“เ้าไม่ต้องคิดมาก ภพผนึกปราณของข้าครอบคลุมไปพันเมตร เ้าหนีออกไปไม่ได้อยู่แล้ว” เยี่ยนปู้หุยเอ่ยเสียงเบา
“พันเมตรเชียวหรือ?” เ่ิูหัวเราะ เขาพยักหน้าอย่างโจ่งแจ้ง แล้วก็ไม่มองไปทั่วอีกต่อไป สองมือกอดอกยามมองคู่สนทนา “เอาล่ะ เห็นทีข้าคงหนีไม่พ้นแล้ว...บอกความจริงมาเถอะ เอาข้าไว้ที่นี่ทำไมกัน? หรือว่าเป็เพราะข้าวรยุทธ์ระบือภพ เหมือนดวงิญญาเตร่ไปเตร่มาในป่าช้า ซ่อนยังไงก็ซ่อนไม่ได้ใช่ไหม? เ้าถึงได้มองปราดเดียวรู้...”
ดวงิญญาในป่าช้า?
การเปรียบเปรยบ้าอะไรกันนี่?
“หนุ่มน้อย จริงจังหน่อย หาไม่แล้วหากเ้าพูดกับข้าด้วยถ้อยคำเช่นนี้อีก ข้าจะฆ่าเ้าเสีย”
เยี่ยนปู้หุยเยียบเย็นขึ้นมา
บัดนี้เมฆารอบด้านราวถูกแช่แข็ง ความเหน็บหนาวะเืถึงกระดูกอบอวลในอากาศ
เขาโกรธของจริงแล้ว
เพราะมองออกว่าเื้ัท่าทางหัวเราะฮี่ๆ ฮ่าๆ อะไรนั่นคือดวงใจที่ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความหวาดกลัว
ผ่าน่ชีวิตมานานสิบกว่าปี เยี่ยนปู้หุยเห็นคนที่ผยองว่าตัวเองกล้าหาญมาแต่ไหนมามากแล้ว แต่คนพวกนั้นส่วนมากก็แค่จองหองกับเขาเท่านั้น ข้างนอกเข้มแข็งข้างในอ่อนปวกเปียก เห็นทีไรเป็ต้องขยะแขยงและอยากหัวเราะ ทว่าเ่ิูผู้นี้ไม่กลัวโดยแท้ ไม่เพียงไม่กลัว ยังมีความดูเบาและไม่แยแสอย่างเปิดเผยอยู่อีกด้วย
“ได้สิ จะดุทำไมกันเล่า” เ่ิูยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วว่า “จริงจังก็จริงจังสิ เ้าเจาะจงให้ข้าอยู่ต่อเพื่ออะไรกันแน่?”
เยี่ยนปู้หุยสูดลมหายใจลึก
เขาพยายามควบคุมจิตสังหารของตัวเอง
กระทั่งตัวเขายังไม่อาจล่วงรู้ ว่าเพราะเหตุใดตอนอยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยคนนี้ถึงควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้จนเคลื่อนไหวขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ข่มใจคิดเข่นฆ่าของตนลงไปได้ เขาเขม็งมองเ่ิู แล้วเอื้อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ติดตามข้า แล้วข้าจะไม่ฆ่าเ้า”
เ่ิูส่งเสียงฮึ เขาเอ่ย “พูดมาตั้งนานนม ที่จริงก็แค่อยากให้ข้ายอมจำนนนี่เอง”
เยี่ยนปู้หุยไม่พูด
เขารอคำตอบของเ่ิู
“เฮ้ย ถามตามตรงนะ เป็มนุษย์หัวเดียวกระเทียมลีบในเผ่าปีศาจนี่ทั้งโดดเดี่ยวทั้งเหงามากใช่ไหม ถึงอยากหาคนติดตามเ้าน่ะ?” เ่ิูเผยแววนินทา เขาเสริมอย่างหน้าชื่นตาบาน “แต่ข้าเป็ผู้ชายนะ ทำไมเ้าไม่หาผู้หญิงสักคนติดตามเ้าแทนล่ะ?”
จิตสังหารเฉียบขาดได้แลบแล่นและหายไปจากั์ตาเยี่ยนปู้หุย
ทว่าเขากลับหัวเราะร่าขึ้นมา
“ขาดอีกหน่อยเดียวก็จะถูกเ้ายั่วโมโหสำเร็จเสียแล้ว” เขาสำรวจเ่ิูอย่างจริงจัง จึงถามว่า “ข้าล่ะสงสัยเสียจริง ว่าเ้ามีลูกไม้อะไรจะหนีจากเงื้อมมือข้า?”
เ่ิูยิ้มค้าง
“เอ๊ะ? โดนเ้าจับไต๋ได้เสียแล้วหรือนี่?”
