“นี่เ้าปฏิเสธความหวังดีของไอลาไปแล้วจริงๆ เหรอ?”
จ้าวห้าวขมวดคิ้วพลางพูดขึ้นต่อ“ถึงแม้นางจะไม่ใช่พวกสาวงามที่ล้ำเลิศอะไรทำนองนั้นแต่อย่างน้อยนางก็ยังอยู่ในสิบอันดับสาวงามในสำนักเลยนะนึกไม่ถึงว่าเ้าปฏิเสธไปตรงๆ แบบนั้น ถ้าเกิดเป็ข้าละก็...จะต้องนอนด้วยสักคืนก่อนค่อยปฏิเสธ!”
ซ้งเชียนพูดขึ้นบ้าง “แถมรูปร่างของนางยังสุดยอดอีกต่างหาก...”
ข้ายกจอกเหล้าขึ้นแล้วพูด “อย่าพูดมากน่า หมดจอก!”
“ไม่มีปัญหา!”
หลังจากที่เหล้าแรงๆ ได้ไหลลงไปในลำคอข้าก็ถามขึ้น “เ้าโล้นไหนเ้าลองบอกข้าหน่อยสิว่าผู้หญิงในสำนักที่ใช้ความสัมพันธ์ของคนรักเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งของพลังมันจริงหรือเปล่า?”
จ้าวห้าวอึกอัก...
“พูดมา”
จ้าวห้าวลูบหัวโล้นๆ นั่นก่อนจะพูดขึ้น “ก็ได้...ครั้งนี้ได้เ้ามาช่วยกู้หน้าเอาไว้ข้าจะถือว่าเ้าเป็พี่ใหญ่ในเมื่อพี่ใหญ่ถามมาแบบนี้ข้าก็จะตอบไปตามตรง...เอาจริงๆมันก็มีกระแสความนิยมแบบนี้อยู่ในสำนักของเราจริงๆ และมีมานานหลายปีแล้วด้วยเหตุผลเพราะไม่ใช่ศิษย์ทุกคนจะมีเื้ัที่ใหญ่และคนคอยค้ำจุนจึงทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องยอมพลีกายเพื่อแลกกับวรยุทธ์ขั้นที่หนึ่งไปจนถึงขั้นสุดยอดของชายคนรักแต่อยู่ๆ ก็มาหาเ้าถึงที่แบบไอลาก็มีไม่มากนักหรอก”
“แล้วสำนักไม่เข้ามาจัดการเื่แบบนี้เลยหรือไง?”
จ้าวห้าวได้ยินแล้วก็พูดขึ้น“มันเป็การยินยอมของทั้งสองฝ่ายแล้วสำนักจะไปห้ามได้ยังไงไรกันเพราะถือเป็เื่ที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสำนักวันๆ ก็เอาแต่ฝึกฝน เรียน ฝึกหนักและการฝึกฝนด้วยตนเองที่หนักหนาเอาการทั้งนั้น พอไม่มีเวลาไปหาอะไรทำที่ให้ความสุขแก่ตัวเองพวกลูกชายของตระกูลใหญ่ๆ ก็หาสาวสวยๆสักคนเพื่อหาความสุขและแก้เหงาให้ตัวเองก็เป็ไปตามธรรมชาติไม่ใช่หรือไง”
“เอาล่ะเอาเป็ว่าขอให้เื่ของไอลาจบลงเพียงเท่านี้และอย่าให้คนอื่นรู้ล่ะ”
“อืม วางใจได้ ข้าจะรูดซิปปากอย่างดีเลย”
...
่พักเที่ยงข้าออกไปตรวจเงินที่ธนาคารก็พบว่ามีเงินอยู่ในนั้นกว่าร้อยล้านจริงๆถือเป็เงินที่ข้าไม่เคยมีมาก่อนเลยก็ว่าได้!
ในเมื่อมีเงินแล้วก็ต้องเอาไปใช้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะอึดอัดใจแย่และแน่นอนว่าสถานที่ใช้เงินของข้าก็คือร้านหอเจ็ดเทพนั่นเอง
“เ้ามาแล้วเหรอ ปู้อี้เชวียน...”
