บทที่ 82 หยางเจิ้นจอมเผด็จการ
ภายในรถหรูคันหนึ่ง
เย่จื่อเฉินนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ โคลงไวน์ราคาแพงในมือไปมา
ตรงข้ามกับเขามีชายวัยกลางคนหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งเขาก็คือหยางเจิ้น พ่อของหยางอี้ฉือ
“คุณลุงหยาง เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
เย่จื่อเฉินเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ หยางเจิ้นเงยหน้าขึ้นในดวงตาสีขุ่นสลักไว้ด้วยความเฉียบคมที่คนไม่กล้าสบตาตรงๆ
“ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่เราก็ไม่จำเป็ต้องเจอกันแล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ?”
เย่จื่อเฉินไม่ตอบอะไรกับคำพูดของหยางเจิ้น
“บอกตามตรงเลยนะครับ ผมก็ไม่อยากเจอคุณเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าคุณจะเป็ฝ่ายติดต่อผมมาเองนะครับ” มุมปากของเย่จื่อเฉินประดับไว้ด้วยรอยยิ้มคลุมเครือจางๆ ยกมือขึ้นเคาะขี้บุหรี่ลงไปในแก้วไวน์ราคาแพง แล้วพูดขึ้น “คุณลุงหยางครับ ครั้งนี้คุณจะพูดอะไรกับผมอีกครับ?”
“นายไม่ควรเจอกับหยางอี่ฉืออีก”
“ผมก็ไม่ได้อยากเจอนี่” เย่จื่อเฉินเม้มปากยิ้มแล้วพูด “ผมก็หวังว่าเธอจะมีชีวิตใหม่เหมือนกัน”
“แต่นายทำลายมัน!”
ในดวงตาของหยางเจิ้นวาววับขึ้นมา แต่มันกลับแรงกล้าจนยากที่จะสบตาตรงๆ
กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก เย่จื่อเฉินเงยหน้าขึ้นหัวเราะให้เขา
“แล้วคุณคิดจะทำยังไง?”
“นี่เป็เช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านหยวน…”
“หา?”
ในทันทีที่หยางเจิ้นควักเช็คออกมา เย่จื่อก็ยิ้มขำ
สามปีก่อน หยางเจิ้นก็ใช้เช็คนี้ทำลายศักดิ์ศรีของเขาจนป่นปี้มาแล้ว
สามปีต่อมา สถานการณ์เดียวกัน คำพูดแบบเดียวกัน เช็คเงินสดแบบเดียวกัน
“คุณลุงหยางครับ เพราะเห็นแก่หน้าอี่ฉือหรอกนะครับ ผมถึงได้เรียกคุณว่าลุง”
เย่จื่อเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก ในดวงตาแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันจางๆ
“คุณคิดว่าเงินสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เงินทำได้ทุกอย่างใช่ไหมครับ?”
หยางเจิ้นหน้านิ่งขรึม ใช้สายตาอันแหลมคมของเขาจ้องมองเย่จื่อเฉินเขม็ง แต่ที่เขาได้รับกลับมากลับเป็คำพูดเยาะเย้ยถากถาง
“คุณหวังดีกับอี่ฉือจริงๆ เหรอครับ คุณกำจัดคนที่ตามจีบเธอ เมื่อเธอโตเป็ผู้ใหญ่ก็จะต้องก้าวเข้าสู่การแต่งงานที่คุณกำหนดเอาไว้ให้เธอ ใช้ชีวิตเป็ภรรยาผู้สูงส่งที่คนธรรมดาทำได้แค่แหงนหน้ามอง คุณคิดว่านี่คือความสุขที่คุณมอบให้เธอใช่ไหม?”
“ตลกชะมัด ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือคุณไม่้าให้อี่ฉือลำบากไปตลอดชีวิต แต่ถ้าพูดจริงๆ คุณก็แค่ให้แต่งงานเพื่อธุรกิจ เพื่อให้กิจการของคุณก้าวหน้าขึ้นไปอีกก้าว ถูกไหมครับ?”
