“ท่านผู้นำฝ่ายอธรรม ได้ยกพลรุกคืบเข้ามาแล้ว!”
ผู้ประสานข่าวแห่งม้าคะนองลม รีบรุดเข้ามา รายงานด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
ผู้าุโพร้อมด้วยผู้นำสมาพันธ์รัตติกาลพิสุทธิ์ สีหน้าล้วนเคร่งขรึม
“เป็ดังที่เราคาดการณ์ไว้แต่แรก”
“เช่นนั้นแล้ว จงออกไปต้านรับพวกมันเถิด”
ประมุขสมาพันธ์ จิน เฉิง เอ่ยวาจาเสียงหนักแน่น
“ท่านประมุข โปรดใคร่ครวญให้รอบคอบ”
“เกรงว่าพวกมันอาจวางกลลวงรออยู่”
จาง เฉิน กล่าวทัดทานด้วยสีหน้ากังวล
“ข้าก็เห็นพ้องด้วย”
“ท่านประมุข โปรดใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนก่อนลงมือ”
“หากเราตรึงกำลังรอคอย ปล่อยให้ศัตรูลงมือก่อน
แล้วจึงตอบโต้ ย่อมเป็หนทางที่รอบคอบกว่า”
ซ่ง โปกัง เอ่ยวาจาอย่างหนักแน่น
“ถ้าเช่นนั้น เราจักตรึงกำลังไว้ก่อน ดุจที่พวกเ้ากล่าวมา”
ประมุขสมาพันธ์ จิน เฉิง เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบเยียบ
ไม่นาน พวกเขาเคลื่อนพลบางส่วนไปตรึงกำลังแ่า พร้อมเผชิญหน้าศัตรูทุกเมื่อ
“ส่งมือดีออกไป แทรกซึมสอดส่องในค่ายพวกมันเดี๋ยวนี้!”
คำสั่งของ เย่ หลี่เฟิง ถูกเปล่งออกอย่างเยือกเย็น เงียบงัน
เบื้องนอกโถงที่ประชุม แม้นแผ่นดินกำลังปั่นป่วน แต่ฝูงชนยังดำเนินชีวิตไปตามครรลอง ถนนคนเดินยังคราคร่ำด้วยผู้คนอึกทึก ราวกับเื้ัม่านหาได้มีพายุร้ายกำลังก่อตัว
ชายหนุ่มรูปงามก้าวเข้ามาในถนนคนเดิน ใบหน้าเรียวคมคาย คิ้วเรียงสวย ดวงตาเรียวลึกฉายแววสงบและเฉลียวฉลาด ผมดำยาวลื่นประหนึ่งสายไหมคล้องไหล่ ปลายผมสะบัดเบา ๆ ขณะเดินสอดส่ายสายตาเฝ้าดูสินค้าตามร้าน
เขาสวมชุดง่าย ๆ แต่เรียบร้อย ผ้าคลุมบางเบาและเข็มขัดผ้าลายละเอียด แสดงถึงรสนิยมและความสง่างาม แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของตลาด
สายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นหยกล้ำค่าในร้านเล็ก ดวงตาเปล่งประกายความสนใจ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปช้า ๆ
“หยกก้อนนี้ราคาเท่าใดหรือ ท่านพ่อค้า”
ชายหนุ่มรูปงามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
พ่อค้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า
“ก้อนนี้แลเป็เพียงหยกไร้ค่า หากเ้าประสงค์จะได้ จงซื้อสิ่งอื่นจากข้า แล้วข้าจักแถมมันให้”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถุงมือคู่นั้น ราคาจักเท่าใด!”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่น
พ่อค้าหัวเราะพลางตอบ
“สามเหรียญเงินเท่านั้น เ้ายัง้าสิ่งใดเพิ่มหรือไม่หนุ่มน้อย?”
