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้า เหลียนเซวียนเก่งกล้าสามารถ เธอรู้ ไม่มีใครเป็ตัวถ่วงข้างกาย เขาย่อมจะไปไหนมาไหนได้อย่างเป็อิสระ
ผูหยางชิงหลันเดินมาหาพวกเขา "เสี่ยวหรั่น พวกเราไปของพวกเรา เ้าไม่ต้องเป็ห่วงเขา เขาน่ะ เก่งกาจสามารถ กลับไปคงมีแต่เขาที่จะไประรานผู้อื่น"
เซวียเสี่ยวหรั่นขบขันถ้อยคำของเขา
ขณะทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ท่านหญิงหย่งเจียสวมหมวกม่านเดินเข้ามาหาพวกเขา
ผูหยางชิงหลันซึ่งเดิมทียังคุยเล่นอย่างผ่อนคลาย พลันมีสีหน้าผิดปรกติทันควัน
"ป๋ออวิ๋น เสด็จลุงทราบข่าวพี่เจ็ดมาจากไหน?" ท่านหญิงหย่งเจียถอดหมวกม่านออกเผยให้เห็นดวงหน้าขาวผุดผ่อง
"ไม่รู้สิ จั่วชิงไม่ได้บอก" ผูหยางชิงหลันปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลง
"ดูจากเวลาแล้ว ข้าออกจากเมืองหลวงไม่นาน จั่วชิงก็รับพระบัญชามา จะต้องมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เป็แน่ เสด็จลุงถึงส่งจั่วชิงมา"
คิ้วสวยของท่านหญิงหย่งเจียมุ่นเข้าหากัน
"อื้อ หลังกลับเมืองหลวง เ้าก็ไปถามเสี่ยวชีแล้วกัน เขาต้องตรวจสอบได้แน่ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ เสียเวลามามากแล้ว"
ผูหยางชิงหลันหมุนตัวไป แสร้งทำเป็ยุ่งกับการชี้นิ้วสั่งคนให้เตรียมออกเดินทาง
สีหน้าของท่านหญิงหย่งเจียหม่นจางลง นางได้คุยกับเขาแค่สองประโยค เขาก็เริ่มรำคาญเสียแล้ว
เมื่อครู่ยามสนทนากับเซวียเสี่ยวหรั่น ไม่เห็นจะแสดงท่าทางเช่นนี้
ท่านหญิงหย่งเจียหันไปยิ้มกับเซวียเสี่ยวหรั่น ก่อนจะหมุนตัวจากไป
พอเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เซวียเสี่ยวหรั่นก็รู้สึกไม่สบายใจ
นางมองไปที่ผูหยางชิงหลัน เมื่อครู่ยังลอบมองอยู่แท้ๆ มาบัดนี้เริ่มแกล้งทำเป็ไม่สนใจอีกแล้ว
สองคนนี้แท้จริงมีเื่อะไรกันแน่
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ที่ไม่ได้สอบถามเบื้องลึกระหว่างพวกเขาสองคนก่อนหน้าที่เหลียนเซวียนจะจากไป
ขบวนรถเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง อูหลันฮวากลับไปนั่งในรถ
"คุณหนู หงกูบอกว่าคนที่มาเมื่อครู่เป็ข้าราชบริพารจากฝ่ายใน และเป็คนที่ฮ่องเต้ส่งมาเ้าค่ะ"
นางเข้ามาใกล้เซวียเสี่ยวหรั่นพลางกระซิบ
ข้าราชบริพารจากฝ่ายในก็คือขันทีมิใช่หรือ เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจทันที ขันทีมีความสำคัญอย่างมากต่อราชวงศ์
"เหลียน... เอ้อ องค์ชายเจ็ดต้องรีบกลับไปอวยพรวันเกิดให้เสด็จแม่ของเขา"
แน่นอนว่าเื่เหล่านี้หากไม่ใช่เจตนาของเหลียนเซวียน หงกูไม่มีทางเปิดเผยเองตามอำเภอใจ
"หวงกุ้ยเฟยคือเสด็จแม่ของเหลียนเซวียนหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง
เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่ยังอยู่เมืองลู่ิ ได้ยินว่าแคว้นฉีกำลังเตรียมงานฉลองวันคล้ายวันราชสมภพของหวงกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงมีการกวดขันตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด
หวงกุ้ยเฟยทรงเป็โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของซีฉีขณะนั้น ได้ยินว่าได้รับความโปรดปรานสูงสุดเหนือผู้ใดในหกตำหนัก และได้รับพระเมตตาต่อเนื่องมาหลายปี นอกจากฮองเฮาแล้ว ก็นับว่านางมีศักดิ์ฐานะสูงสุด
ไม่นึกเลยจริงๆ ว่ามารดาของเหลียนเซวียนก็คือนาง
เซวียเสี่ยวหรั่นเหม่อลอยอยู่นาน
แต่จะว่าไปแล้ว
เหลียนเซวียนดูไม่เต็มใจที่กลับไปอวยพรวันเกิดให้มารดาตนเองสักเท่าไร
แม้จะไม่เข้าใจสายสนกลใน แต่เซวียเสี่ยวหรั่นก็ััได้จากอารมณ์ของเหลียนเซวียนว่ามีบางอย่างผิดปรกติ
อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งชิงดีของพวกเชื้อพระวงศ์ หรือไม่ก็เื่ของผลประโยชน์
แต่เหลียนเซวียนเรียกฝ่าาว่าเสด็จพ่อ แต่กลับเรียกนางว่าหวงกุ้ยเฟย
คำกล่าวนี้ต้องแฝงนัยล้ำลึกเป็แน่
อย่างน้อยเซวียเสี่ยวหรั่นก็มองออก เหลียนเซวียนหาได้มีความผูกพันกับมารดาผู้นี้มากนัก
หรือว่าไม่ใช่บุตรในอุทร? เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาอย่างใช้ความคิด
มานึกๆ ดูก็รู้สึกว่าเป็ไปไม่ได้ มิเช่นนั้นคงถูกพบนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้ล่วงเลยมาถึงบัดนี้
เช่นนั้นเื่ราวเป็อย่างไรกันแน่
ความอยากรู้อยากเห็นของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันลุกโชนดุจเปลวเพลิง
