หลินหวั่นชิวอาศัย่ที่คนจากร้านเครื่องเรือนยังอยู่มาขอให้พวกเขาช่วยยกเข้าห้อง นางวางแผนไว้ั้แ่ตอนซื้อแล้วว่าห้องไหนจะวางสิ่งใด
ห้องที่ประตูใหญ่ใส่เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว กล่องไม้สองใบ นี่คือของสำหรับยายสวี
ส่วนเรือนข้างซ้ายขวาใส่เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือและกล่องสองใบ
ห้องของนางเองเช่นกัน แต่แค่ไม่มีชั้นหนังสือ เช่นเดียวกับห้องของเจียงหงหย่วน
เรือนประธานมีสามห้อง ตรงกลางเป็ห้องโถง ตามแผนที่หลินหวั่นชิววางไว้ ห้องที่ขนาบห้องโถงซ้ายขวาคือห้องของนางกับเจียงหงหย่วนคนละห้อง
เครื่องเรือนด้านในเหมือนกันหมด แต่ห้องของนางกับเจียงหงหย่วนขาดชั้นหนังสือและกล่องไม้เท่านั้น
นั่นเพราะหลินหวั่นชิวรู้สึกว่าเจียงหงหนิงกับเจียงหงป๋อน่าจะอยู่ที่นี่อีกนาน หลังจากบ้านในหมู่บ้านสร้างเสร็จ เกรงว่านางกับเจียงหงหย่วนจะอยู่ที่หมู่บ้านมากกว่า สิ่งใดที่ไม่จำเป็ต้องเพิ่มในบ้านเช่าก็ไม่เพิ่ม
ของที่หลินหวั่นชิวซื้อทยอยกันมาส่ง ของจากร้านผ้าถูกห่อด้วยผ้าฝ้ายหยาบ เป็ห่อผ้าขนาดใหญ่หลายใบ หากไม่เปิดออกก็ไม่มีทางรู้เลยว่าด้านในมีสิ่งใด
หลินหวั่นชิวให้คนส่งของยกของเข้าไปในห้องนางเลย วางแผนว่าเจียงหงหย่วนไปบ่อนแล้วนางจะทำของที่จำเป็ต้องใช้ด้วยห้องหัตถการบนเสียนอวี๋ จากนั้นค่อยบอกว่าซื้อมาแบบสำเร็จรูป
หลังเสร็จงาน หลินหวั่นชิวให้เจียงหงหย่วนออกไปซื้ออาหารกลับมา วิ่งวุ่นมาทั้งครึ่งเช้า นางเองก็เหนื่อยแล้ว อีกอย่าง กระทะใบใหม่ต้องใช้มันหมูมาเคลือบก่อนจึงจะใช้ได้ และตอนนี้นางก็ไม่มีแรงมาทำเช่นกัน
“คืนนี้ท่านจะกลับมากินข้าวที่บ้านหรือไม่? หรือจะกินที่บ่อน?” กินข้าวเที่ยงเสร็จ หลินหวั่นชิวถามเจียงหงหย่วนก่อนเขาออกจากบ้าน
“ตอนบ่ายเ้าต้องเก็บบ้าน ไม่ต้องทำมื้อเย็น เดี๋ยวข้าซื้อกลับมา” เจียงหงหย่วนพูด
หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าคำพูดเขาฟังดูแปลกๆ เจียงหงหย่วนเดินจากไปไกลแล้วถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขาแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ไม่ใช่คำว่า ‘เหล่าจือ’[1]
เหอะ บุรุษบึกบึนผู้นี้คงลืมวางมาดล่ะสิ
“ยายสวี ท่านช่วยทำความสะอาดเรือนข้างซ้ายขวา ข้าจะกลับห้องไปจัดการผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้ปู”
“เ้าค่ะ ไท่ไท่” ยายสวีรีบตอบด้วยความเคารพ ตอนเที่ยงนางได้กินซาลาเปาไส้เนื้อหลายลูก ครอบครัวเ้านายคนก่อนไม่ได้ใจกว้างเช่นนี้ พวกนางทำงานเหน็ดเหนื่อยทั้งวันแต่ก็ได้กินแค่สองมื้อ ไม่มีทางได้เห็นเนื้อสัตว์หรือน้ำมัน
นางเห็นคุณค่าในโอกาสที่ได้มาแบบไม่ง่ายครั้งนี้มาก ตั้งมั่นว่าจะทำให้ดี ไม่ให้ครอบครัวเ้านายรังเกียจและนำไปขายอีก
แม้หลินหวั่นชิวจะเป็คนยุคปัจจุบัน มีความคิดแบบยุคปัจจุบัน แต่นางรู้จักคำว่าเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม การวิจารณ์ว่าสังคมศักดินาไม่ดีในยุคที่เป็สังคมศักดินาเช่นนี้ หากไม่มีอำนาจ ไม่เป็คนบ้าก็คงอยากตายเร็ว
ดังนั้นนางจึงมองว่าการซื้อคนเป็การช่วยเหลือผู้คน ไม่ได้รู้สึกแย่กระไร
อีกอย่าง นางดีกับบ่าวใช้ ในบางความหมายก็ถือว่าเป็การทำความดี
หลินหวั่นชิวปิดประตูห้อง โยนปุยฝ้ายกับเส้นด้ายเข้าไปในห้องหัตถการบนเสียนอวี๋ เพียงพริบตาก็ทำไส้ในฝ้ายออกมาสิบห้าผืน
นางโยนผ้าสีต่างๆ เข้าไปต่อ แค่ครู่เดียว ผ้าปูที่นอนสิบผืนก็เสร็จสิ้น
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ผ้าผืนใหญ่อย่างผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ไปจนถึงของชิ้นเล็กอย่างเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ผ้าปูโต๊ะและผ้าม่านก็เสร็จเรียบร้อยหมด!
หลินหวั่นชิวปูห้องตัวเองให้เรียบร้อยก่อน นางเลือกเศษผ้าสีชมพูมาทำของตัวเอง ปูบนเตียงแล้วช่างอบอุ่นสวยงาม ปูโต๊ะหนังสือริมหน้าต่างกับตู้ที่หัวเตียงด้วยผ้าปูโต๊ะที่ย้อมเป็สีฟ้า
นางวางชุดน้ำชาลายครามชุดหนึ่งไว้บนตู้หัวเตียง บนโต๊ะวางนิยายหนึ่งชุดกับสี่ตำราห้าคัมภีร์
ให้บรรยากาศสงบเหมือนชนบท นางชื่นชอบมาก
จัดห้องตัวเองเสร็จเรียบร้อย หลินหวั่นชิวเรียกให้ยายสวีมารับส่วนของนางไป สอนยายสวีว่าต้องใส่ไส้ผ้านวมอย่างไรเสร็จก็มอบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนซักสองชุดให้ บอกให้นางไปอาบน้ำแล้วใส่ชุดใหม่ โยนชุดเก่าทิ้งไป
ยายสวีซาบซึ้งจนน้ำตาไหล บอกว่านายหญิงเป็คนดี คนดีต้องได้ดีเป็แน่
หลินหวั่นชิวฟังแล้วก็ยิ้ม ไม่ได้คุยกระไร
นางปูในห้องเจียงหงหย่วนให้ด้วยตัวเอง ให้ยายสวีช่วยปูให้ห้องสองพี่น้องหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
หลังเสร็จงาน หลินหวั่นชิวนอนหลับบนเตียงไปงีบหนึ่ง ผ้านวมใหม่ ที่นอนใหม่ ซุกตัวแล้วทั้งนุ่มทั้งอุ่น สบายจนหลินหวั่นชิวฮัมเพลงเบาๆ
หลังตื่นนอน หลินหวั่นชิวบอกให้ยายสวีใช้มันหมูเคลือบกระทะที่ซื้อมาใหม่ ส่วนตัวเองออกจากบ้านไปสถานศึกษาชิงซง คนเฝ้าประตูเห็นนางมาก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “สะใภ้น้อยมาหาน้องชายอีกแล้วหรือ?”
