นางจ้าวรับกล่องมาเปิดออก กลิ่นหอมสดชื่นพุ่งขึ้นมาทันใดนางสูดหายใจลึกดมกลิ่นของมันหลายครั้งด้วยความเ็ปใจเหลือคณาสุดท้ายก็ยังจ้องมองอีกหลายหนก่อนจะหลับตาลงแล้วผลักเห็ดหลินจือเืให้แก่เหมยเซียง“ก่อนวันพรุ่ง เ้าคิดหาวิธีให้เห็ดหลินจือเืนี้แปดเปื้อนสิ่งที่ไม่ควรแปดเปื้อนแล้วแต่เ้าจะจัดการ ขอเพียงให้มันใช้ไม่ได้อีกเป็พอ”
เหมยเซียงเอื้อมมือออกไปรับ ดวงตาเผยความมืดมนเย็นเฉียบ“วางใจเถิดเ้าค่ะฮูหยินใหญ่ บ่าวจะจัดการเื่นี้เป็อย่างดีเ้าค่ะ”
“เป็องค์หญิงแล้วอย่างไรมีผู้ใดเคยเห็นปลาอยู่ห่างน้ำแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้บ้าง คิดจะบีบคั้นข้าก็ต้องดูเสียก่อนว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากมิใช่เพราะ้าสร้างบุญกุศลให้ลูกจะทำให้เ้าตายอย่างไร้ที่มาที่ไปก็มิใช่ว่าง่ายดายเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตายหรือไร”
นางจ้าวเอ่ยอย่างดุร้าย เมื่อพูดจบก็รู้สึกสาแก่ใจเหมือนได้ระบายความแค้นออกจากปากราวกับมองเห็นจุดจบของหลิ่วจิ้งอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ฮูหยินเ้าคะ พวกเราจะใช้วิธีแบบเดิมหรือไม่เ้าคะ…” เหมยเซียงยังพูดไม่จบก็เดินมาที่โต๊ะน้ำชาเอานิ้วแตะน้ำชาเล็กน้อยแล้วเขียนอักษรตัวหนึ่งบนโต๊ะ
นางจ้าวเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะน้ำชานางรู้ว่าเหมยเซียงคิดจะพูดสิ่งใด ตอนแรกนางส่ายหน้าแต่ภายหลังกลับยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจ แม้อาหนูที่แสนเ้าเล่ห์เพทุบายก็มิใช่ว่าไม่อาจตั้งท้องได้เพราะนางลงมือโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรอกหรือ
พอคิดถึงเื่นี้นางจ้าวก็แย้มยิ้มอย่างเบิกบานเมื่อเห็นว่าั้แ่กลับมาฮูหยินใหญ่ก็หน้าดำคร่ำเครียดดั่งเมฆดำแต่ตอนนี้กลับยิ้มออกมาได้แล้ว เหมยเซียงก็รู้สึกตัวเบาหวิว นายมีเกียรติบ่าวได้หน้า นายทุกข์ยาก บ่าวลำบาก นี่เป็หลักการแห่งฟ้าดิน
“ฮูหยินใหญ่เ้าคะเหตุใดจึงไม่อาจใช้วิธีที่ใช้กับท่านผู้นั้นกับฮูหยินเล่าเ้าค่ะอย่างไรเสียแม้ท่านแม่ทัพจะรักหลงเพียงใด ขอเพียงไม่อาจตั้งครรภ์บุตรของท่านแม่ทัพได้ก็มิใช่เป็เครื่องช่วยอุ่นเตียงชิ้นหนึ่งที่ไม่จำเป็ต้องหวาดกลัวหรอกหรือเ้าคะ?” เหมยเซียงเบะปากไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮูหยินใหญ่จึงไม่ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดแต่กลับต้องมาคอยคิดหาหนทางนานาเพื่อรับมือกับไม้ตายต่างๆ ที่ฮูหยินโยนมาใส่