วันนี้หยางเซี้ยนอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวเผยให้เห็นรูปร่างอันสวยงามและผิวพรรณที่ผุดผ่องของนางยิ่งใส่ชุดแบบนี้แล้วก็ยิ่งทำให้นางสวยขึ้นไปอีก
ที่ร้านหอเจ็ดเทพแห่งนี้ข้าดูอาวุธิญญาที่ชั้นหนึ่งจนเกือบหมดแล้วส่วนชั้นที่สองก็เป็พวกหญ้าิญญาและสมุนไพรที่ไม่แพงเกินไปหรือไม่ก็ถูกจนเกินไปข้าจึงถามหาอย่างอื่นแทน “แม่นางหยางเซี้ยน แล้วชั้นที่สามของร้านขายอะไรล่ะ?”
นางยิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น “นั่นเป็ชั้นสะสมตำราซึ่งแต่ละเล่มจะเป็ตำราและเคล็ดวิชาหายากที่บางเล่มก็สูญหายไปนานหลายปีเ้าอยากจะไปดูอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม พาข้าไปดูหน่อยสิ”
“ได้ เดี๋ยวข้าจะนำไปเอง”
พอขึ้นไปถึงก็ถือเป็ชั้นที่เงียบสงบอย่างบอกไม่ถูกชั้นนี้มีแค่ชายแก่ผมขาวเต็มหัวนั่งอยู่ตรงมุมห้องสายตาของเขายังให้ความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาอีกต่างหากข้าปรายตามองแค่แวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็จอมยุทธ์ที่มีการบำเพ็ญถึงขั้นผู้พิทักษ์ระดับดาวแล้วการที่ร้านหอเจ็ดเทพให้คนที่มีความสามารถและพลังขนาดนี้เฝ้าของที่ชั้นนี้แสดงว่าตำราหลายๆ เล่มล้วนแล้วแต่เป็สิ่งล้ำค่าขนาดไหน
“อะ ตำราเคล็ดวิชาต่างๆ ของที่ร้านจัดไว้ตรงราวนี้ทั้งหมดแล้วโดยจะแบ่งตามขั้นสุดยอด ขั้นหนึ่ง ขั้นสอง ขั้นสามและธรรมดาห้าชั้นเ้าดูได้ตามสบายเลยนะ”
“อืม ได้เลย”
ข้าเดินเข้าไปดูตำราในชั้นหนังสือก็พบว่ามันล้วนแต่ทำด้วยตำรากลีบไผ่ที่มีอายุกว่าพันปีตามความเคยชินของผู้คนสมัยก่อนแถมแต่ละม้วนยังแฝงไปด้วยพลังิญญาที่บ่งบอกว่าผู้เขียนได้ใช้ใจและพลังในการเขียนนั่นเองพวกวรยุทธ์ที่อยู่ในขั้นธรรมดาก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละเพราะเป็แค่สิ่งที่คนธรรมดาสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ส่วนวรยุทธ์ขั้นสามจะเป็พวกเพลงกระบี่วายุสังหาร เพลงดาบเมฆาและเคล็ดวิชาสายฟ้าพิฆาตที่วางอยู่ตรงนั้นซึ่งเป็เพียงหนึ่งในวิชาจำเป็ของสำนักวรยุทธ์เท่านั้น
ส่วนวรยุทธ์ขั้นสองบนชั้นได้หายไปไม่น้อยเหลืออยู่เพียงไม่กี่ม้วนบนชั้นเท่านั้น
‘ฝ่ามือสายฟ้าสะท้านโลกา’คือวรยุทธ์ที่เปลี่ยนพลังิญญาให้กลายเป็พลังสายฟ้าที่เมื่อส่งพลังออกไปจะทำให้ฟ้าดินต้องสั่นะเืผู้ที่มีการบำเพ็ญต่ำกว่าขั้น์ห้ามฝึกฝน
‘เพลงกระบี่ธุมเพลิง’ ให้พลังของแสงสว่างเข้าไปในกระบี่กวัดแกว่งดุจแสงสว่างที่เจิดจ้าจนเปล่งประกายไปทั่วแดนพลังของมันรุนแรงถึงขนาดที่ว่าผู้ใดฝึกฝนจนถึงระดับเซียนจะสามารถฟาดฟันต้นไม้อายุนับหมื่นปีให้แตกละเอียดได้อย่างง่ายดายผู้ที่มีการบำเพ็ญต่ำกว่าระดับสมบูรณ์ของขั้น์ห้ามฝึกฝน
...
