ทุกวันตอนเที่ยง สิ่งที่เด็กชายทั้งสามคนรอคอยที่สุดคือเมื่อไรพี่เซี่ยโม่จะมาส่งข้าวสักที
แรกเริ่มเซี่ยโม่นำอาหารกลางวันมาสามกล่อง ตอนนี้มีโฉ่วหวาเพิ่มเข้ามา จำนวนข้าวที่ต้องเตรียมจึงกลายเป็สี่กล่อง
โฉ่วหวาเป็เด็กรู้ความ ก่อนนี้เคยบอกกับเธอว่า “พี่โม่โม่ครับ พี่ไม่ต้องเอาข้าวมาให้ผมเยอะหรอก แบ่งให้ผมนิดเดียวก็พอครับ ขอแค่ไม่หิวแค่นี้ผมก็มีสมาธิตั้งใจฟังคุณครูสอนแล้ว”
ได้ฟังแล้วก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน ทำไมเด็กชายถึงได้มักน้อยแบบนี้
หากวันนั้นโฉ่วหวาไม่ทะเลาะกับน้องชายของเธอและสือโถวน้อย พวกเธอก็คงจะไม่ได้รู้จักกัน และคงไม่มีเหตุให้ต้องสนใจเด็กคนนี้ แม้เด็กชายจะขอเพียงแค่เศษอาหารไว้รองท้อง แต่เธอคงฟังคำขอนั้นไม่ได้ เพราะทราบดีว่าเวลาเผชิญกับความหิวโหยนั้นทรมานเช่นไร
ตอนมารดาของเธอยังมีชีวิตอยู่ เวลาไปเรียนก็มักจะเตรียมของกินให้เธอนำติดตัวไปด้วยมากมาย แต่พอมารดาล่วงลับและแม่เลี้ยงแต่งเข้ามาในบ้านแทนที่ เซี่ยโม่ก็กลายร่างเป็ลูกข่างต้องทำงานทุกวันและทั้งวัน
แม่เลี้ยงมักจะพูดกับเธอบ่อยๆ ว่า “โม่โม่ พี่สาวเราเขาไม่ค่อยได้กินอะไร ยกอาหารให้เขาเถอะนะ”
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาขอร้องของแม่ดอกบัวขาว และสายตาที่เหมือนจะบอกว่าให้ทำตามของผู้เป็บิดา เธอจึงต้องยอมสละให้ตามที่พวกเขา้า
ด้วยเหตุนี้เธอจึงมักจะหิวจนนอนไม่หลับ และต้องตื่นขึ้นมาดื่มน้ำเพื่อทุเลาความหิวตอนกลางดึกอยู่เสมอ
เวลาไปเรียนเธอเห็นเซี่ยอวิ๋นมักจะซื้อแต่ของดีๆ ในโรงอาหารของโรงเรียนกิน ในขณะที่เธอได้กินแค่ขนมปังหนึ่งก้อนกับผักดองที่เอามาจากบ้าน
บิดาชอบพูดใส่หน้าเธอว่า “เซี่ยอวิ๋นร่างกายอ่อนแอ ยิ่งไม่มีพ่อก็ยิ่งน่าสงสาร เวลาอยู่ที่โรงเรียนหรืออยู่ที่บ้าน แกก็อย่าไปเปรียบเทียบหรืออะไรกับพี่สาวแกเลย”
ในตอนนั้นเธอทำได้แค่ตอบกลับอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “หนูไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ…”
“ไม่ทำก็ดีแล้ว”
นึกย้อนดูแล้วช่างน่าขำเหลือเกิน ตอนนั้นเธอโง่งมมากที่เชื่อฟังแม่ดอกบัวขาวกับบิดา ไหนจะต้องทำงานหนักและประหยัดทุกอย่าง ในขณะที่คนพวกนั้นใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
เที่ยงวันนี้เซี่ยโม่นำอาหารมาให้เด็กชายทั้งสามคนเหมือนเคย ก่อนที่พวกเธอทั้งสี่คนจะนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน
เด็กชายทั้งสามคนรับกล่องข้าวไปก่อนจะเปิดออก
ทันใดนั้นเองสือโถวน้อยเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงตกตะลึง “พี่โม่โม่ ในกล่องข้าวผมมีหมูน้ำแดงตั้งหลายชิ้น”
“ของผมก็มี” เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น
ผิดกับโฉ่วหวาที่ร้องไห้น้ำตาไหลพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “พี่โม่โม่ ผมเพิ่งเคยกินเนื้อ อร่อยจังเลยครับ ถ้าพวกเราทำให้พี่จนจะทำยังไงดี”
ในโกดังสินค้าของเธอมีของเยอะแยะมากมาย อย่าว่าแต่เด็กสามคนนี้เลย ต่อให้ต้องทำเลี้ยงเด็กอีกสิบคน เธอก็ไม่มีทางจนลงอย่างแน่นอน