“เ้ายังอ่อนเยาว์เกินไป วิธีเดียวกันไม่อาจนำมาใช้กับคนที่ต่างกันอย่าได้กลายเป็ว่าเชือดไก่ให้ลิงดูไม่สำเร็จแต่กลับไปพัวพันจนขุดคุ้ยเอาเื่แต่เก่าก่อนออกมาเสียเล่า หลักการเหล่านี้เ้าต้องเรียนรู้ให้มากเข้าไว้ต้องใช้วิธีใหม่กับคนใหม่ วิธีเดิมกับคนเดิม ลูกไม้เดียวกันใช้ได้เพียงคราเดียวเท่านั้น”นางจ้าวมองไปยังท้องนภามืดมิดนอกหน้าต่าง ไม่คิดจะพูดให้ละเอียดต่อไปอีก
“ไปเถิด ไปวางแผนให้ดีๆ อย่าให้คนมองสิ่งใดออก ข้าอยากพักผ่อนแล้วการใช้สมองก็เป็งานที่เหน็ดเหนื่อยนัก”
เหมยเซียงรออยู่ปรนนิบัติจนฮูหยินใหญ่นอนหลับไปเสียก่อน จึงค่อยยกกล่องเห็ดหลินจือเืออกไป
ไฟจากโคมไฟในหอหั่วเยี่ยนยังคงส่องสว่าง ทุกคนมีเื่ในใจเพียงแต่ไม่อาจเปิดอกพูดออกมาได้
แม้ว่าห้องครัวจะจัดเตรียมอาหารหลากหลายชนิดและทยอยยกเข้ามาเรื่อยๆทว่าหลังจากนางจ้าวกลับไปไม่นานนัก หลิ่วจิ้งก็เป็คนแรกที่วางตะเกียบลงไม่กินต่อ
หั่วอี้เห็นดังนั้นจึงสั่งให้เด็กรับใช้เข้ามาจัดเก็บอาหารไปเสีย
“นายกองเฉิน คืนวานเป็ท่านที่ไปถึงที่เกิดเหตุเป็คนแรก ท่านพูดมาก่อนว่างานค้นหามีความคืบหน้าเช่นใด”
เมื่อหั่วอี้คิดถึงเื่นี้จิตใจก็ร้อนรุ่มเป็ไฟสุมเมื่อครู่เขาเอาแต่คำนึงถึงสุขภาพของหลิ่วจิ้งจึงอดทนทานอาหารให้เสร็จก่อนค่อยเอ่ยถึงเื่นี้ในภายหลัง หากว่ากันตามนิสัยเขานับั้แ่เห็นนายกองเฉินมาที่จวนเขาก็ต้องเอ่ยปากสอบถามไปแล้ว
เมื่ออีกสามคนที่เหลือในห้องเห็นหั่วอี้เอ่ยถึงเื่งานขึ้นมาทุกคนจึงพากันนั่งตัวตรง อาเหมิ่งต๋าเองก็ยังเก็บท่าทีไม่แยแสโลกของเขากลับไปด้วย
“เรียนท่านแม่ทัพเมื่อคืนข้าน้อยนำพี่น้องในทัพอวี่หลินค้นหาปูพรมทั้งสี่ทิศของศาลเ้าร้างออกไปไกลร้อยลี้แต่จนใจนักที่ทางซ้ายด้านหลังของศาลเ้าร้างนั่นเป็ทางที่ทะลุไปยังเขาอวิ๋นเซียวได้
เขาอวิ๋นเซียวมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดปีเป็เหตุให้เขาทั้งลูกซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางไอหมอกที่ไม่เคยสลายตัวหากพวกโจรหนีเข้าไปหลบในเขาอวิ๋นเซียว ต่อให้ใช้กำลังของทัพอวี่หลินทั้งแคว้นก็ยังจนปัญญาขอรับ
ตามความเห็นของข้าน้อยนั้นพวกโจรคงจะซ่อนตัวอยู่ภายในเขาอวิ๋นเซียว ด้วยเหตุนี้ก่อนข้าน้อยจะกลับมาจึงจัดกำลังคนเฝ้าอยู่ที่ศาลเ้าร้างต่อไปส่วนพี่น้องที่ออกไปค้นหาก็ให้แยกย้ายกันกลับไปก่อนขอรับ”
