บทที่ 54 สังหารในพริบตา, ข้าประเมินตัวเองต่ำไปหรือนี่?
ตรอกหนีเจี่ยว
ชุยเผิงพิงอยู่ใต้ต้นไม้ที่เอนเอียงต้นหนึ่ง ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
“สังหารหลี่โม่ หากได้ย้อมเืของอัจฉริยะ วิชาดาบโลหิตของข้าก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้น”
“ไม่รู้ว่านอกจากตระกูลมู่หรงแล้ว ข้างกายเขายังจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกหรือไม่...”
ขณะที่เขากำลังรำพึงในใจ หนูขนเหลืองตัวหนึ่งก็ปีนจากชายกางเกงขึ้นมาบนไหล่
หลังจากส่งเสียงจี๊ดๆ สองสามครั้ง รอยยิ้มอันชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา นั่นหมายความว่าขอทานน้อยคนนั้นสามารถทิ้งร่องรอยกลิ่นไว้บนตัวอีกฝ่ายได้สำเร็จแล้ว
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถใช้หนูคู่ใจเป็สายสืบ เพื่อตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างของอีกฝ่ายได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็วิชาการต่อสู้ที่อีกฝ่ายถนัด อาจารย์หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่ติดตาม รวมถึงนิสัยการใช้ชีวิตประจำวัน
“เมื่อเ้าเข้าใจคนคนหนึ่งอย่างถ่องแท้ เ้าก็จะสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย”
ชุยเผิงลูบไล้ดาบโลหิตใต้ผ้าของเขาอย่างเบามือ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม
ตึก—
เสียงฝีเท้าดังขึ้นไม่ไกลนัก
ชุยเผิงเงยหน้ามอง ก็เห็นขอทานน้อยที่เขาเคยสั่งให้ไปทำภารกิจกลับมาแล้ว
ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว ขอทานน้อยคนนี้ก็ไม่มีความจำเป็ที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“เ้ามาเอาเงินไปเถิด”
ชุยเผิงหยิบเงินทองแดงหนึ่งพวงออกมาจากอกเสื้อก่อนแกว่งไปมา อีกมือหนึ่งก็กำดาบโลหิตแน่น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลงมือ หนูขนเหลืองก็ปีนขึ้นไปเกาะข้างหูของเขา แล้วส่งเสียงจี๊ดๆ อีกสองครั้ง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นระรัว พลันหันกลับไปมองอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
ปรากฏเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งสวมเสื้อคลุมผ้าไหมลายเมฆาพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยนยืนอยู่ที่นั่น
“ชุยเผิง เ้าไม่เหมือนกับในภาพวาดเลยแม้แต่น้อย”
สหายหลี่น้อยกล่าวอย่างไม่รีบร้อน เขาเองก็ไม่คาดคิด เดิมทีตั้งใจจะช่วยยัยก้อนน้ำแข็งตามหาคน แต่กลับได้ของแถมที่ไม่คาดฝัน ยังไม่ทันที่ทางตระกูลมู่หรงจะส่งข่าวมา ชุยเผิงผู้นี้ก็เข้ามาหาเขาด้วยตัวเองเสียแล้ว
“เ้ารู้ได้อย่างไร?”
เสียงของชุยเผิงแหบพร่า ราวกับสายลมเย็นเยียบที่พัดมาจากนรกเก้าชั้นฟ้า จิตใจของเขาตึงเครียดถึงขีดสุด
ความเข้าใจในตัวศัตรู ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นักล่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ราวกับถือลูกแก้วแห่งปัญญาไว้ในมือ
แต่ในตอนนี้ อีกฝ่ายกลับเข้ามาหาอย่างกะทันหัน ใครเป็เหยื่อหรือเป็นักล่า ก็ไม่อาจบอกได้ชัดเจนแล้ว
“เื่ที่เ้าไม่รู้บนโลกนี้ยังมีอีกเยอะ”
สหายหลี่น้อยส่ายหน้ากล่าว
ในเนตรทิพย์ลิขิตฟ้า ข้อมูลของอีกฝ่ายปรากฏขึ้น:
[ชื่อ: ชุยเผิง]
[อายุ: 28]
[รากฐานกระดูก: แขนวานรขาว]
[ขอบเขต: ปราณภายในขั้นรวมปราณ]
[ลิขิตฟ้า: สีครามเจือเทา]
[คำวิจารณ์: นักดาบเืเย็นไร้หัวใจผู้โชคดีอย่างยิ่ง นักฆ่าโดยกำเนิด]
[สิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อเร็วๆ นี้: วิชาดาบโลหิตถึงคอขวด อาการาเ็ยังไม่หายดี เขาจึงสิ้นหนทางและเตรียมเสี่ยงภัยด้วยการพยายามลอบสังหารศิษย์สายตรงหลี่แห่งสำนักชิงเยวียน และใช้ผลงานนี้เข้าร่วมหอละอองฝน]
ชุยเผิงจ้องสหายหลี่น้อยเขม็ง พร้อมกับดาบสั้นสีแดงจางๆ ที่มีกลิ่นคาวเืก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขาแล้ว
ภายในตรอกเกิดบรรยากาศแข็งค้าง เจตนาสังหารปกคลุมไปทั่ว
ขอทานน้อยหวาดกลัวจนสติแตก สมองของเขากลายเป็สีขาวโพลน ถุงข้าวสารในมือของเขาหลุดร่วงลงพื้นเสียงแปะ
“เ้าไปก่อนเถอะ”
สหายหลี่น้อยเดินไปข้างกายเขา แล้วตบศีรษะเบาๆ
“ขอบ...ขอบคุณ...”
