คำพูดสวยหรูงดงามเรียบเรียงเป็ขั้นเป็ตอนเพื่อที่จะถามนางว่ามีเื่เช่นนี้หรือไม่ แต่สายตาก็ชำเลืองมองหลี่ไหวฺอวี้ที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่หลายหน
“พี่สาวข้าไม่ได้...” ิเป่าอวี้เพียงเอ่ยปาก ก็ถูกิเป่าจูขวางไว้
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านคงมาได้สักพักแล้วกระมัง ท่านนั่งรอข้ากลับมาตลอดเวลา มิได้ถามอะไรเลยหรือ” ิเป่าจูทำสีหน้าไร้เดียงสา พลางเอ่ยถามผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า
นางสังเกตเห็นดวงตาของน้องชายแดงก่ำ คงจะถูกซักไซ้ไล่เลียงมานานแล้ว และร้องไห้น้อยเนื้อต่ำใจแทนนาง
หัวหน้าหมู่บ้านถูกผู้เยาว์ยอกย้อนก็นึกโกรธในใจ สีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขากระแอมกระไอพูดอ้อมแอ้ม “แฮ่ม ถามแล้วแต่ไม่ยอมรับ”
“อ้อ เช่นนั้นท่านมาถามข้าคือ้าให้ข้ายอมรับ?”
ทั้งที่รู้ผลอยู่แล้ว ก็ยังจะมาสอบสวนนางอีกหน คาดหวังว่านางจะให้คำตอบที่แน่ชัดหรืออย่างไร
“ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ กล้าพูดกับท่านหัวหน้าหมู่บ้านเช่นนี้ได้อย่างไร” ิเถี่ยจู้ขึ้นเสียง
“ต้องขออภัยท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ปกติเด็กคนนี้ก็ทำตัวเช่นนี้กับพวกเราจนเคยตัว ก็เลยไม่มีกฎเกณฑ์มารยาทกับใครทั้งนั้น” หวังซื่อกล่าวเสริมอีกคำทันที สาดน้ำโคลนให้ิเป่าจูกลายเป็คนมีอุปนิสัยยโสโอหัง
“ทำก็บอกว่าทำ ไม่ทำก็บอกไม่ทำ อย่างไรเสียก็ต้องพูดถึงจะได้ข้อสรุปออกมา”
ิเถี่ยจู้กับหวังซื่อคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ จงใจยั่วยุโทสะหัวหน้าหมู่บ้าน ให้เขาคิดว่าเด็กคนนี้ไม่มีสัมมาคารวะไร้การอบรมสั่งสอน ไม่แปลกที่จะทำเื่พรรค์นี้ออกมา
บัดนี้ในใจของหัวหน้าหมู่บ้านเชื่อคำพูดของิเถี่ยจู้สามีภรรยาอย่างสนิทใจว่าิเป่าจูไม่รักษาจรรยาสตรี
“พูดแล้วท่านจะเชื่อใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำ”
ิเป่าจูตอบอย่างหมดจดรวดเร็ว
นางเห็นชัดเจน หัวหน้าหมู่บ้านสูดหายใจลึกแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมาเหมือนพยายามจะปรับสภาพอารมณ์ข่มโทสะในหัวใจอย่างสุดความสามารถ
หลี่ไหวฺอวี้มองทุกอย่างตรงหน้าอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางผ่อนคลาย จู่ๆ ก็พบว่าวันนี้ิเป่าจูแตกต่างไปจากทุกวัน
แม้ว่าจะไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่นางไม่ใช่คนฝีปากกล้าและก้าวร้าวเช่นนี้
เมื่อเห็นสองพี่น้องจับมือกัน เขาก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว
ิเป่าจูกำลังปกป้องิเป่าอวี้ อาจเป็เพราะที่น้องชายได้รับความไม่เป็ธรรม ถูกเตะคราก่อน และอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่นางยังไม่กระจ่างแจ้ง
“เ้าบอกว่าไม่ก็ไม่อย่างนั้นหรือ เห็นพวกเราตั้งหลายคนตาบอดกันหมดหรือไร เขาเป็ใครกัน” ในที่สุดิเถี่ยจู้ก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป ลุกขึ้นถามพลางชี้ไปที่หลี่ไหวฺอวี้
“แค่มาขอพักค้างแรม” ิเป่าจูตอบส่งๆ
ิเป่าจูก็ไม่กล้าบอกเอ่ยว่ารู้จักคนผู้นี้ ตอนพบกันหลังเขา ทั้งตัวเต็มไปด้วยเื แต่ปากก็ยังเป็เหมือนอาชา์ทะยานฟ้า ไม่มีความจริงสักคำ
แต่หลังลงจากูเา กลับกลายเป็ว่าคนหลักลอยที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติผู้นี้มาขอกินอยู่อาศัยบ้านของนางเปล่าๆ