ถึงอย่างนั้นก็แค่คิดกับตัวเองในใจและจะไม่หาเื่ใส่ตัวแบบนั้นแน่ เพราะเธอไม่้าเป็จุดสนใจของผู้คน ภาพลักษณ์เธอตอนนี้คือเด็กสาวยากจนที่ต้องพึ่งคุณตาคุณยาย
คิดได้ดังนั้นเซี่ยโม่จึงกำชับกับเด็กชายทั้งสามคน “พวกเราอย่าเอาไปบอกใครนะ เพื่อนคนอื่นจะได้ไม่อยากกินบ้าง ไม่งั้นอาจมีปัญหาตามมาได้”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยพยักหน้า นึกไปถึงเพื่อนบ้านข้างเคียงที่จ้องจะจับผิดบ้านตัวเองอยู่ทุกวี่วัน
อาจเป็เพราะกลิ่นอาหารมันหอมยั่วน้ำลาย เด็กๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นจึงหันมามองทางนี้บ่อยครั้ง
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยรับรู้ได้ถึงสายตาของเด็กคนอื่นที่มองมาเป็คนแรก ก่อนจะเอ่ยว่า “พี่ครับ พวกนั้นต้องได้กลิ่นหอมของอาหารแน่ๆ เลย”
“งั้นจะทำยังไงดี” สือโถวน้อยถามอย่างร้อนใจ
โฉ่วหวาทำหน้าเหี้ยมเกรียม “กลัวอะไร หากใครเข้ามาฉันก็จะเล่นงานให้หมด เอาให้หาทางกลับบ้านไม่ถูกเลย”
“พี่โฉ่วหวาจะต่อยคนอื่นไม่ได้นะ การต่อยคนอื่นไม่ช่วยแก้ปัญหา พวกเรารีบกินให้หมดดีกว่า” เซี่ยเฉินเฟิงรีบปรามทันที
สือโถวน้อยพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ รีบกินเถอะ”
โฉ่วหวารีบทำตาม ตักข้าวเข้าปากเสียคำใหญ่
เซี่ยโม่มองเด็กๆ แล้วคิดในใจ เด็กทั้งสามคนเข้าขากันได้เป็อย่างดี ถึงแม้น้องชายเธอจะอายุน้อยที่สุดแต่กลับเป็เหมือนหัวหน้ากลุ่ม โฉ่วหวาเป็ผู้ช่วย ส่วนสือโถวน้อยมักไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไร เฉินเฟิงว่าอย่างไร เ้าตัวก็ว่าตามนั้น
น้องชายตัวน้อยรีบตักข้าวเข้าปากพร้อมทั้งบอกเธอว่า “พี่ครับ ต่อไปพี่อย่าทำข้าวกล่องที่มีกลิ่นหอมๆ มาให้พวกเราอีกนะครับ”
สือโถวน้อยกับโฉ่วหวาหันไปมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง” เซี่ยเฉินเฟิงขยายความ
พอสือโถวน้อยกับโฉ่วหวาเข้าใจเจตนาของเซี่ยเฉินเฟิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ครับ เฉินเฟิงพูดถูก”
เซี่ยโม่ลอบถอนหายใจ เซี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะอายุแค่ห้าขวบเท่านั้นแต่กลับคิดเยอะถึงขนาดนี้ การเลี้ยงดูของแม่ดอกบัวขาวได้หล่อหลอมจนน้องชายของเธอกลายเป็คนเช่นนี้ไป
เธอรู้สึกปวดใจ แต่อีกใจก็นึกชื่นชมและยินดี
ที่ปวดใจเพราะน้องชายต้องกลายเป็คนคิดมากั้แ่อายุยังน้อย
ที่รู้สึกชื่นชมเพราะน้องชายเธอฉลาดเฉลียว ต่อไปในอนาคตไม่ว่าจะเจอกับอันตรายรูปแบบใด ย่อมเผชิญหน้าได้อย่างใจเย็นและแก้ปัญหาได้แน่นอน
ส่วนที่ยินดีเพราะน้องชายของเธอมีเพื่อนที่ดีถึงสองคน
“ได้ ต่อไปพี่จะระวัง”
ั้แ่สือโถวไปโรงเรียน เมื่อกลับถึงบ้านมารดามักจะถามไถ่อย่างเอาใจใส่อยู่เสมอ “สือโถว ตอนเที่ยงพี่โม่โม่เอาอะไรมาให้ลูกกิน”
“มีข้าว กับข้าวอีกอย่างสองอย่าง แล้วก็เนื้อหมู อร่อยมากเลยครับ” สือโถวน้อยตอบด้วยสีหน้าโอ้อวด
คุณอาเหมยฮวาฟังแล้วคิดในใจ เด็กสาวคนนี้ใจกว้างจริงๆ
