ท่าทางที่ดูตื่นตระหนกของฉู่สยงเป็ที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน และจ้องมาทางฉู่สยงเป็สายตาเดียว
“เดินหน้าเต็มกำลัง มีคนเข้าไปยังส่วนกลางของเขตต้องห้ามแล้ว!” ฉู่สยงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม และเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่สู่ระดับสูงสุด กลายเป็ดั่งภาพมายาที่พุ่งตรงออกไปข้างหน้า
และมีพวกฉินอวี่ทยอยตามหลังไป
ฉินอวี่มุ่งหน้าไปในอากาศ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ั้แ่เข้ามาในเขตต้องห้าม กลุ่มของพวกเขาแทบจะไม่พบเจอกับอสูรร้ายเลย แต่กลับพบเห็นซากศพของอสูรร้ายจำนวนมาก เดิมทีแล้วฉินอวี่คิดว่าคงเป็ฝีมือของคนที่เข้ามาเมื่อตอนเปิดแดนขัดเกลาครั้งที่ผ่านมา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนเขามาถึงเขตต้องห้ามรวดเร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งหลังจากที่ทำการปิดแดนขัดเกลา ก็จะมีการเปิดขึ้นอีกครั้งในหนึ่งเดือนหลังจากนั้น กล่าวคือ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้จะไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามเข้ามาในแดนขัดเกลา และอาจพูดได้ว่า หากไม่ได้ออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนจะปิดแดนขัดเกลา ก็เป็ไปได้ว่าจะต้องตายอย่างน่าอนาถอยู่ด้านใน
เป็เพราะใน่เวลาที่ทำการปิดแดนขัดเกลาเป็เวลาหนึ่งเดือนนั้นจะมีกระแสอสูรเกิดขึ้น!
ดังนั้น คนที่อยู่ในแดนขัดเกลา จะต้องเป็คนที่เข้ามาในครั้งนี้เท่านั้น เพียงแต่ เขาเข้ามาเร็วมากจริงๆ
หรือจะเป็กลุ่มคน?
ฉินอวี่คาดเดาอยู่ในใจ
ยิ่งเดินทางลึกเข้าไป อุณหภูมิของพื้นที่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นที่เต็มไปด้วยคลื่นความร้อนที่ถูกคายออกมา จนเกินขีดจำกัดที่ทุกคนจะทนรับได้ ท้ายที่สุด ฉู่สยงก็หยิบโอสถเลี่ยงอัคคีออกมา แบ่งให้กับศิษย์ทุกคน
เมื่อมีโอสถเลี่ยงอัคคี ทุกคนจึงเดินหน้าเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมาถึงใจกลางของเขตต้องห้าม ฉู่สยงก็เหาะลงบนเนินเขารกร้างแห่งหนึ่งที่ร้อนระอุเต็มไปด้วยควันของการเผาไหม้ พลางทอดสายตาออกไปเบื้องหน้า ทุกคนจึงเหาะลงตามกันไป เมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่ฉินอวี่ก็มีสีหน้าตกตะลึงมากเช่นกัน
ห่างออกไปหนึ่งพันจ้าง เบื้องหน้ามีเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เปลือยกายท่อนบน มีหนังสัตว์ปกคลุมร่างกายส่วนล่าง กำลังต่อสู้กับอสูรร้ายขนาดใหญ่สูงกว่าสามจ้างอย่าดุเดือด สิ่งที่ทำให้น่าใคือ อสูรร้ายตัวนี้เป็อสูรร้ายขั้นสูงสุดของระดับสี่
ระดับฐานการฝึกฝนขั้นเทียนชุ่ยกล้าต่อสู้กับอสูรร้ายขั้นสูงสุดของระดับสี่โดยลำพัง อีกทั้งยังเข้ามาใจกลางเขตต้องห้ามด้วยตัวคนเดียว?