นายกองเฉินรายงานผลการทำงานทั้งวันของเขาต่อหั่วอี้เขาอดจะก้มหน้าลงไม่ได้เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาทำงานล้อมจับล้มเหลวมากที่สุดนับั้แ่เขารับตำแหน่งนายกองมา
“หมายความว่าไม่เป็ผล” แววตาดั่งลูกไฟของหั่วอี้จ้องเขม็งไปยังนายกองเฉินกำลังคิดจะเอ่ยปากตำหนิ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่อ่อนล้าอย่างหนักของนายกองเฉิน เขาก็ล้มเลิกความคิดจะไล่เรียงถามต่อนั้นเสีย
หั่วอี้หันหน้าไปอีกทางแล้วใช้แววตาจริงจังยามจัดการเื่งานจ้องไปยังอาเหมิ่งต๋าทำเอาอีกฝ่ายใจเต้นตูมตามขึ้นมา
เขาไม่รอให้หั่วอี้ออกปาก ก็รีบอ้าปากพูดก่อน “พี่ใหญ่เมื่อคืนหลังท่านออกไปจากจวนน้องชายเช่นข้าก็ตีฆ้องร้องเป่าแจ้งเหล่าทหารป้องกันเมืองทุกหน่วยให้ปิดกั้นทั้งเมืองเอาไว้คอยตรวจสอบทุกคนที่ยังอยู่นอกเรือน เพียงแต่ทางฝั่งของข้าก็เหมือนกับ นายกองเฉินยังไม่ได้เบาะแสใดเลย”
คดีนี้ดูคล้ายยุ่งยาก แต่ปรากฏว่ากลับรายงานเสร็จสิ้นได้ในไม่กี่คำหั่วอี้พลันปรากฏแววดุดันบนใบหน้า
“ที่แท้เป็พวกใดกัน ถึงขั้นกล้ามาลงไม้ลงมือในเขตอิทธิพลของข้าชาวบ้านสถุลในแคว้นเล็กๆ ที่ถูกข้าเอาเกือกม้าเหล็กย่ำจนราบคาบพวกนี้ เห็นทีว่าข้าคงจะใจกว้างกับพวกมันเกินไปเสียแล้ว
หากรู้แต่แรก ข้าก็ควรจะสังหารมันให้หมดเสียั้แ่ตอนนั้น”
หั่วอี้กำมือทั้งคู่แน่น ก่อนทุบโต๊ะไปหมัดหนึ่งจนเป็รูใหญ่
หลิ่วจิ้งจดจ้องไปยังหั่วอี้ด้วยแววตาสุกใสเป็ประกาย นึกแอบยินดีอยู่ในใจเพราะสิ่งที่นาง้าก็คือความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ของหั่วอี้ดวามดุดันด้วยความร้อนใจนางคล้ายมองเห็นความเป็ไปได้ที่นางจะใช้สอยหั่วอี้ได้แล้ว
หลิ่วจิ้งแย้มยิ้ม ดวงตาดำขลับแวววาวด้วยประกายเฉียบแหลม
“ท่านแม่ทัพ เื่นี้นับว่าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ”นางเอ่ยไปคำหนึ่งแล้วหยุดพูด
เมื่อพวกของหั่วอี้ล้วนหันเหความสนใจมาที่ตัวหลิ่วจิ้งนางจึงพูดต่อว่า “หลังจากเื่นี้ผ่านไปข้าก็คิดมาตลอดว่าการที่พวกเราออกไปเมื่อวานเป็การตัดสินใจ ณ เวลานั้น โดยเฉพาะที่ข้ากลับจวนมาเพียงผู้เดียวในยามกลางคืนก็ยิ่งเป็สิ่งที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อน จึงไม่มีใครล่วงรู้”
เมื่อหลิ่วจิ้งเอ่ยถึงตรงนี้ก็จงใจหยุดพูดก่อนจะหันมองหั่วอี้อย่างมีความนัยอื่นจ้องเขม็งไปที่หั่วอี้จนเขาใจเต้นเป็กลองลั่น กระสับกระส่ายราวกับทำความผิดมายามนี้เขาััถึงคำว่า ‘สตรีเท่านั้นที่คือสัจธรรมแห่งความทุกข์’ ได้อย่างล้ำลึกนัก