“ผมจะไม่ไปรบกวนชีวิตของอี่ฉือ แล้วคุณก็ไม่ต้องห่วงว่าผมจะมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ แต่ขอให้คุณเชื่อเถอะว่า ถ้าอี่ฉือเขาไม่ชอบความโชคดีที่คุณได้วางแผนไว้ให้ เมื่อนั้นผมจะทำลายความโชคดีของคุณให้แหลกละเอียดเป็ชิ้นๆ”
“อย่าได้สงสัยในคำพูดของผม แล้วก็อย่าคิดที่จะใช้แม่มาข่มขู่ผม ไม่อย่างนั้นถ้าผมเกิดคลั่งขึ้นมาคุณก็เอาไม่อยู่”
รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของเย่จื่อเฉินขยายออกกว้างยิ่งขึ้น เขาหยิบเช็คบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะฉีกมันขาดเป็ชิ้นๆ แล้วปล่อยในร่วงหล่นลงบนพื้นรถต่อหน้าหยางเจิ้น
“บอกตามตรงนะครับ เงินแค่นี้สำหรับผมมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย อ้อ จริงสิ ผมขอเตือนคุณหน่อยนะครับ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลหน่อยก็ดีครับ”
เย่จื่อเฉินเปิดประตูแล้วเดินลงจากรถไป
หยางเจิ้นนั่งตัวตรงอยู่กับโซฟาบนรถ คำพูดเฉยชาของเย่จื่อเฉินเมื่อครู่นี้ดังสะท้อนอยู่ในหัว
“ท่านครับ…”
คนขับรถเดินมาจากด้านข้าง หยางเจิ้นเหลือบมองเช็คบนพื้น ก่อนเลิกคิ้วแล้วพูดขึ้น
“ทำความสะอาด แล้วพาคุณหนูกลับบ้าน”
เนิ่นนาน หัวใจของเย่จื่อเฉินไม่สามารถกลับมาสงบได้
เขายืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ต้นหลิวข้างทาง ในใจเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยของหยางเจิ้น และความสงสารหยางอี่ฉือ
เป็ความโศกเศร้าของเธอที่มีพ่อแม่เผด็จการแบบนี้ แต่มันก็เป็ความโชคดีของเธอด้วย
อย่างน้อย ภายในใจพ่อแม่ของเธอก็รักเธอมาก
หลิวฉิงลอยอยู่ข้างกายเย่จื่อเฉินโดยไม่พูดอะไร เธอรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ
“มีอะไรอยากถามเยอะเลยใช่ไหม?”
เย่จื่อเฉินเงยหน้าขึ้นกะทันหัน แล้วยิ้มให้หลิวฉิงเล็กน้อย
“ที่จริงเมื่อสามปีก่อนฉันกับหยางอี่ฉือเคยเป็แฟนกัน ผู้ชายคนเมื่อกี้คือพ่อของเขา ก็เป็อย่างที่พอจะเดาได้นั่นแหละ ตอนนั้นเขาคือคนที่ตัดขาดชีวิตของเราทั้งคู่ออกจากกัน”
หลิวฉิงเลิกคิ้ว อันที่จริงเธอก็พอจะเดาจุดจบออกแล้ว แต่การที่เย่จื่อเฉินยอมรับออกมาเองกลับกลายเป็ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
“น่าสงสารจัง”
“น่าสงสาร?” เย่จื่อเฉินส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วพูด “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พ่อควรทำหรอกเหรอ เขาไม่อยากให้ลูกสาวต้องลำบาก โดยเฉพาะการที่มาคบกันคนจนๆ แบบฉัน”
“ถ้าเป็พ่อฉันเขาไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน”
ในดวงตาของหลิวฉิงประดับไว้ด้วยความมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอ เย่จื่อเฉินก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอด้วยสายตาอันอบอุ่น
“แต่ว่า นายไปพูดกับพ่อแฟนแบบนั้น มันไม่ค่อยดีมั้ง”
จากนั้น หลิวฉิงก็เปิดปากพูดขึ้นมาเสียงแ่
เย่จื่อเฉินกลอกตาทันที แล้วสบถด่า
“นี่ฉันไว้หน้าเขาแล้วนะ เธอรู้ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา ฉันก็คงมีความสุขอีกรอบไปแล้ว แต่เขากลับมาถ่วงเวลาธุระสำคัญของฉัน จะไม่ให้ฉันโกรธได้เหรอ? ฉันไม่ต่อยเขาก็นับว่ามีมารยาทมากแล้วนะ”
“นายมัน…หน้าไม่อาย!”