“นั่นมันฉือเซียว!” ฉู่สยงจ้องตรงไปยังชายหนุ่มร่างกำยำที่อยู่ไกลออกไป พร้อมสีหน้าที่เคร่งขรึม ก่อนพูดออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉือเซียว? ศิษย์อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะ?”
“เขาคือฉือเซียวหรือ?”
“ซู้ด...” ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปยังชายหนุ่มที่เปลือยกายท่อนบนซึ่งกำลังต่อสู้กับอสูรร้ายตรงหน้าอย่างตกตะลึง โดยนึกไม่ถึงว่าคนถอดเสื้อที่คนนี้จะเป็ศิษย์อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะ ฉือเซียวผู้ลึกลับไม่เปิดเผยตัว!
มีข่าวลือเกี่ยวกับฉือเซียวอยู่มากมายในสำนักยุทธ์ว่านจ้ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยพบตัวจริงของฉือเซียว ชื่อเสียงของเขาเป็ที่น่าอัศจรรย์ แม้ในทุกวันนี้ก็ยังมีคนสงสัยว่าฉือเซียวได้เป็ศิษย์อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะได้อย่างไร
ในอดีต ศิษย์อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะคือจ้าวจิงหลงแห่งสายชีพจรฟ้า ในตอนนั้น ฉือเซียวยังไม่เป็ที่รู้จัก แต่จู่ๆ วันหนึ่ง ทุกคนก็พบว่ารายชื่อของศิษย์อัจฉริยะถูกเปลี่ยนแปลงไป ฉือเซียวได้ขึ้นเป็อันดับหนึ่ง จนกลายเป็เื่โด่งดังไปทั่วทั้งสำนักยุทธ์ว่านจ้ง และในเวลานั้นเอง ฉือเซียวจึงกลายเป็ที่รู้จักของผู้คน
ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับฉือเซียวผู้นี้เลย! ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อนว่าเขามาจากที่ไหนกันแน่ เมื่อเวลาผ่านไป จู่ๆ ชื่อของศิษย์สายชีพจรดินก็โด่งดังขึ้นมา เมื่อหลายปีก่อนเคยมีคนนำศิษย์ใหม่คนหนึ่งไปยังที่พำนัก และศิษย์ใหม่คนนั้นมีชื่อว่าฉือเซียว แต่ศิษย์ผู้นี้ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
เป็เพราะหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็ศิษย์อัจฉริยะ ฉือเซียวก็เป็ที่สนใจของผู้าุโสายชีพจรฟ้า จนได้รับเลือกเป็ศิษย์คนสุดท้ายของเขา และหลังจากนั้นก็เก็บตัวบำเพ็ญยุทธ์เป็เวลานาน จึงมีผู้คนจำนวนไม่มากที่รู้จักเขา ซึ่งฉู่สยงก็เป็หนึ่งในนั้น
“ตูม!” ฉือเซียวที่อยู่ไกลออกไปเปลี่ยนหมัดอันหนักอึ้งให้กลายเป็เปลวเพลิงขนาดใหญ่ กระแทกใส่อสูรร้ายขั้นสูงสุดของระดับสี่ลงไปกับพื้น
แผ่นดินสั่นะเื พื้นที่ว่างต่างส่งเสียงดัง และเกิดคลื่นความร้อนกระจายมาจากทุกทิศทาง
ในขณะที่อสูรร้ายกำลังตกลงถึงพื้นดินนั้น ฉือเซียวก็ะโขึ้นไป และกลายเป็เปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังม้วนตัวลงมาอย่างดุเดือด!
“ตูม ตูม!”
เศษฝุ่นที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผืนฟ้าหลอมละลายรวมกับคลื่นความร้อน และพวยพุ่งออกไปทุกสารทิศอีกครั้ง แรงสั่นะเือันทรงพลัง ทำให้พวกฉินอวี่ต่างถอยห่างออกไปหลายก้าว
“ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!” ฉู่สยงเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะเดียวกันความกลัวต่างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่เยว่ฉาน และพวกถังอีิเช่นเดียวกัน
“สมแล้วที่เป็ว่าที่ผู้นำรุ่นที่ห้าที่เหมาะสมมากที่สุด!”
