เมื่อได้ยินคำว่าคิดเงิน เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแย้มพร้อมกับรีบวิ่งมาที่โต๊ะหนิงมู่ฉือ “แม่นาง ทั้งหมดหนึ่งตำลึงสองเฉียนขอรับ!” แม้หมูอบนางจะไม่ได้แตะเลย แต่นางก็สั่งมาจึงต้องจ่ายเงินสำหรับค่าอาหารจานนี้ด้วย
“แม่นาง ขาหมูอบของร้านเราไม่ถูกปากแม่นางหรือ เหตุใดแม่นางถึงไม่ทาน หากเป็ลูกค้าท่านอื่นป่านนี้เหลือแต่กระดูกไปแล้ว!”
เสี่ยวเอ้อร์มองอาหารอีกสองจานที่เหลือซึ่งเหลือแต่จานว่างเปล่า มีแค่ขาหมูอบเท่านั้นที่ยังเต็มจาน ไม่มีร่องรอยของการแตะต้อง
“ไม่ใช่ คือ ข้า…” ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจบ เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ข้ารู้แล้ว แม่นาง้าจะห่อกลับไปทานที่บ้านใช่หรือไม่ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวข้านำไปห่อให้!”
ทว่าเสี่ยวเอ้อร์ของร้านยังไม่ทันได้ยื่นมือไปหยิบจานขาหมูอบขึ้นมาก็ถูกนางเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน
“เสี่ยวเอ้อร์ ขาหมูอบของร้านเ้าต้มไว้นานเกินไป เนื้อเละหมดแล้ว ข้าก็เลยไม่ได้ทาน ข้าไม่ได้้าจะว่าเ้า ที่ข้าไม่แตะต้องอาหารจานนี้เพราะข้าใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาไม่ได้ หากไม่รังเกียจ เ้าเก็บไว้เป็อาหารกลางวันเถิด”
หนิงมู่ฉือวางเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ทิ้งเสี่ยวเอ้อร์ที่มีสีหน้างุนงงไว้ข้างหลัง เขาไม่ใช่พ่อครัวและไม่ใช่คนที่รู้เื่อาหาร จึงไม่เข้าใจที่ลูกค้าเมื่อสักครู่พูด รู้เพียงว่ามันอร่อย และเพียงแค่รู้สึกว่าคนที่สามารถวิจารณ์อาหารแนะนำของโรงเตี๊ยมของเขาต้องเป็คนที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ
หนิงมู่ฉือเดินเล่นอยู่บนถนน เวลานี้เองที่สายตานางเหลือบไปเห็นเสี่ยวมู่จือที่กำลังซื้อของอยู่ เสี่ยวมู่จือคือคนที่ทำหน้าที่ซื้อของให้ห้องเครื่องในวังหลวง นับได้ว่าเป็คนดีและซื่อสัตย์คนหนึ่ง ไม่เอาเปรียบพ่อค้าและไม่เอาเปรียบวังหลวง จะซื้อแต่วัตถุดิบที่สดใหม่เท่านั้น ตอนเข้าไปทำอาหารในวัง หากไม่มีวัตถุดิบที่นาง้า นางก็จะขอให้คนผู้นี้ออกมาซื้อของให้นางอยู่บ่อยๆ
“เสี่ยวมู่จือ บังเอิญเหลือเกิน!” ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอคนรู้จักซึ่งทำงานในวัง นางจึงเดินเข้าไปทักทาย
“อ้าว แม่นางหนิง บังเอิญเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าข้าออกมาซื้อของจะได้เจอท่าน หมู่นี้เหตุใดท่านถึงไม่ไปที่ห้องเครื่องเลยเล่า พวกขันทีพ่อครัวต่างคิดถึงท่านกันทุกคน ท่านไม่เข้าวังไปเยี่ยมพวกเขาบ้างเลย”