หลิวฉิงตวาดเสียงหลง ยกมือขึ้นจะตีเขา
เย่จื่อเฉินรีบหันหลังวิ่งหนี แต่กลับได้ยินคนเรียกเขาไว้จากทางด้านหลัง
“เย่จื่อเฉิน”
เย่จื่อเฉินหยุดลงตามเสียง พอหันกลับไปมองถึงได้เห็นว่าเป็ซูเหยียนที่เรียกเขาไว้
สำหรับหญิงสาวที่เป็มากกว่าเพื่อนแต่ยังไม่ใช่คนรักคนนี้ ในใจของเย่จื่อเฉินก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย
ทั้งที่คิดมาตลอดว่าทำยังไงถึงจะทำให้ระดับความรู้สึกดีที่เหลือหนึ่งคะแนนนั้นเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่มีโอกาสเลย
เย่จื่อเฉินส่งสายตาให้หลิวฉิง เป็เชิงบอกว่าห้ามก่อกวน ก่อนจะวิ่งไปหาซูเหยียนแล้วยิ้มให้
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
ซูเหยียนคล้องแขนเย่จื่อเฉินทันที ในขณะเดียวกันก็ขยิบตาให้เขาอย่างสื่อความนัยบางอย่าง
เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าข้างกายของซูเหยียนยังมีผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
ความไม่ชอบใจหลั่งไหลออกมาจากดวงตาของหญิงสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ในตอนที่เห็นซูเหยียนเกาะแขนเย่จื่อเฉิน
“ซูเหยียน จะไม่แนะนำหน่อยเหรอ?”
“เกาซ่าง นี่เย่จื่อเฉิน เขาเป็แฟนฉัน”
“แฟน?” เกาซ่างเลิกคิ้วขึ้น พลางใช้สายตาสำรวจกวาดมองทั้งตัวของเย่จื่อเฉิน
เพียงครู่เดียว สายตาดูแคลนจางๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอวูบหนึ่ง
“ซูเหยียน เธอเป็ถึงดาวประจำชั้นของเรา เข้ามหาลัยก็น่าจะอยู่ในระดับดาวมหาลัย ระดับแฟนที่หาได้อยู่ในระดับนี้เองเหรอ?”
อะไรคือระดับนี้เอง
เย่จื่อเฉินชักจะไม่พอใจขึ้นมา
ระดับเขามันต่ำตรงไหน?
“คุณผู้หญิง ป่วยเหรอ” เย่จื่อเฉินเหลือบมองเธอแล้วพูด
“นายสิป่วย” เกาซ่างตวาดแว้ดเสียงแหลม
“เธอต้องเชื่อฉัน เธอป่วยจริงๆ ถ้าว่างก็ไปเช็คดูที่โรงพยาบาลหน่อยนะ”
“จื่อเฉิน”
ซูเหยียนดึงแขนเย่จื่อเฉิน ในตอนนั้นเกาซ่างก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น
“ซูเหยียน ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาส่งข่าวให้เธอรู้ อีกไม่กี่วันจะถึงวันงานเลี้ยงรุ่นมอปลายของพวกเรา คุณชายไป๋ก็มาด้วย ถ้าเทียบกันระหว่างคุณชายไป๋กับคนข้างๆ เธอแล้ว…อืม ตอนมอปลายคุณชายไป๋ก็สนใจเธออยู่ไม่น้อยเลยนะ คิดเอาเองก็แล้วกัน”
สิ้นเสียง สีหน้าดูถูกนั้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเกาซ่าง หลังจากที่เหยียดปากใส่เย่จื่อเฉินแล้วก็เดินไปยังรถเต่าที่จอดไว้ข้างทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้