นางมอบห่านย่างหนึ่งตัวที่ซื้อระหว่างทางให้คนเฝ้าประตู ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ข้ามีเื่อยากถามท่านพอดี ครอบครัวพวกเรามีที่อยู่ในอำเภอแล้ว อยากรับเขากลับมาอยู่บ้าน ไม่ทราบว่าต้องไปติดต่อผู้ใด?”
คนเฝ้าประตูรับห่านย่าง ยิ้มกว้างจนหน้าบาน ตอบอย่างประจบว่า “โอ้ นี่เป็เื่ดี ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะพาไปดำเนินการ!”
ด้วยความช่วยเหลือจากคนเฝ้าประตูที่กระตือรือร้น ช่วยหลินหวั่นชิวดำเนินการให้เจียงหงหนิงเป็นักเรียนไปกลับเสร็จเรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว
เจียงหงหนิงเลิกเรียนออกมาเห็นหลินหวั่นชิวรออยู่ด้านนอกก็ดีใจจนเกือบะโโลดเต้น
“พี่สะใภ้!” พี่สะใภ้มาหาเขาอีกแล้ว ความรู้สึกที่ถูกคิดถึงช่างมีความสุขเหลือเกิน
“หงหนิง ไป พวกเรากลับบ้านกัน” หลินหวั่นชิวยิ้มให้เขา ขณะเดียวกันก็รับเครื่องนอนที่ห่อเรียบร้อยแล้วจากคนเฝ้าประตู นี่คือของที่คนเฝ้าประตูพาหลินหวั่นชิวไปเก็บจากหอพัก
เจียงหงหนิงเห็นชุดเครื่องนอนในมือหลินหวั่นชิวก็ใ รีบถามว่า “พี่สะใภ้ ไหนท่านว่าจะมารับข้าในวันที่เก้าล่ะขอรับ เกิดกระไรขึ้นที่บ้านหรือไม่?” ไม่เช่นนั้น เหตุใดเพิ่งจ่ายค่าเล่าเรียนไปก็จะไม่ให้เขาเรียนหนังสือเสียแล้ว
หรือว่าเอ้อร์เกอป่วยหนัก?
เจียงหงหนิงไม่มีความคิดว่าหลินหวั่นชิวเสียดายเงินผ่านเข้ามาในหัวแม้แต่เสี้ยวเดียว
“ใช่ เกิดเื่ที่บ้านแล้ว แต่เป็เื่ดี ถือของไว้ พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทาง” หลินหวั่นชิวยัดของในมือให้เจียงหงหนิง พาเขาเดินกลับไปทางบ้าน
“เื่ดีกระไรหรือขอรับ?” ได้ยินหลินหวั่นชิวบอกว่าเป็เื่ดี ความกังวลบนหน้าเจียงหงหนิงก็จางลง เปลี่ยนเป็ความสนใจ
“พวกเราเช่าบ้านในอำเภอแล้ว พี่สะใภ้เก็บกวาดเรียบร้อย ต่อไปนี้เ้าเรียนหนังสือเสร็จจะได้กลับมานอนที่บ้าน ไม่ต้องนอนเบียดกับผู้อื่นในสถานศึกษา ผู้อื่นจะได้ไม่รบกวนเ้า หากต้าเกอเ้าเลิกงานดึกก็ไม่ต้องตากน้ำค้างกลับไปที่หมู่บ้านเช่นกัน นอนที่อำเภอไปเสีย”
เชิงอรรถ
[1] เหล่าจือ(老子) คำเรียกแทนตัวเองด้วยความภาคภูมิ