ข้าขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดนี่ถ้าเป็พวกที่รู้เื่วรยุทธ์เพียงนิดหน่อยหรือครึ่งเดียวสองวิชานี้ก็ถือเป็ทางเลือกที่ไม่เลวเหมือนกันทว่าตอนนี้มันไม่จำเป็ต่อข้าแล้วล่ะ เมื่อคิดแบบนั้นจึงหันไปมองชั้นของวรยุทธ์ขั้นหนึ่งที่เดิมทีมีอยู่สามชั้นแต่เหลือเพียงชั้นเดียวและยังเหลือเพียงสามเล่มที่เป็ตำราวรยุทธ์ของเคล็ดวิชาัจุติฝ่ามือนพทิวากรกับพลังเทพกระดูกเหล็กเท่านั้นโดยตำราสองม้วนแรกเป็การฝึกฝนเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้เสียส่วนใหญ่ แถมพลังของเทพกระดูกเหล็กยังเป็พลังภายในที่บังเอิญไปเหมือนกับวิชาลมหายใจัซึ่งเป็พื้นฐานเดิมอยู่แล้วจึงทำให้ตำราพวกนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับข้าเท่าไรและยิ่งไปกว่านั้นคือราคาแพงเอาการแต่ละเล่มราคาสูงถึงเล่มละสามสิบล้านเหรียญหลงหลิงเลยทีเดียว
พอเห็นแบบนั้นจึงเดินมาทางวรยุทธ์ขั้นสูงที่มีเหลือสองเล่มเล่มหนึ่งเป็พลังเพลิงพิภพโลกันตร์และอีกเล่มก็เป็พลังกำเนิดฟ้าดินที่ต่างก็เป็กำลังภายในทั้งสิ้น
“ที่นี่ก็มีพลังเพลิงพิภพโลกันตร์อยู่ด้วยเหรอ?” ข้าพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อืม”
หยางเซี้ยนยิ้มบางก่อนจะพูดขึ้น“ตำราที่ขายต่างก็เป็วรยุทธ์ที่พอเรียนเสร็จแล้วพลังิญญาภายในของมันก็จะซึมเข้าสู่ร่างกายและตำราก็จะสลายหายไปด้วยตัวของมันเองดังนั้นก็ต้องเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายเงินห้าสิบล้านเหรียญหลงหลิงเพื่อซื้อตำราพลังเพลิงพิภพโลกันตร์หรือจะสอบเข้าสำนักหมื่นิญญาแล้วพยายามเคี่ยวเข็ญให้ได้เป็ศิษย์ผู้สืบทอดของข่าถูแล้วค่อยๆเรียนกันไป”
ข้ายิ้มออกมาก่อนจะพูดไป“ถ้าเป็แบบนั้นข้าขอไม่เรียนวรยุทธ์เพลิงพิภพโลกันตร์นี่ไปตลอดชีวิตจะดีกว่า”
ว่าแล้วข้าก็เงยหน้าขึ้นมองชั้นของวรยุทธ์ขั้นสุดยอดซึ่งบนนั้นได้รับการทำความสะอาดอย่างดีแต่กลับไม่เหลือตำราเลยสักม้วน
เมื่อนางเห็นแบบนั้นจึงยิ้มอย่างเก้อเขินก่อนจะพูดออกมา“วรยุทธ์ขั้นสุดยอดในใต้หล้ามีเพียงไม่กี่อย่าง และยังเป็เหมือนสมบัติล้ำค่าของพวกตระกูลใหญ่อีกต่างหากร้านหอเจ็ดเทพของเราจึงไม่รู้ว่าจะนำมันมาได้อย่างไร”
“แล้วนี่คืออะไร?”ข้าว่าแล้วยื่นมือไปหยิบม้วนตำราที่ค่อนข้างเก่าแก่และเกือบจะพังที่วางอยู่ตรงมุมชั้นวางขึ้นมาถ้าไม่เขย่งเท้าขึ้นก็คงจะไม่เห็นว่ามันวางอยู่ตรงนั้น และด้วยความเก่าแก่และใกล้จะพังของมันจึงทำให้ชื่อที่เขียนไว้้าว่า‘ตำราคันศรอัคนี ’