ถึงกระนั้น ิเป่าจูก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะไปเมื่อใด
เขาเป็เหมือนราชันสิงโตที่ได้รับาเ็กำลังหลบหนีหลังจากต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาณาเขตกับศัตรู
แต่การสูญเสียเป็เพียงเื่ชั่วคราว เขามายืมใช้รังเล็กจ้อยของนางเพื่อพักฟื้น หลังฟื้นกำลังวังชาแล้วก็จะกลับคืนสู่สนามรบที่เป็ของตนเองอย่างแน่นอน
“ใครจะเชื่อกันหา? นี่มันนานแค่ไหนแล้ว ขอพักค้างคืนก็ต้องมีขอบเขตสิ” หวังซื่อขึ้นเสียงสูงคาดคั้นอย่างกระตือรือร้น
“ชายโสดหญิงงามอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน พูดเสียน่าฟังว่ามาขอค้างแรม ตกกลางคืนไม่แน่ว่าอาจทำเื่บัดสีบัดเถลิงอะไรก็ได้”
ิเป่าอวี้กำหมัดแน่น หากพี่สาวไม่จับไว้แ่า เขาต้องเข้าไปต่อยหวังซื่อสักที ปากสุนัขของนางจะได้ไม่งอกงาช้างออกมา [1]
“อะไรกันเนี่ย ยังคิดจะทำร้ายข้าอีกหรือ”
หวังซื่อเห็นท่าทางของิเป่าอวี้ ก็ยิ่งยั่วยุ “พี่สาวเ้าอายุแค่นี้ก็ทำตัวเป็ดอกหยางน้ำ [2] ไม่รักษาจรรยาสตรี ยังจะพาเ้าเสียคนไปอีกด้วย”
หวังซื่อลอยหน้าลอยตาด่าทออยู่เป็ครึ่งวัน ถือเป็การระบายความคับแค้นใจวันนั้น แต่ยังไม่พอ นางจะปล่อยเดรัจฉานน้อยสองคนนี้ไปไม่ได้
นางกระทุ้งสามีทีหนึ่ง ิเถี่ยจู้เข้าใจได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก ตีหน้าเศร้าหันไปมองหัวหน้าหมู่บ้าน
“ท่านหัวหน้าผู้บ้าน ข้าเสียใจจริงๆ ที่เก็บเด็กชั่วช้าที่น้องชายข้าทิ้งไว้เอาไว้ ทำให้ชื่อเสียงของหมู่บ้านของเราถูกทำลาย วันนี้ข้าจะตัดญาติเพื่อผดุงความเป็ธรรม ขอให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจับชายหญิงสุนัขขังกรงหมูถ่วงแม่น้ำเสียเพื่อชำระความโสมม ซึ่งเป็ธรรมเนียมของหมู่บ้านเรา”
คำที่เอ่ยว่าตัดญาติเพื่อผดุงความเป็ธรรม พูดเสียจนตัวิเถี่ยจู้เองก็เกือบจะเชื่อเหมือนกัน
“ถ้าเช่นนั้น...” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยพึมพำ
ิเป่าจูอดตัวสั่นไม่ได้
ไม่คาดคิดว่าแค่สองคนนี้ร้องรับเป็ปี่เป็ขลุ่ยก็กุเื่ขึ้นมาเอาผิดนางได้แล้ว
คนเป็หัวหน้าหมู่บ้านไม่แม้แต่จะซักไซ้ไล่เลียงรายละเอียด ก็หลงเชื่อถ้อยคำเหลวไหลไร้สาระของผัวเมียคู่นี้อย่างง่ายดาย
“หัวหน้าหมู่บ้านใช่หรือไม่ ดูจากท่าทีของท่านคงจะศึกษาเล่าเรียนมาบ้าง แต่เหตุใดคนที่ร่ำเรียนมาหลายปีกลับฟังคำใส่ร้ายป้ายสี ตัดสินโทษผู้อื่นลวกๆ ไม่รู้ถูกผิดดีชั่ว ขาวหรือดำก็แยกแยะไม่ออก”
ขณะที่ทุกคนคิดว่าทุกอย่างเป็ที่แน่นอนแล้ว หนุ่มน้อยที่สงวนวาจายืนพิงประตูมาโดยตลอดก็เอ่ยปากขึ้นอย่างปุบปับ ประณามหัวหน้าหมู่บ้านว่าฟังความข้างเดียว ไร้ความเป็ธรรม
หัวหน้าหมู่บ้านเคยเรียนหนังสือมาหลายปีตามการคาดคะเนของหลี่ไหวฺอวี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังสอบได้ติดเป็ซิ่วไฉ [3] อีกด้วย จึงอาศัยสิ่งนี้รับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้าน
เขาได้รับแต่การยกย่องสรรเสริญจากคนในหมู่บ้านมาโดยตลอด จะทนกับการหยามเหยียดอย่างรุนแรงจากคนรุ่นหลังเช่นนี้ได้อย่างไร
เขายกนิ้วชี้หน้าหลี่ไหวฺอวี้อย่างโกรธจัด แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำเป็นานสองนาน
หัวหน้าหมู่บ้านต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ถึงจะสงบอารมณ์ลงได้ กระแทกไม้เท้าลุกขึ้นถามว่า “เช่นนั้นเ้าก็พูดมาว่าข้าแยกแยะดีชั่วไม่ออกอย่างไร”