ฉินอวี่หรี่ตาลง มองดูด้วยสายตาที่ประหลาดใจ
“นี่คือ...จี้ เปลวอัคคี?” ฉือเซียวเป็วิชาจี้เปลวอัคคีหรือ?
หรือว่า... อาจารย์ของเขาคือผู้าุโคนนั้น?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็เอ่ยขึ้นมา “ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็อาจารย์ของฉือเซียวหรือ?”
“ผู้าุโเลี่ยเอ๋า แห่งสายชีพจรฟ้า!” ถังอีิตอบกลับ
เป็เขาจริงด้วย!
ดวงตาของฉินอวี่เปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย ผู้าุโเฒ่านั่นสามารถสร้างข้อบังคับของฟ้าได้ จะมีศิษย์วิปริตเช่นนี้ ก็คงไม่เกินกว่าเหตุ
พลังของจี้เปลวอัคคีสังหารอสูรร้ายถึงแก่ความตายทันที จากนั้นฉือเซียวจึงหยิบขวดหยกสีเขียวเข้มออกมารองรับเือสูรร้าย ก่อนจะชำเลืองมองมาทางพวกฉินอวี่
ฉู่สยงพูดเสียงดังขึ้นมา “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพละกำลังของศิษย์พี่ฉือลึกล้ำยิ่งนัก วันนี้ได้เห็นกับตา สมคำร่ำลือจริงๆ” พูดจบ ฉู่สยงก็เหาะไปในอากาศมุ่งหน้าไปทางฉือเซียว
“อย่าเข้ามา ข้าคุ้นชินกับการอยู่ลำพัง”
ฉู่สยงเหาะออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็กลับได้ยินเสียงที่ดุร้ายดังขึ้น สีหน้าของฉู่สยงแข็งทื่อทันที พลันหยุดลงกลางอากาศด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย
ฉือเซียวรีบตรงเข้าไปในส่วนลึกของเขตต้องห้าม โดยไม่หันมามองฉู่สยงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อฉู่สยงกลับมาถึงยอดเขาหวงซาน ศิษย์คนหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เข้าไปส่วนลึกของเขตต้องห้ามเพียงลำพัง? ต่อให้เป็ศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งก็เหมือนรนหาที่ตายเช่นกัน รอให้ศิษย์พี่ฉู่ได้ของสิ่งนั้นก่อนเถอะ เขาจะต้องได้เป็ผู้นำศิษย์รุ่นห้า ถึงตอนนั้นฉือเซียวคงได้เห็นดีกัน”
ฉู่สยงไม่ได้พูดอะไร ได้แต่จ้องไปยังศิษย์คนนั้น “ศิษย์พี่ฉืออยู่คนเดียวมาตลอด การถูกปฏิเสธเช่นนั้นก็ดูสมเหตุสมผลแล้ว ช่างเถอะ พวกเราก็เดินทางเข้าไปกันต่อเถอะ”
ฉินอวี่ติดตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ และนึกสงสัยในคำพูดที่ศิษย์คนนั้นพูดถึง “ของสิ่งนั้น” มันคืออะไร หรือนี่จะเป็วัตถุประสงค์ที่ฉู่สยงเข้ามาในเขตต้องห้าม?