“ข้าไม่ปรารถนาอย่างอื่นอีกแล้ว ท่านพ่อค้า”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ขอให้โชคดี พ่อหนุ่ม”
พ่อค้าพูดตามหลัง เสียงเรียบแต่แฝงความปรารถนาดี
‘หยกล้ำค่าเช่นนี้ มาอยู่ ณ ร้านค้าข้างถนนได้อย่างไรกัน…’
ชายหนุ่มคิดในใจ ด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น เสียงแหลมดังขึ้นจากข้างหลัง
เด็กหนุ่มวัย 14 ปี พุ่งเข้ามาบนหลังม้า รูปร่างสูงโปร่งสำหรับวัย แม้กล้ามเนื้อจะยังไม่ใหญ่แต่แสดงถึงการฝึกฝนอย่างตั้งใจ ตาโตคม แฝงความดุดันและทะเยอทะยาน ผมดำยาวมัดเป็หางม้า สวมชุดสีเข้มกระชับตัวเพื่อความคล่องตัว
“หลีกไป! จงหลีกทางของข้าซะ พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด!”
เด็กหนุ่มขี่ม้าอย่างเร่งรีบ ใบหน้าเปล่งประกายความกร้าวร้าวดุจคมดาบ
ม้าของเขาพุ่งเฉียดชายหนุ่มผู้ซื้อหยกไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มหันกลับมา
“เ้าบ้าไปแล้วหรือ! ข้าสั่งให้หลบ เหตุใดเ้ายังยืนข้างทางอยู่ได้!”
คำพูดดังขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธและความกระด้าง
“เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร!”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงดังเปล่งประกายความโกรธ
“แล้วเ้าคือใครกัน? เหตุใดเ้าถึงได้อวดเบ่งเยี่ยงนี้!”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยดวงตาเยือกเย็น แต่เต็มไปด้วยความเฉียบคม
“นี้เ้าไม่รู้จักข้าจริง ๆ อย่างนั้นรึ?”
หลิวอี้หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็ง ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
“ข้าคือนายน้อยตระกูลหลิว หลิวอี้หลง”
“แล้วเ้าคือใครกัน ข้าถึงได้กล้าพูดกับข้าเยี่ยงนี้?”
“เ้าเป็ถึงนายน้อยแห่งตระกูลหลิวแท้ ๆ แต่กลับอวดเก่ง ใช้ชื่อเสียงของตระกูลกดขี่ผู้อื่นเช่นนี้หรือ?”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน เ้าจะไม่รู้สึกละอายที่ใช้เกียรติของตระกูลไปในทางนี้บ้างหรือ?”
“เ้าจะไม่คิดพึ่งตนเองเลยหรือ กระทำการด้วยความสามารถของตนเองสักครั้งบ้างหรือ?”
“หนอย… เ้า… เ้าเป็ใครกัน ถึงได้กล้าพูดกับข้าเยี่ยงนี้!”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาเปล่งประกายไฟ
“พวกเ้าจงไปจับตัวมันไว้!”
เขาสั่งคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แต่เต็มไปด้วยอำนาจ
คนรับใช้ของหลิวอี้หลงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
มือของเขาเคลื่อนเข้าหาชายหนุ่มด้วยท่าทางดุดัน ราวกับ้าบดขยี้
ชายหนุ่มรูปงามพลิ้วไหวหลบการโจมตีของคนรับใช้ ดวงตาเยือกเย็น จังหวะทุกก้าวลื่นไหลราวสายน้ำ
ในขณะเดียวกัน มือของเขาส่งแรงโต้กลับ พลางพุ่งเข้าหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้
ท่วงท่าของเขาแฝงความเด็ดขาดและเฉียบคม
ขณะที่ชายหนุ่มรูปงามและคนรับใช้หลิวอี้หลงฟาดฟันกันอย่างดุเดือด
ทหารองครักษ์ประจำเมืองปรากฏตัวขึ้น เรียงแถวแ่า
หัวหน้าทหารยกมือสั่งเสียงเข้ม
“หยุดมือเดี๋ยวนี้ ทั้งสองฝ่าย!”
ความตึงเครียดในตลาดค่อย ๆ ลดลงทันตาเห็น
หัวหน้าองครักษ์ก้าวออกจากแถว เขาหันไปสบตากับชายหนุ่มรูปงาม
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจที่เห็นบุคคลผู้เหนือคาด
แม้น้ำเสียงสั่งการยังเข้มข้น แต่ความตึงเครียดบนใบหน้ากลับลดลงเล็กน้อย
ชายหนุ่มรูปงามเงยหน้า แล้วยิ้มบางเบาไปยังหัวหน้าองครักษ์
รอยยิ้มของเขาราวกับสื่อสารว่า พวกเขารู้จักกัน
แววตาเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความคุ้นเคย ทำให้บรรยากาศรอบตัวค่อย ๆ นิ่งสงบลง
“พวกเ้าทั้งสอง จงแยกย้ายเสียเถิด อย่าให้ข้าได้เห็นพวกเ้ามีเื่ทะเลาะวิวาทอีก!”