เย็นวันนี้พอเธอรู้ว่าบุตรชายได้กินหมูน้ำแดงก็ใจเย็นต่อไปอีกไม่ไหว รอจนสามีกลับมาบ้านจึงรีบหารือ “คุณคะ นับวันโม่โม่ยิ่งให้ลูกเรากินแต่ของดีๆ พอถึงฤดูหนาวเราจะทำยังไงดีคะ”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ร้อนใจทำไม เด็กนั่นเป็คนมีความสามารถ ส่วนลูกชายของเราโชคดีที่มีลาภปาก พอถึงฤดูหนาวก็ทำเท่าที่จะทำได้”
เธอเคยได้ยินข่าวลือที่ผู้คนพูดกันในหมู่บ้านมาบ้าง เลยลองหยั่งเชิงถามผู้เป็สามีดู “คุณคะ คุณว่าตอนที่โม่โม่เข้าป่าไปเก็บสมุนไพร แล้วบังเอิญล่าสัตว์มาได้เป็เื่จริงหรือเปล่า”
ผู้ใหญ่บ้านผงกศีรษะพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เด็กนั่นไม่ธรรมดา บอกให้สือโถวดูแลเฉินเฟิงให้ดี ไม่แน่ว่าต่อไปบ้านเราอาจจะสุขสบายยิ่งกว่านี้ก็เป็ได้”
เธอเชื่อในสายตาของผู้เป็สามี หลายปีที่ผ่านมาเป็เพราะสามีเธอมองการณ์ไกลและมีสายตาแหลมคม ถึงได้ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านอย่างมั่นคงจนทุกวันนี้ ชีวิตความเป็อยู่ภายในบ้านของพวกเธอเลยดีกว่าชาวบ้านคนอื่น
“ได้”
เป็อีกครั้งที่เธอเอ่ยกับบุตรชาย “สือโถว ต่อไปเราต้องดูแลเฉินเฟิงให้ดีๆ นะ แล้วก็ต้องเคารพพี่โม่โม่ให้มากๆ พี่เขาอุตส่าห์ขี่จักรยานไปส่งเราที่โรงเรียนทุกวัน รู้ไหมว่ามันไม่ง่ายเลย แถมตอนเที่ยงยังทำกับข้าวมาให้อีก”
“แม่ครับ ผมรู้แล้ว” สือโถวรับปากพร้อมกับตั้งคำถามในใจ แม่เขาเป็โรคย้ำคิดย้ำทำหรืออย่างไร ถึงได้พูดเื่นี้ซ้ำตั้งหลายรอบ
ส่วนคุณอาเหมยฮวา ทุกครั้งที่เจอเซี่ยโม่ก็มักจะยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็มิตรและกระตือรือร้น “โม่โม่ ลำบากเราแย่เลย อาได้ยินสือโถวเล่าให้ฟังแล้วว่าเรามักจะทำอาหารดีๆ อร่อยๆ ไปให้เขากินตลอด”
เซี่ยโม่ฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกเป็กังวล เธอหาวัตถุดิบชั้นดีมาให้เด็กๆ กินได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำได้เช่นเดียวกับเธอ หากคุณอาเหมยฮวารู้สึกกดดันเพราะเื่นี้ขึ้นมาจะทำอย่างไร
คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ “คุณอาเหมยฮวา พอดีหนูมีเพื่อนร่วมห้องที่ญาติมีเส้นสายในโรงงานฆ่าสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ หนูก็เลยขอให้เพื่อนช่วยซื้อพวกเศษเนื้อหมูในราคาไม่แพงมาให้ ซื้อมาแค่นิดเดียวเท่านั้น คุณอาอย่าคิดมากเลยนะคะ”
“ถึงจะเป็อย่างนั้น แต่ยังไงอากับสามีก็ต้องขอบคุณเรามาก พอถึงฤดูหนาว ที่บ้านอาไม่ได้มีวัตถุดิบดีๆ เท่าไร หวังว่าตอนนั้นพวกเธอจะไม่ถือสานะ”
เธอยกยิ้มก่อนจะลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “คุณอาเหมยฮวา หนูไม่ถือสาหรอกค่ะ ที่บ้านมีอะไรก็ทำอันนั้นกิน อีกไม่กี่วันเนื้อที่หนูฝากเพื่อนซื้อมาก็หมดแล้ว หลังจากนี้ก็คงไม่มีอาหารดีๆ ให้กินแล้วค่ะ”
ด้วยเหตุนี้มื้อเที่ยงวันต่อๆ มา เซี่ยโม่เลยไม่กล้าทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกชาวบ้านอีก เตรียมมาแค่อาหารที่ดูดีกว่าของเด็กคนอื่นเล็กน้อย หลังเลิกเรียนเธอมักจะหอบหิ้วเนื้อปลาและไข่ไก่กลับบ้านด้วยเสมอ โดยอ้างว่าซื้อของเ่าั้มาจากในตำบล แล้วนำไปทำอาหารเย็นกินกับคนในครอบครัว