นางได้ฟังก็คิดในใจว่าจริงด้วย ก่อนหน้านี้นางไปอยู่ที่เยี่ยนฉืออยู่พักใหญ่ พอกลับมาก็ไม่ได้เข้าไปในวังเลย เป็เวลานานแล้วที่นางไม่ได้เจอขันทีพ่อครัวเ่าั้
“ช่างเถิด พวกเขาไม่ได้คิดถึงข้าหรอก คิดถึงฝีมือการทำอาหารของข้ามากกว่า”
นางกล่าวอย่างล้อเล่น หากแต่เื่นี้ก็เป็เื่ที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แม้ก่อนหน้านี้บรรดาขันทีพ่อครัวจะกลั่นแกล้งนางสารพัด ทว่าตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนมาเป็เคารพนับถือและเลื่อมใสในตัวนางแล้ว แต่ให้บอกว่าสนิท มันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น
“พวกเขาย่อมต้องคิดถึงแม่นางอยู่แล้ว!” เสี่ยวมู่จือสมกับเป็คนในวัง แม้จะเป็คนดีซื่อสัตย์ ทว่าเื่การพูดการจา คนที่อาศัยอยู่นอกวังก็ยังเทียบไม่ได้ เื่พูดเอาใจต้องยกให้คนในวัง
“ฮ่าๆ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรทำพอดี สามารถเข้าวังไปที่ห้องเครื่องได้ นานแล้วที่ข้าไม่ได้ไปที่นั่น ข้าเองก็คิดถึงบรรยากาศตอนทำอาหารในห้องเครื่องในวังเช่นกัน” ประโยคนี้นางไม่ได้โกหก ที่นั่นคือห้องครัวในวังหลวง คือสถานที่ที่ทำอาหารให้ฮ่องเต้เสวย ย่อมไม่มีห้องครัวแห่งใดจะเทียบได้อยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย เช่นนั้นแม่นางโปรดรอสักครู่ ข้าซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้วจะพาแม่นางไปที่ห้องเครื่อง” โอกาสที่ดีเช่นนี้นางไม่พลาดแน่นอน หากนางเข้าวังเอง จะต้องมีการตรวจสอบฐานะของนางเสียก่อน ซึ่งถ้าเป็เช่นนั้นนางได้แย่แน่
“พวกเราไปซื้อของพร้อมกันเถิด ข้าจะได้เปิดหูเปิดตาด้วยว่าห้องเครื่องเลือกซื้อวัตถุดิบอย่างไร” เสี่ยวมู่จือยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
หนิงมู่ฉือเดินตามเสี่ยวมู่จือ ซึ่งด้านหลังมีคนเดินตามอีกที เพื่อทำหน้าที่ถือของโดยเฉพาะ ห้องเครื่องต้องใช้วัตถุดิบมากมาย เพราะในวังมีคนมากมาย เช่นนั้นพาคนออกมาช่วยถือของแค่สองคนใช่ว่าจะช่วยถือของได้หมด
“เถ้าแก่ เอาหัวไชเท้าสองเข่ง เอาที่สวยๆ นะ ไม่เอาที่มีราก” นางคิดในใจว่า อีกฝ่ายสมกับเป็ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกซื้อผัก รู้ดีว่าต้องเลือกผักอย่างไร
หัวไชเท้าที่มีรากหมายความว่าเก็บเอาไว้นานแล้ว จึงมีรสชาติไม่ดี ไม่ควรนำมาทำอาหาร
“เสี่ยวมู่จือ ท่านจะไม่ถามราคา ไม่ต่อราคาก่อนหรือ” เวลามาซื้อของแม้จะใช้เงินของวังหลวง เมื่อไม่ใช่เงินของตัวเองจึงไม่ต้องรู้สึกเสียดาย แต่ถ้าซื้อของได้ในราคาที่ถูก เงินที่เหลือก็สามารถเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองได้ เื่แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็เื่ธรรมดาที่พบเห็นได้บ่อยหรอกหรือ