ขอทานน้อยจากไปอย่างหวาดกลัว ระหว่างทางยังหกล้มไปหลายครั้งเพราะขาอ่อนแรง
เมื่อเดินถึงปากตรอก เขาก็หันกลับมามองเป็ครั้งสุดท้าย
แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็พอจะรู้ว่าท่านมหาคหบดีหลี่แห่งสำนักชิงเยวียนผู้นั้นเป็คนดี ส่วนขอทานที่ให้เงินเขาไปทำภารกิจนั้นเป็คนเลว
ชุยเผิง!
นั่นมันคนบ้าที่เคยก่อคดีฆ่าคนเมื่อไม่นานมานี้เองนี่!
แปะ—
ท่ามกลางความสับสน เขาก้าวไปเหยียบกิ่งไม้หักดังแปะ
และนั่นก็ทำให้บรรยากาศในตรอกเล็กๆ นั้นพังทลายลงในทันที
“เสแสร้งแกล้งทำเป็ผีสาง”
“กล้ามาหาข้าคนเดียว วันนี้จะเป็วันตายของเ้า!”
แววตาอันมืดมิดของชุยเผิงแปรเปลี่ยนเป็ความดุดัน
ดาบโลหิตในฝ่ามือปรากฏขึ้น ตวัดกรีดอากาศเป็เส้นโค้งอันน่าสะพรึงกลัว พุ่งตรงไปยังหน้าอกของสหายหลี่น้อย
คมดาบส่งเสียงคำราม ราวกับมีพลังคมกล้าของศาสตราสังหารแฝงอยู่ และคล้ายกับว่ายังเจือด้วยกลิ่นคาวเืบางๆ อีกด้วย
สีหน้าของหลี่โม่เกิดความสงสัย
สามารถยืนยันได้เลยว่าชุยเผิงไม่ได้ออมมือ เพราะสำหรับเขาแล้ว การสู้สุดชีวิตเพื่อจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด คือทางเลือกเดียวเท่านั้น
“เ้าสังหารผู้คนเพื่อฝึกฝนวิชาดาบเช่นนี้หรือ”
สหายหลี่น้อยส่ายหน้า
เดิมทีเขากะว่าจะลองใช้วิชาค้อนของตัวเองดู แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่จำเป็แล้ว
กระบี่เพลิงสีชาดที่เอวร่วงลงสู่ฝ่ามือ
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง—
กระบี่เพลิงสีชาดฟันทะลุปราณภายในที่ห่อหุ้มดาบของอีกฝ่าย เข้าปะทะกับดาบโลหิตหลายครั้ง
ต่อหน้าดวงตาที่ไม่อาจเชื่อได้ของอีกฝ่าย ดาบโลหิตที่ใกล้เคียงกับอาวุธเฉียบคม กลับแตกเป็บิ่นทีละเล็กทีละน้อย
ชุยเผิงเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมา
ทว่ายังไม่ทันรู้สึกตะลึงอย่างเต็มที่ ตรงบริเวณที่อาวุธปะทะกันเมื่อครู่ พลังอันรุนแรงก็พลันปะทุออกมา
เพล้ง—
ดาบโลหิตแตกสลาย และสิ่งที่ย้อนกลับมาคือพลังคมกล้าของศาสตราสังหารที่รุนแรงยิ่งกว่า ซึ่งได้ทำลายแขนทั้งท่อนของเขาจนแหลกเหลว
“เ้าก็ฝึก...วิชาดาบโลหิตด้วยหรือ?”
หัวใจของชุยเผิงเกิดคลื่นั์โหมกระหน่ำ
“อะไรกัน?”
พรูด—
โลหิตกระเซ็นไหลตามกระบี่เพลิงสีชาดลงมา
ชุยเผิงสิ้นใจอย่างสงบ
“แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปราณภายในแรกเริ่ม ในยามที่รุ่งเรืองที่สุด ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างนั้นรึ”
หลี่โม่ก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน ตอนนี้เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?