เมื่อนางเห็นข้าหยิบออกมาก็ชะงักไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“อันนี้เหรอ...เมื่อประมาณหลายร้อยปีก่อนพวกพ่อค้ารุ่นบรรพบุรุษของเราไปขุดเจอในสุสานโบราณแต่บรรพบุรุษของข้าเคยบอกเอาไว้ว่าไม่ให้ขายแต่ท่านพ่อบอกว่าถ้าจะขายก็ต้องขายในราคาของตำราวรยุทธ์ขั้นสุดยอดเพราะแบบนี้จึงไม่มีคนซื้อก็เลยต้องวางไว้ให้ฝุ่นเกาะรอเวลาให้มันพังลงไปเท่านั้น”
มือข้างที่จับตำราม้วนนี้รู้สึกได้ว่าพลังที่อยู่ในตำราและพลังในตัวข้าเหมือนกำลังผสานเข้าด้วยกันจึงทำให้รู้ว่ามันคือสิ่งที่ข้ากำลังตามหาอยู่ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเป็แน่
ข้าถือตำราม้วนนั้นไว้ในมือแล้วหันมาถามนาง “แม่นางหยางเซี้ยนข้าอยากจะซื้อตำราม้วนนี้แหละ เ้าบอกราคามาได้เลย”
นางทำตาโตก่อนจะส่งแววตาที่บ่งบอกว่ากำลังลังเล“นี่เ้าอยากได้จริงๆ เหรอ? แต่...บรรพบุรุษที่ไปเจอมาเคยบอกว่าไม่ให้ขายตำราม้วนนี้”
“แต่พ่อของเ้าก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ขายได้?”
นางเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“แต่ราคาของวรยุทธ์ขั้นสุดยอดมัน...มันไม่ได้ราคาแค่กี่สิบล้านหรอกนะเพราะตระกูลใหญ่ที่มีวรยุทธ์ขั้นสุดยอดเป็เครื่องมือในการก้าวเข้าสู่ความเป็ใหญ่ต่างรู้กันดีว่าราคามันไม่ใช่น้อยๆตระกูลซูมีเพลงกระบี่เมฆาเพลิงั ส่วนปู้เสวียนยินพี่สาวของเ้าก็มีพลังดรรชนีทองคำทำให้ราคาของวรยุทธ์ขั้นสุดยอดพวกนี้มีราคาอย่างต่ำก็พันล้านเหรียญหลงหลิง และอาจจะมีที่สูงขึ้นไปถึงล้านล้านเหรียญหลงหลิงหรือราคาสูงกว่านั้นก็ยังมี!”
ข้าได้ยินแบบนั้นแล้วก็พูดออกมาอย่างจนปัญญา“บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าเ้าจะขายเท่าไร?”
“หนึ่งร้อยล้านเหรียญ!”
นางว่าแล้วหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่อ “เป็ไงล่ะเ้ามีเงินพอหรือเปล่า?”
“ข้ามีอยู่ร้อยล้านเหรียญพอดีเลย”
ข้าล้วงบัตรเครดิตออกมาอย่างไม่ลังเลก่อนจะยื่นให้พนักงานที่อยู่ใกล้ๆ“ข้าจะเอาตำราม้วนนี้แหละ!”
นางถึงกับตะลึงก่อนจะพูดขึ้นมา “นี่เ้าจะซื้อมันจริงๆ เหรอ?...เอาจริงๆถึงแม้ว่าร้านของเราจะเห็นเงินเป็สิ่งสำคัญ แต่เ้าก็ถือว่าเป็ลูกค้าคนพิเศษข้าก็เลยไม่อยากจะโกหก...เ้าตำราคันศรอัคนีเล่มนี้วางอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีโดยไม่ได้ขยับไปไหนแต่ถึงกระนั้นก็เคยมีจอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยคิดจะซื้อไปฝึกฝนแต่สุดท้ายก็ผิดหวังไปทุกรายดังนั้นเงินร้อยล้านของเ้าครั้งนี้อาจจะซื้อไปได้เพียงตำราที่สภาพใกล้พังชนิดที่ว่าเอาไปเผาไฟก็ยังไม่ติดด้วยซ้ำ...”