ภายในวัง หากคนในวังไม่ใช้วิธีโกงเล็กๆ น้อยๆ นี้มันจะไม่ดูแปลกหรือ
“แม่นางหนิงคงไม่รู้ วัตถุดิบในห้องเครื่องล้วนซื้อจากร้านที่มีการตกลงเอาไว้ก่อนแล้ว หนึ่งคือเพราะเห็นว่าวัตถุดิบของร้านนั้นมีคุณภาพดี สองคือหากตรงกลางระหว่างสองฝั่งมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะรู้ได้ง่ายว่าเป็ฝีมือของผู้ใด”
พอนางลองคิดตาม ก็คิดว่ามีเหตุผลเหมือนกันนะ หากมีคู่ค้าที่ซื้อกันเป็ประจำ การซื้อขายก็จะสะดวกสบายขึ้นมาก
“เช่นนั้น้าซื้อผักเท่าไหร่ จินละเท่าไหร่ ข้ารู้ดี หากของขึ้นราคา เถ้าแก่ก็จะบอกข้าเอง พวกเราไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นไม่ใช่หรือ” เสี่ยวมู่จือมองเถ้าแก่เ้าของร้านเลือกผักไปพลางพูดให้นางฟังไปพลาง
การเลือกซื้อของใช้เวลาไม่นาน แต่ก็ทำให้นางได้เรียนรู้อะไรมากมาย ขันทีที่เดินตามอยู่ด้านหลังเข็นรถเข็นตามอย่างเงียบๆ จนไปถึงวังหลวง
ประตูที่ใช้เข้าวังเพื่อเข้าไปในห้องเครื่องเป็ประตูบานเล็กๆ แม้จะมีองครักษ์เฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดเท่าประตูใหญ่ องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจำเสี่ยวมู่จือได้ ทุกครั้งที่เข้าออกเสี่ยวมู่จือมักจะมีของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้องครักษ์เสมอ เรียกได้ว่าสนิทกันพอสมควร
“พี่มู่ คนผู้นี้คือ…” สำหรับองครักษ์แล้ว หนิงมู่ฉือถือได้ว่าเป็คนแปลกหน้า จะถามก็ไม่แปลก
“คนผู้นี้คือเทพแม่ครัวที่ฝ่าาพระราชทานฉายาให้ด้วยพระองค์เอง แม่นางหนิง...หนิงมู่ฉือ ข้าเจอนางข้างนอกจึงพานางมาด้วย”
ครั้นองครักษ์ทั้งสองได้ยินว่าหนิงมู่ฉือคือเทพแม่ครัว แม้จะไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน ทว่าเื่นี้ก็เป็ที่รู้กันไปทั่วทั้งวังหลวง ประกอบกับเสี่ยวมู่จือมีนิสัยเช่นไร องครักษ์ทั้งสองคนรู้ดี จึงไม่ได้ตรวจค้นตัวนาง ปล่อยให้เข้าไปในวังได้โดยง่าย
นางไม่คิดว่าเลยตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ แม้แต่ทหารองครักษ์ที่เฝ้าประตูก็ยังรู้จัก
“เสี่ยวมู่จือ เหตุใดทางเข้าเส้นนี้ถึงได้เงียบเชียบนัก” ก่อนหน้านี้เวลานางเข้าวังไปที่ห้องเครื่องมักจะใช้ถนนเส้นหลัก ถนนเส้นเล็กๆ ทั้งยังอยู่ห่างไกลสายนี้นางไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งรอบๆ ยังเงียบร้างไร้ผู้คนอีกด้วย
“นี่เป็เส้นทางที่คนในห้องเครื่องใช้กัน เป็เส้นทางสำหรับให้คนที่อยู่ในห้องเครื่องออกไปซื้อของโดยเฉพาะ ถนนเส้นนี้จึงเงียบไร้ผู้คน”
นางพยักหน้ารับรู้ ขณะที่ในใจจดจำถนนเส้นนี้เอาไว้ หากวันหน้านางอยากเข้ามาหาหลักฐานในวังจะได้สะดวก