ยิ่งเดินลึกเข้าไป บททดสอบที่ทุกคนต้องเผชิญก็ยิ่งรุนแรงขึ้น โชคดีที่มีฉือเซียวนำหน้าไปก่อน ทุกคนจึงเผชิญหน้ากับอสูรร้ายไม่มากนัก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะ้ารักษาพละกำลังเอาไว้ หลังจากฉู่สยงตัดสินใจจะตามหลังฉือเซียวไป ทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ขึ้นทางฉือเซียว ทุกคนก็จะได้ชื่นชมและมองเห็นพละกำลังของฉือเซียว
ฉือเซียวทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นกับการติดตามมาของทุกคน เขาเอาแต่สังหารอสูรร้ายของเขา และปล่อยให้พวกฉินอวี่ได้ชมกันไป ราวกับไม่มีความสนใจต่อพวกฉินอวี่เลย
“ข้าว่าฉือเซียวผู้นี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย นอกจากพละกำลังที่แข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเอาชนะศิษย์พี่จ้าวจิงหลงที่มีสายเืัได้อย่างไร” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวอย่างดูถูก ราวกับกำลังระบายความรำคาญใจกับการที่ฉือเซียวปฏิเสธฉู่สยงเมื่อครู่นี้
ฉู่สยงนิ่งเงียบ แต่สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเป็อย่างยิ่ง แม้แต่ฉู่เยว่ฉานก็เช่นเดียวกัน นางนิ่งเงียบพร้อมดวงตาที่มีประกายเล็กน้อย จ้องไปทางฉือเซียวด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อฉินอวี่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาก็เยาะเย้ยขึ้นมาในใจ ไม่ใช่เพราะเขาจะยกยอฉือเซียว ด้วยระดับการฝึกฝนที่เท่ากัน หากฉือเซียวคิดจะสังหารศิษย์คนนี้ คงใช้เพียงหมัดเดียวก็เพียงพอ! ฉินอวี่และฉือเซียวไม่รู้จักกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรจะพูดจาให้เกิดความขุ่นเคืองกัน ทุกสิ่งเอาไว้ค่อยพูดกันหลังจากเข้าไปในส่วนลึกของเขตต้องห้าม
เพียงแต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถึงแม้นิสัยของผู้าุโคนนั้นจะร้อนรน ดื้อรั้น และสุดโต่ง แต่ก็เป็ผู้าุโที่กระดูกแข็ง ศิษย์ที่เขาฝึกขึ้นมาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หากมองจากสายตาของคนธรรมดา พละกำลังของฉือเซียวจะไม่มีอะไรพิเศษ อีกทั้งการโจมตีก็ยังดูเชื่องช้าเป็พิเศษ
แต่หากมองให้ดีแล้ว ฉินอวี่ก็ใเป็อย่างยิ่ง เมื่อฉือเซียวรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี เขายังสามารถควบคุมเปลวไฟสู่ระดับสูงสุดได้ ฉินอวี่จึงแน่ใจ ว่าฉือเซียวผู้นี้จะต้องมีเพลิงพิเศษของฟ้าดินอยู่ในร่างกาย!
ยิ่งไปกว่านั้น ฉือเซียวผู้นี้ยังมีความเร็วที่รวดเร็วมาก และยังสามารถระงับอสูรร้ายไว้ได้อย่างสมบูรณ์ บางทีอาจบอกได้ว่า ความช้าเร็วของเขาจะเป็ไปตามความเร็วของอสูรร้าย ซึ่งระดับเขตแดนพลังเช่นนี้เรียกว่า “ความเร็วกลางความสงบ”
ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สามจะสามารถทำเื่เช่นนี้ได้ และพละกำลังของฉือเซียวก็ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้จะเป็สำนักเทียนฉีในอดีต เขาก็ยังถูกจัดให้เป็ศิษย์อัจฉริยะ
หลังจากฉือเซียวตัดศีรษะของอสูรร้ายและเก็บเือสูรของมันไป พวกฉู่สยงก็ติดตามเขาต่อไป สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ขมวดคิ้ว และถามขึ้นมา “ศิษย์พี่ฉู่ หากตามต่อไปแบบนี้ ไม่น่าจะดีเท่าไร อันที่จริงเราควรอยู่หน้าศิษย์พี่ฉือ หากพวกเราเจอภัยคุกคาม ข้าว่าเขาก็คงไม่ถึงกับเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยื่นมือช่วยหรอก?”