“ได้สิ เช่นนั้นข้าขอถามท่านว่าเพราะเหตุใดถึงเป็การไม่รักษาจรรยาสตรี [4] อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เงื่อนไขแรกอย่างน้อยก็ต้องเป็สตรีที่ออกเรือนแล้วกระมัง ิเป่าจูเคยออกเรือนหรือไม่ เมื่อไม่เคย แล้วไยจึงกล่าวว่าฝ่าฝืนจรรยาสตรี และในเมื่อมิได้ฝ่าฝืนจรรยาสตรี ถือสิทธิ์อะไรมาจับนางขังกรงหมูถ่วงแม่น้ำ”
ทุกคราที่เอ่ยถาม หลี่ไหวฺอวี้จะหยุดเว้นวรรคอย่างเป็ขั้นเป็ตอน ให้เวลาขบคิดเพียงพอ
และทุกครั้งที่หัวหน้าหมู่บ้านจะตอบโต้ด้วยจิตใต้สำนึก เขากลับไม่ให้โอกาส ยังคงโยนคำถามต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องมาอีกเป็ชุด
บัดนั้นพวกเขาก็เห็นหัวหน้าหมู่บ้านกับิเถี่ยจู้และหวังซื่อสามคนอ้าปากค้าง พยายามจะสอดปากขึ้นมาขัดจังหวะเพื่อโต้แย้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาถึงสุดท้ายก็ถูกคำถามของเขาปิดปากจนเป็ใบ้พูดอะไรไม่ออก
หัวหน้าหมู่บ้านเป็คนมีหน้ามีตา เขาคิดว่าตนเป็ซิ่วไฉเพียงคนเดียวในหมู่บ้านทั้งยังเป็หัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วย เคยอ่านคำตัดสินพิจารณาคดีจึงมีความสามารถในการตัดสินกรณีพิพาทต่างๆ หลายปีมานี้จึงจัดการหมู่บ้านได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
ไหนเลยจะคาดคิดว่าตนเองจะถูกเด็กคนหนึ่งกล่าวหาว่าตนเองไม่สมกับเป็ปัญญาชน แม้แต่คำว่าจรรยาสตรีก็ยังแยกแยะไม่ออก ทันใดนั้นก็อดสูใจจนกลายเป็ฉุนเฉียว โมโหิเถี่ยจู้สองสามีภรรยาที่ก่อเื่โง่เขลา
การที่หัวหน้าหมู่บ้านนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ทำให้ิเถี่ยจู้สามีภรรยามองหน้ากันเลิ่กลั่กร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว
นึกไม่ถึงว่าเื่ใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว จู่ๆ กลับสะดุดขึ้นมากลางคัน ถูกหลี่ไหวฺอวี้คว้าจุดตายของหัวหน้าผู้ใหญ่บ้านมาพลิกสถานการณ์กลับเช่นนี้ เมื่อสังหารสองคนนี้ไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการ
หวังซื่อจึงเปลี่ยนหัวข้อทันใดไปเอ่ยถึงเื่ชื่อเสียงของหมู่บ้าน
“ต่อให้ไม่ผิดจรรยาสตรี แต่พวกเขามั่วโลกีย์กันทั้งวันทั้งคืน ทำชื่อเสียงหมู่บ้านเราเสียหายป่นปี้ ทั้งยังกล้าลงมือทำร้ายข้า เด็กจิตใจอำมหิต โอหังไร้ความกตัญญูเช่นนี้จะเก็บไว้ได้อย่างไร”
เชิงอรรถ
[1] มาจากสำนวน “งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข” หมายถึงไม่มีความจริงจากปากของคนเลว
[2] ดอกหยางน้ำ เป็คำเปรียบเปรยกับสตรีในเชิงที่ไม่ดี จิตใจเรรวน เปลี่ยนแปลงง่ายเหมือนดอกหยางที่ล่องลอยไร้หลักแหล่งอยู่ในน้ำ
[3] การสอบขุนนางเรียกว่าสอบ ‘เคอจวี่’ จะเริ่มจากระดับท้องถิ่น (อำเภอหรือจังหวัด) เรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้จะเป็ ‘ซิ่วไฉ’ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบระดับมณฑล หรือเรียกว่าเซียงซื่อ หากสอบผ่านจะได้เป็ ‘จวี่เหริน’ ซึ่งต้องเข้าสอบในเมืองหลวงต่อเรียกว่าการสอบฮุ่ยซื่อ เพื่อที่จะขึ้นเป็ ‘จิ้นซื่อ’ และคนที่ผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งหรือเตี้ยนซื่อ เพื่อที่จะคัดเป็บัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่ง จะมีสามคนเรียงจากคะแนนสูงสุดได้แก่ จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
[4] จรรยาสตรี คือกฎเกณฑ์ที่สตรีออกเรือนแล้วพึงปฏิบัติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้