เมื่อครู่เขาก็แค่‘ฟันดาบธรรมดา’เท่านั้นเอง แต่กลับสังหารศัตรูที่เหนือกว่าได้อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ถูกต้อง เนื่องจากมีกายาศาสตราสังหาร ทำให้เมื่อลงมือ ก็จะมาพร้อมกับพลังคมกล้าของศาสตรา ที่สามารถทำลาย ‘ปราณ’ ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณภายในขั้นรวมปราณได้อย่างง่ายดาย
และในมือยังถืออาวุธลี้ลับอยู่ด้วย
เป็เงื่อนไขต่างๆ ที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าถึงได้ ทำให้เขาสามารถ ‘สังหารศัตรูที่เหนือกว่าได้อย่างรวดเร็ว’ เช่นนี้
“เดิมทีก็หวังว่าชุยเผิงจะช่วยให้ข้าได้ฝึกฝนการต่อสู้จริงบ้าง”
สหายหลี่น้อยส่ายหน้า กวาดตามองศพของอีกฝ่าย แล้วค้นหาในอกเสื้อ
อืม นี่เป็นิสัยที่เ้าของระบบในชาติที่แล้วเล่นเกมมากเกินไป จึงชอบค้นศพสัตว์ประหลาด
“ตั๋วเงิน...วิชาดาบโลหิต...ยาบำรุงกระดูก...”
ของส่วนใหญ่ที่พบบนตัวอีกฝ่าย เขาดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
วิชาดาบโลหิตที่ชุยเผิงยึดถือราวชีวิต ก็เป็เพียงวิชาการต่อสู้ระดับกลางเท่านั้น
ตั๋วเงินและยาเม็ด เขาก็ไม่ขาดแคลนอะไร
“นี่มัน...”
สหายหลี่น้อยพลันััได้ถึงวัตถุแข็งและแหลมคม
เมื่อพลิกออกมา ก็พบว่าเป็นกนางแอ่นเหล็กตัวหนึ่ง
วัสดุไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็เพียงเหล็กธรรมดาอย่างที่สุด แต่ตัวอักษรที่สลักอยู่บนนั้น มีเส้นที่คมกริบและเผยถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง
บนนั้นเขียนไว้ว่า
[นกนางแอ่นเมื่อครั้งเก่า จากจวนเ้าแลขุนนาง บัดนี้โบยบินพลาง มุ่งสู่บ้านเหล่าสามัญ]
“นกนางแอ่นหน้าจวนหอละอองฝน”
เป็สิ่งที่เคยได้ยินจากอาจารย์สาว ที่คุยเล่นให้ฟัง
หอละอองฝนเป็องค์กรที่ฉาวโฉ่ที่สุดในเก้าฟ้าสิบพิภพ
แม้กระทั่งพิธีเข้าร่วมก็ยังไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง
หาก้าเข้าร่วมหอละอองฝน เ้าจะไม่ได้เป็ฝ่ายสมัครเอง หากแต่พวกเขาจะมาหาเ้า
นกนางแอ่นเหล็กหนึ่งตัว หมายถึงพวกเขาได้มาหาเ้าแล้ว
ไม่ว่าเ้าจะเต็มใจหรือไม่ ก็ต้องเข้าร่วม ‘การทดสอบไร้สิ้นสุด’
สิ่งที่เรียกว่าการทดสอบไร้สิ้นสุด คือการกำหนดพื้นที่หนึ่งขึ้นมา แล้วให้ผู้ที่ถูกเลือกสังหารกันเอง
ผู้ที่รอดชีวิตมาได้เพียงไม่กี่คนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าหอละอองฝนได้
“การทดสอบไร้สิ้นสุดของหอละอองฝนจะมีที่เมืองจื่อหยางหรือ?”
สหายหลี่น้อยไม่ได้สนใจองค์กรประเภทนี้เท่าไหร่
รอให้เ้าหน้าที่ราชการมา แล้วส่งศพของชุยเผิงไปที่สำนัก เพื่อให้เหล่าผู้าุโพิจารณาจะดีกว่า
ขณะนั้นเอง
“อยู่ข้างหน้าโน่น!”
เสียงของขอทานน้อยดังขึ้น
และคนที่มาพร้อมกับเขาก็คือสองปู่หลานมู่หรงไห่และมู่หรงเซียว
มู่หรงเซียวเห็นว่าที่นี่ไม่มีเสียงอะไร จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็ไร สหายหลี่น้อยปลอดภัยดี”
มู่หรงไห่เป็ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตปราณญาณเทพ มีการรับรู้ที่แข็งแกร่ง
เขาััได้ว่าในตรอกหนีเจี่ยว มีเพียงลมปราณของสหายหลี่น้อยเท่านั้น
คิดว่าชุยเผิงคงจะหลบหนีไปแล้ว...
ความคิดยังไม่ทันจะจบลง เขาก็เห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าศพหนึ่ง กำลังพลิกนกนางแอ่นเหล็กในมือไปมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้