หากตามต่อไปเช่นนี้ อสูรร้ายก็จะถูกฉือเซียวสังหารจนหมด แล้วตนเองจะเก็บเือสูรได้อย่างไร?
ฉู่สยงลดเปลือกตาลงเล็กน้อย เขาก็กำลังเป็กังวลเช่นเดียวกับที่ฉินอวี่กล่าวมา หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะเข้าถึงส่วนลึกของเขตต้องห้าม สุดท้ายก็กลัวจะพลาดเวลาไป แต่เมื่อเข้าไปในส่วนลึกของเขตต้องห้าม เขาเองก็ไม่มั่นใจเท่าใดนัก พูดตามตรง เขา้าให้ฉือเซียวเข้าไปด้วยกัน เมื่อมีฉือเซียวอยู่ เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น
แต่คำพูดท้ายของฉินอวี่ ทำให้ฉู่สยงรู้สึกสะกิดใจเล็กน้อย จริงด้วย หากพบกับอันตรายอะไร ฉือเซียวไม่มีทางมองดูอยู่เฉยๆ แน่นอน
ทันใดนั้น ฉู่สยงก็พูดขึ้น “ทุกคนควรกินโอสถเลี่ยงอัคคีสิบเม็ด และผลักดันเข้าไปอย่างสุดกำลัง!” เพื่อการเข้าไปในเขตต้องห้ามครั้งนี้ ฉู่สยงได้เตรียมการทุกอย่างมาเป็อย่างดี
เมื่อกลุ่มของพวกเขากำลังจะแซงฉือเซียว ฉือเซียวก็หยุดลงครู่หนึ่ง แหงนหน้ามองพวกฉินอวี่และพึมพำ “รนหาที่ตาย!”
ในวันที่สาม เื่ราวก็เป็ดั่งที่ฉือเซียวกล่าวไว้
พวกของฉินอวี่ได้เผชิญหน้ากับอสูรร้ายขั้นสูงสุดของระดับสี่ตัวหนึ่ง และด้วยการล้อมโจมตี จึงเกิดเป็พลังอันยิ่งใหญ่ ที่ส่งสัญญาณเตือนไปยังอสูรร้ายอีกสองตัวที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
กลุ่มคนทั้งสิบสามคนกำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายแล้ว
และในครั้งนี้ ก็ถึงคราวของฉือเซียวกลายเป็ผู้ชม เขายืนอยู่บนเขาหวงซาน มองดูอสูรร้ายระดับสี่ทั้งสามตัวที่กำลังเข้าต่อสู้กับพวกของฉินอวี่ ดวงตาของเขาดูเฉยเมย ท่าทีสงบนิ่ง ราวกับว่ากำลังเฝ้าดูคนที่ทำเื่ไม่ควรทำสู้รบกันจนตายไปข้างหนึ่ง
“ศิษย์พี่ฉือ พอจะช่วยพวกเราได้หรือไม่?” ฉู่สยงส่งเสียงะโขึ้นทันที ครั้งนี้ไม่ได้เผชิญกับอสูรเพียงตัวเดียว แต่เป็อสูรร้ายถึงสามตัวซึ่งเกินกว่าพวกเขาจะต้านทานได้
“อาจารย์ของข้ากล่าวไว้ หากผู้ใดเป็คนกระทำ ผู้นั้นก็ต้องเป็รับ” ฉือเซียวตอบกลับอย่างเฉยเมย และเดินต่อไปในส่วนลึกโดยไม่สนใจพวกของฉินอวี่
ขณะที่ทุกคนกำลังร้อนใจ ฉือเซียวก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และค่อยๆ หันกลับมามองพวกเขา ท้ายที่สุดก็หยุดมองไปที่ฉินอวี่ ขมวดคิ้วขึ้นพลางพึมพำขึ้นมา “จี้เปลวอัคคี? ทำไมเขาจึงมีวิชาจี้เปลวอัคคี?”