“จากนั้นเล่า องค์หญิงรีบพูดออกมาสิ อย่าเอาแต่จู่ๆ ก็หยุดพูดเช่นนี้มิใช่ทำให้พวกข้ารอหน้ารอหลังอย่างร้อนใจหรอกหรือ?” คนใจร้อนเช่นอาเหมิ่งต๋าจะทนให้หลิ่วจิ้งเอาแต่หยุดพูดครึ่งๆ กลางๆน่าทรมานใจเช่นนี้ได้อย่างไร
หลิ่วจิ้งมองอาเหมิ่งต๋า เอ่ยไปเรียบๆ ว่า“ข้าตัดสินใจกลับจวนอย่างปัจจุบันทันด่วน เช่นนั้นแล้วเด็กรับใช้สี่คนที่รออยู่ริมแม่น้ำมีเพียงสองคนที่เอาตัวข้าไปเท่านั้นที่มีปัญหาหรือพวกเขาทั้งสี่คนล้วนมีปัญหาทั้งหมด
แล้วพวกมันแจ้งต่อนายของพวกมันว่าให้ไปพบกันที่ศาลเ้าร้างอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
ซึ่งวิธีการส่งข่าวสารที่ใหม่และรวดเร็วที่สุดของแคว้นชางอี้ในตอนนี้ก็คือพิราบสื่อสาร”
“วิธีนี้ใช้ไม่ได้” หลิ่วจิ้งเพิ่งเอ่ยถึงพิราบสื่อสารอาเหมิ่งต๋าก็ขัดคำขึ้นมาอย่างได้ใจ “ภายใต้การควบคุมดูแลของข้าอาเหมิ่งต๋าพิราบสื่อสารทางอากาศใช้สำหรับงานที่สำคัญเท่านั้น ในเมืองต้าอี้นอกจากพิราบสื่อสารของทางการ ก็ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านทั่วไปมีพิราบสื่อสารของตนเองได้หากพบเห็นล้วนสังหารไม่ให้เหลือ”
คำพูดของอาเหมิ่งต๋าทำให้หลิ่วจิ้งต้องใคร่ครวญนี่เป็ข้อมูลที่ได้มาอย่างไม่คาดคิด เห็นทีว่านางจะต้องรีบคุ้นเคยกับจารีตธรรมเนียมของแคว้นชางอี้ให้เร็วสักหน่อยหาไม่แล้วหากคิดลอบทำการใด และทำไปโดยไม่มีความรู้ก็จะเสียแรงเปล่า
“ใช่แล้วฮูหยิน อาเหมิ่งต๋าพูดถูกต้องนักประเด็นนี้สามีเห็นพ้องกับความเห็นของอาเหมิ่งต๋าว่าต้องไม่ได้ส่งข่าวด้วยการใช้พิราบสื่อสารแน่”
“พูดมาดังนี้ เช่นนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดไปในทิศทางอื่นเช่นต้องขอให้ท่านแม่ทัพตรวจสอบเด็กรับใช้และสาวใช้ทุกคนในจวนแม่ทัพชนิดเรียงตัวเป็ดีเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งรู้ว่าในสายตาของบรรดาผู้เชี่ยวชาญการรบมานานปีตรงหน้านางนี้นางก็เป็เพียงขนนกบางเบา แต่นางเชื่อว่าขอเพียงนางลองโยนหินถามทางย่อมทำให้พวกเขาคิดวิธีในลำดับต่อไปได้
นางไม่ควรแสดงท่าทีเก่งกาจเกินไปต่อหน้าหั่วอี้จะดีกว่าก่อนที่นางจะรู้ใจของหั่วอี้อย่างถ่องแท้ ไม่ว่าใครก็มิอาจเชื่อถือได้ทั้งสิ้นนี่คือสิ่งที่นางคิดได้หลังจากต้องเผชิญกับฝันร้ายมาเมื่อคืน
_____________________________