ไท่หย่ง หัวหน้าองครักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขลัง ดวงตาเปล่งประกายความเด็ดขาด
ณ ตำหนักตระกูลจิน
ชายหนุ่มจับหยกที่ได้จากตลาดด้วยมือมั่น
พลังภายในของเขาไหลเวียนไปตามร่องเส้นแกะสลัก
จี้หยกส่องประกายเจิดจ้า ดวงตาเยือกเย็นเต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น
“พลังที่หลั่งออกจากหยกก้อนนี้… แข็งแกร่งเกินกว่าจะคาดคิด”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น คนรับใช้ก้าวเข้ามาในตำหนักกล่าวด้วยเสียงเรียบแต่ชัดเจน
“นายน้อย… ข้าได้รับคำสั่งให้ท่านไปพบผู้นำตระกูลทันที”
ชายหนุ่มละสายตาจากหยก ก้าวเท้าออกไปด้วยความสงบนิ่ง…
ชายหนุ่มเคาะประตูห้องทำการอย่างสุภาพ
เสียงของผู้นำตระกูลจินดังขึ้น
“เข้ามาเถิด”
เขาเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
“ท่านพ่อ มีเื่ใดหรือขอรับ”
จิน เฉิงทอดสายตาลึกไปยังชายหนุ่ม
“จิน เว่ยหลง ข้าจะให้เ้าเป็แม่ทัพในแนวหน้า เ้าคิดเห็นเช่นไร”
“ข้ายอมรับคำตัดสินของท่านขอรับ ท่านพ่อ”
จิน เว่ยหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคงและเคารพ
“เช่นนั้น วันพรุ่ง เ้าเตรียมออกเดินทางพร้อมกองทัพเถิด”
จิน เฉิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาจับจ้องลูกชายด้วยความวางใจ
รุ่งเช้า แสงตะวันสาดส่องเหนือตำหนักตระกูลจิน
จิน เว่ยหลงยืนอยู่หน้ากองทัพ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาออกเดินทางสู่แนวหน้าเพื่อตรึงกำลังกับฝ่ายอธรรม
เสียงม้าคล้องเสียงระฆังก้องสะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยวและพลังของกองทัพ
แสงอรุณค่อย ๆ สาดส่องเหนือทุ่งกว้าง ทองแดงของแสงอาทิตย์สะท้อนบนโล่และหอก
กองทัพของจิน เว่ยหลงหยุดอยู่บนเนินสูง จัดแถวเรียงกันอย่างมั่นคง
ฝ่ายอธรรมอยู่ไม่ไกลอีกฝั่งของเนิน เสียงกลองสะท้อนก้องราวกับลั่นระฆังแห่งความตึงเครียด
ม้าและธงโบกสะบัดตามลม แต่ยังไม่มีเสียงดาบชน เสียงลมหายใจของทหารทั้งสองฝ่ายแทนที่เสียงศึก
จิน เว่ยหลงยืนคุมทัพ ดวงตาเยือกเย็นจับจ้องศัตรู
ใจเขาไหลราวกับน้ำสงบ แต่ความคิดกลับหมุนวนไม่หยุด
‘ฝ่ายอธรรมไม่ใช่ศัตรูที่ง่ายดาย หากเราเร่งบุกไปโดยไม่รอบคอบ อาจต้องสูญเสียทั้งกองทัพและเกียรติของตระกูล‘
‘วันนี้ยังไม่ใช่เวลาของศึก แต่การตรึงกำลังและสังเกตความเคลื่อนไหวของศัตรู คือบททดสอบแรกของข้า’
จิน เว่ยหลง คิดในใจ…
ท่ามกลางหมอกเช้าและเสียงลมพัด ทุกคนเงียบสงบ… แต่ลมหายใจของาใกล้เข้ามาแล้วและในใจของจิน เว่ยหลง ความมั่นคงและความเฉียบแหลมถูกทดสอบอย่างเงียบ ๆ