ทั้งสองสนทนากันต่อไป
...
...
เรือเหาะอักขระแล่นผ่านห้วงเวหา
พริบตาเดียวเขตภายใต้การปกครองของกองทัพโยวเยี่ยนก็โผล่อยู่ไกลลิบ
“ใต้เท้า พวกเราจะปล่อยทูตตรวจการณ์เย่ไปเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ?” หลิวจงหยวนถามอย่างะเืใจ
เขาหันหลังมองทิศทางที่จากมา ราวกับว่ากำลังรอคอยปาฏิหาริย์ รอว่าบุรุษรุ่นคนนั้นจักตามมา ทว่าจะครั้งใดๆ ก็ล้วนแล้วแต่ผิดหวังอยู่ร่ำไป
ท่านชายหลิวตอบอย่างเรียบสงบ “ไม่เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไรเล่า?”
“แต่ว่า...แต่ว่า...” หลิวจงหยวนเหมือนอยากพูดหลายๆ อย่าง แต่กลับพูดไม่ออก
เพราะเขาเข้าใจดีว่าเงื่อนไขที่ว่านั่น นอกจากทิ้งเ่ิูไว้เื้ัแล้วก็สิ้นไร้ทางเลือกอื่น หากไม่ทำตามความปรารถนาของเยี่ยนปู้หุย น่ากลัวว่าเ่ิูก็จะไม่ได้กลับมา คนทั้งลำเรือเองก็ต้องตายสถานเดียว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ แผนที่อันล้ำค่านั้นจะสาบสูญ ที่เรียกว่าชั่งน้ำหนักอะไรหนักเบานั้น การปล่อยเ่ิูไปก็เหมือนจะเป็ทางเลือกที่สมเหตุสมผลและชาญฉลาดที่สุดแล้ว
“เ่ิูจะไม่ตายอย่างแน่นอน” ซิ่งเอ๋อร์ที่เงียบมาตลอดทางเปิดปากพูด
“หา?” หลิวจงหยวนอึ้ง เขาโต้อย่างประหลาดใจ “หรือว่าซิ่งเอ๋อร์คิดว่าเขาจะยอมจำนน ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่คนประเภทนั้นเถอะ”
ซิ่งเอ๋อร์ส่ายหน้ากลั้วหัวเราะ “แม่ทัพหลิวอย่าสับสนเพราะคนๆ นั้นเข้าเสียล่ะ ข้าเห็นว่าที่เขาพูดน้ำท่วมทุ่งตอนท้ายนั่น แม้จะดูเหมือนบ้า แต่ความจริงแล้วเป้าหมายเขาง่ายดายมาก คือไม่้าให้พวกเราเสียเวลา ให้รีบไปจากที่นั่น ข้าคิดว่าทูตตรวจการณ์เย่คงใช้วิธีการแบบพิเศษของเขาบอกเป็นัยแก่พวกเรา ว่าไม่ต้องห่วงเขา เขามีวิธีรับมือเยี่ยนปู้หุย...”
“เป็ไปได้อย่างไรกัน?” หลิวจงหยวนร้องออกมา
ต่อให้เขาเค้นสมองตัวเองคิด ก็ยังคิดไม่ออก ว่าการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดเยี่ยงเยี่ยนปู้หุย เ่ิูที่อยู่แค่อาณาน้ำพุิญญาเท่านั้นจะมีวิธีอะไรไปรับมือได้
ท่านชายหลิวเผยยิ้มบนใบหน้า “ยอดคนนั้น ไม่จำเป็ต้องใช้ตรรกะมากมายไปวัดหรอก ข้าในตอนนั้นอ่านเยี่ยนปู้หุยไม่ออก ตอนนี้ก็อ่านเ่ิูไม่ออก บางทีเขาอาจมีวิธีรับมือจริง ความจริงแล้วเ้าลองคิดดูสิ เื่ที่เด็กคนนั้นทำไม่ได้น่ะมีน้อยแค่ไหน? ข้าคิดว่าซิ่งเอ๋อร์พูดถูก ท่าทีและคำพูดของทูตตรวจการณ์เย่ในตอนนั้นบอกพวกเราอย่างชัดเจนว่าให้รีบไปเสีย เขามีวิธีของเขาเอง”
หลิวจงหยวนฟังแล้วก็ส่ายหน้าหัวเราะขื่นๆ
บางทีเพราะใจว้าวุ่น ตอนนั้นเขากังวลเื่เ่ิูอย่างมาก ถึงได้คิดไม่ถึงในข้อนี้
เขาเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง ที่แท้แล้วท่านหลิวออกคำสั่งให้แล่นเรือเหาะอักขระออกมาทันทีในตอนนั้น เป็เพราะท่านมองเห็นจุดนี้นี่เอง
หลิวจงหยวนหันกลับไปมองทางที่ผ่านมาอีกครา
“หวังว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”
เขาภาวนาในใจ
...