ข้ายิ้มขึ้นก่อนจะบอกไป “ไม่เป็ไรข้ากล้าทำและกล้ารับผลของที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วเอาเป็ว่าข้าจะซื้อตำราคันศรอัคนีเล่มนี้แหละ เอาบัตรไปจ่ายเงินเลย!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เ้านี่มันจริงๆ เลย...”
ถึงนางจะพูดมาแบบนั้นแต่ใบหน้าก็ยังแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า“แต่ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าซื้อแล้วไม่รับคืนถ้าเกิดเ้าฝึกฝนมันไม่สำเร็จก็อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”
“รู้แล้วน่า ข้าตัดสินใจดีแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี...”
เพียงชั่วพริบตาเดียวเงินร้อยล้านก็หายไปจากบัตร จนข้าต้องกลับไปเดินเตร็ดเตร่เป็คนจนเหมือนเดิมแต่ก็ช่างเถอะ เพราะข้าเริ่มจะชินกับความจนแบบนี้เสียแล้วล่ะ
...
พอกลับมาถึงโรงเกลากระบี่ข้าก็เปิดตำราม้วนนั้นออกดูถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ทำมาจากไม้ไผ่แต่เหมือนจะทำมาจากแผ่นอะไรสักอย่างคล้ายกับแผ่นหินซึ่งมีไอพลังมากกว่าแผ่นหินธรรมดาทั่วไปแต่สิ่งที่ทำให้ต้องแปลกใจก็คือบนนั้นไม่มีตัวหนังสือเลยสักตัวแต่ละกลีบของตำราที่ร้อยเอาไว้ด้วยกันจนเป็แผ่นราบเรียบดุจสายน้ำที่ไร้ซึ่งระลอกคลื่นและไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“อะไรกันเนี่ย?”
ข้าขมวดคิ้วเข้มด้วยความสงสัยทั้งที่ตอนอยู่ในร้านหอเจ็ดเทพมันยังส่งพลังออกมาให้ข้ารับรู้อยู่เลยนี่ข้าถูกนางหลอกอย่างนั้นเหรอ?
พอยื่นมือไปลูบตำรานั้นมันกลับไม่มีพลังิญญาเลยแม้แต่นิดเดียว...
มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้วเมื่อข้าเปิดตำรานี่ออกมาพลังิญญาจะต้องแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของข้าและตำราม้วนนี้จึงสลายไปถึงจะถูกแต่ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างล่ะ!
พอคิดได้แบบนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกและรีบเข้าฌานข้าจะต้องตามหาพลังนั่นให้เจอ!
ข้าเปิดตำราวางแผ่บนหน้าตักก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งวางไว้้าแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเข้าฌานแล้ว ข้ากลับหลับไปเสียอย่างนั้น!
ภายในห้วงของความฝันเป็ภาพของท้องฟ้าที่มีเมฆขาวลอยวนรวมถึงผืนแผ่นดินนับพันลี้ที่มีทั้งูเาและสายน้ำลมพายุกำลังหมุนเวียนอยู่บนผืนดินและทำให้มองเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงสุดขอบฟ้าพร้อมกับคันธนูสีทองร่างกายของเขาช่างดูมีพละกำลังจนน่าเกรงขาม แววตาคู่นั้นเหมือนกับเปลวไฟที่ส่องลำแสงพลังสีทองออกมาเมื่อเขาง้างคันธนูแล้วยิงออกไปก็เกิดเป็กลุ่มก้อนพลังรวมตัวกันอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะเกิดเสียง ‘ตูม’ ดังสนั่นแล้วธนูลูกนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปราวกับจะแทงทะลุฟากฟ้าให้แตกออกก่อนที่แสงสีทองจะส่องสว่างไปทั่วโลก
แข็งแกร่ง! มันช่างเป็พลังคันศรอัคนีที่แข็งแกร่ง!
และจู่ๆ ข้าก็ใตื่นจากความฝันแล้วก้มลงมองตำราบนตักพลังิญญาในนั้นค่อยๆลอยผุดออกมาจากตำราแล้วแทรกซึมเข้าไปในหัวก่อนตำราม้วนนั้นมันจะกลายเป็กองผุยผงและปลิวไปตามลม
...
ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจและเรียนรู้พลังของวิชาคันศรอัคนีเล่มนี้ได้บ้างแล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้