...
“เ้าจงใจพูดมากเพื่อยั่วโมโหข้า ความจริงแล้ว เ้าทำเพื่อถ่วงเวลาให้หลิวอวี่หลางกับพวกใช่ไหมเล่า เ้ามั่นใจว่าจะสลัดข้าหลุดอย่างนั้นหรือ? แต่ข้ามองไม่ออกว่าเ้ามีหนทางใดจะหนีออกไปได้ นอกเสียจาก...” เยี่ยนปู้หุยใบหน้าฉงนยาเสริม “นอกเสียแต่บนกายเ้าจะมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ทำลายภพ ทว่าไม่มีทางเป็ไปได้อยู่แล้ว ยังไม่นับที่อักขระศักดิ์สิทธิ์ทำลายภพนั้นสูงค่าเป็อย่างมาก อีกทั้งตัวข้าเองยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันจากกายเ้าเลย”
“ที่แท้นามของท่านชายหลิวคือหลิวอวี่หลางนี่เอง แอบคล้ายผู้หญิงอยู่นะ...แต่เ้าพูดถูกแล้ว” เ่ิูยิ้ม “ข้าไม่มีอักขระศักดิ์สิทธิ์ทำลายภพหรอก”
เยี่ยนปู้หุยพยักหน้า “เช่นนั้นเ้า...”
เ่ิูหัวเราะเริงร่า “แต่เ้าก็พูดผิดไปหน่อยหนึ่งนะ มิใช่แค่ต้องมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ทำลายภพเท่านั้นถึงจะทำลายภพผนึกของเ้าได้...เ้าเคยได้ยินของจำพวกล่องหนบ้างไหม?”
“ล่องหน? มันคืออะไร?” เยี่ยนปู้หุยชะงัก
เ่ิูเหยียดยิ้ม
เขายิ้มยินดีเป็อย่างมาก
จากนั้นร่างกายก็เอนไปด้านหลังน้อยๆ เขาโบกมือไหวๆ อย่างผ่าเผย
ฟิ้ว!
รัศมีสีเงินอ่อนวาบขึ้นบนร่างกายเขา
พริบตาต่อมา เ่ิูก็หายไปแล้ว
“อะไร?” เยี่ยนปู้หุยตกตะลึง
พริบตานั้นบุรุษรูปงามไม่รับรู้ถึงคลื่นพลังปราณเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกถึงแรงแห่งอักขระเลยเช่นเดียวกัน ลำพังพลังของเขา การอ่านทางและสายตาแหลมคม กลับมองไม่ออกว่าเ่ิูใช้วิธีไหนถึงหายไปต่อหน้าต่อตาได้ หนำซ้ำเขายังยืนยันได้ว่านี่มิใช่วิชาลับแอบซ่อนแต่อย่างใด เพราะในภพปิดผนึกของเขานั้นต่อให้ฝุ่นผงตั้งขึ้นเขายังรู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเ่ิูเลย
หลังจากความตกตะลึงครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป เยี่ยนปู้หุยก็คลี่ยิ้มออกมา
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงแท้ ไม่นึกเลยว่าด่านโยวเยี่ยนจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย”
เขาหัวเราะ มิได้ตามล่าไปแต่อย่างใด
เหตุหนึ่งก็เพราะาเ็คราวนี้หนักหนาของจริง อีกทั้งที่ตั้งภพปิดผนึกนี้ขึ้นมาก็เพื่อหลบซ่อนการตามล่าของยอดฝีมือเผ่ามนุษย์และลู่เฉาเกอ อีกประการหนึ่งก็เพราะว่า เยี่ยนปู้หุยคิดว่าหากตัวเขาตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป น่ากลัวว่าจะข่มจิตสังหารไม่ได้ เยี่ยนปู้หุยรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเองในวัยเยาว์ซ้อนทับกับร่างเ่ิู
เด็กหนุ่มที่น่าสนใจถึงเพียงนี้หาได้ยากแล้ว ฆ่าในดาบเดียวจะไม่น่าเสียดายแย่หรอกหรือ?
เยี่ยนปู้หุยนอนเหยียดกายบนปุยเมฆอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน
“ไม้งามในผืนป่า สายลมต้องเอนไหว เ่ิูใช่ไหม? ข้ากลับอยากลองดูเสียอีก ว่าเ้าจะยืนหยัดอยู่ในด่านโยวเยี่ยนได้นานแค่ไหน พวกสุภาพบุรุษจอมปลอมหน้าซื่อใจคดพวกนั้น เห็นอัจฉริยะอิทธิฤทธิ์มากพอจะคุกคามตัวเองแล้วไยจะไม่ลงมือจัดการ เื่ที่เกิดขึ้นกับข้าตอนนั้น เ้าคงได้รับมันในไม่ช้า พอถึงเวลานั้น ข้าก็อยากรู้นักว่าเ้าจะยืนอยู่ข้างพวกมันอย่างเข้มแข็งเยี่ยงที่เป็อยู่ได้อีกหรือเปล่า ฮึๆ ฮึๆๆๆ”
เขาปิดเปลือกตาลง
สิบปีรู้สึกคราเดียว
วิชาฝึกของเยี่ยนปู้หุยนั้นนามว่าคัมภีร์จิตหลับฝัน
...
หากเ่ิูรู้ว่าพอตนหนีแล้วเยี่ยนปู้หุยจะไม่มีแก่ใจจะตามฆ่า เขาย่อมด่าไฟแลบเป็แน่
เพราะตอนที่กระตุ้นอักขระล่องหนในท่วงทำนองยุคเทพมารนั้น คิดไปจนถึงที่ที่จะหลบหนีจากเขา มีสิทธิ์มากที่เยี่ยนปู้หุยจะไล่ตามมาั้แ่ครั้งแรก และการกระตุ้นอักขระล่องหนครั้งที่สองนั้นจะยิ่งเหน็บหนาวนานขึ้น เหลือเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ดังนั้นทิศทางที่เขาไปจึงมิใช่ด่านโยวเยี่ยนแต่เป็หักไปทางทิศเหนือ
ล่องหนร่อนลงบนรังัหิมะ
รังัหิมะมีทัศนวิสัยกว้างไกล ลักษณะทางกายภาพก็แกร่งนัก เป็เขาวงกตบนพื้นแสนคดเคี้ยวรอบทิศทาง เต็มไปด้วยภยันตราย เยี่ยนปู้หุยได้รับาเ็มา มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่ตามลงมา
แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือเ่ิูผู้มีปัญญาแต่กำเนิดคิดอย่างแม่นมั่นว่า เยี่ยนปู้หุยต้องนึกไม่ถึงเป็แน่ว่าเขาจะเลือกหลบซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้
ฟิ้ว!
การล่องหนสิ้นสุดลง
เ่ิูปรากฏกายที่โพรงน้ำแข็งแห่งหนึ่ง
“เข้ามาถึงรังัหิมะตามคาด”
เขาทำใจให้มั่นคงไว้แล้วมองสำรวจรอบด้านอย่างถี่ถ้วน แค่นั้นก็รู้สึกถึงกลิ่นอายปีศาจเข้มข้นอบอวลอยู่ภายในโพรงน้ำแข็งแห่งนี้
“น่าจะเป็ไอปีศาจของัหิมะ โพรงน้ำแข็งนี้เหมือนอุโมงค์เหมืองไม่มีผิด น่าจะเป็ร่องรอยเส้นทางเลื้อยผ่านของัหิมะ” เ่ิูสังเกตสภาพแวดล้อมรอบด้าน
ที่นี่ไม่ต่างกับโพรงน้ำแข็งใต้ภูร้อยพังสักเท่าใด เพียงแต่โพรงน้ำแข็งที่นี่ลดเลี้ยวคดเคี้ยวเสียยิ่งกว่า ราวกับเขาวงกตน้ำเพชร ให้ความรู้สึกเหมือนเข้ามาในรังมดขนาดั์ ยังดีที่ไม่บังเอิญเจอกับัหิมะจำศีลอยู่ในถ้ำ ไม่เช่นนั้นแล้วสถานการณ์คงเลวร้ายหนักกว่าเดิม เ่ิูเดาเอาว่า ที่นี่น่าจะเป็เขตรอบนอกของรังั ดังนั้นจึงไม่เห็นันอนจำศีล
แต่ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ก็ย่อมมีหวังมากกว่าตกอยู่ในเงื้อมมือเยี่ยนปู้หุยเป็แน่
“ต่อจากนี้ข้าต้องคิดหาวิธีหาทิศทางฝั่งตรงข้าม ใช้อุโมงค์ต่ำที่สุดที่ัหิมะทิ้งไว้เดินไปถึงเขตชายแดนใต้ของทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะ ช่องทางใต้ดินในรังัหิมะนี้ย่อมต้องมหึมาและซับซ้อนกว่า้านัก...เวรเอ๊ย พ่อโดนไล่ต้อนถึงทางตันแล้วสิเนี่ย หวังว่าพวกัหิมะที่อยู่ใต้นี้จะยังนอนเชื่องๆ กันอยู่นะ อย่าออกมาวิ่งพล่านเสียล่ะ ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้นเอง...”
เ่ิูภาวนาในใจ