เคอโยวหรานส่ายหน้า สายตาชำเลืองมองป้ายราคาข้างกระสอบธัญพืชก่อนเอ่ย “ข้ามาขายข้าวสารเ้าค่ะ”
ชายชรากวาดมองเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ั้แ่หัวจรดเท้า เขาเอ่ยด้วยความไม่มั่นใจว่า “เ้ามั่นใจหรือว่าจะมาขายข้าวสาร? ไม่เก็บเอาไว้กินเช่นนั้นหรือ?”
เคอโยวหรานกล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่ต้องเก็บเอาไว้เ้าค่ะ ภายในจวนของข้ายังมีเหลือกิน ร้านของพวกท่านรับซื้อข้าวหรือไม่เ้าคะ?”
ชายชราพยักหน้า “แน่นอนว่ารับ ข้าวของเ้าอยู่ที่ใดเล่า?”
เคอโยวหรานยักไหล่พลางเอ่ย “ข้าแบกไม่ไหว พี่ชายของข้าแบกไปไว้ในตรอกข้างๆ ท่านจะหาคนไปแบกมาได้หรือไม่เ้าคะ?”
ชายชราเข้าใจ หันหลังกลับไปโก่งคอร้องเรียกเสียงดัง “เถี่ยตั้น...”
“อ้อ มาแล้วขอรับ...” ชายวัยกลางคนสูงประมาณแปดฉื่อผู้หนึ่งวิ่งเหยาะออกมาจากด้านหลังร้านขายธัญพืช ยังไม่ทันหยุดยืนให้มั่นคงก็รีบพูดต่อ
“นายท่าน มีเื่อันใดหรือขอรับ?”
ชายชราชี้ไปทางเคอโยวหรานและเอ่ยว่า “เ้าตามนางไปแบกข้าวมาสักหน่อย”
“อ้อ ได้เลยขอรับ” เถี่ยตั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกใบ้ให้เคอโยวหรานออกเดินเพื่อนำทาง ก่อนพ้นประตูร้านยังไม่ลืมหยิบกระบุงใบใหญ่ออกไปด้วย
ครั้นเห็นกองกระสอบข้าวทั้งห้าในตรอก เขาจึงแบกเข้าไปในร้านสองรอบ
เถี่ยตั้นวางกระสอบข้าวลงบนพื้น ชายชราตรวจสอบทีละกระสอบ หลังจากตรวจเสร็จพลันรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง
ลิ้นของเขาพันกันเล็กน้อยขณะถามว่า “นี่...นี่...ไปเอาข้าวสารชั้นเลิศเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”
ภายในใจเคอโยวหรานถึงกับสะอึก เหตุใดถึงลืมเื่ตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบไปเสียสนิท นางลูบจมูก หางตาชำเลืองไปทางข้าวเ้าในร้านซึ่งมีราคาแพงที่สุดโดยมิอาจสังเกตเห็น
ลอบคิดในใจว่า : จบสิ้นแล้ว เห็นทีครั้งนี้คงจะเป็การซื้อขายหนแรกและหนเดียว ภายหน้ามิอาจขายข้าวสารเช่นนี้ได้อีก สะดุดตาเกินไปเสียแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าคุณภาพข้าวสารของที่นี่ย่ำแย่เกินไป กระทั่งข้าวเ้าราคาถูกที่สุดที่นางเอาออกมายังดีกว่าข้าวราคาแพงที่สุดของที่นี่ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เคอโยวหรานเตรียมการอยู่ภายในใจ ใคร่ครวญสิ่งที่จะเอ่ยออกไปครู่หนึ่ง “ครอบครัวของพวกเราช่วยเหลือผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง นี่เป็ข้าวสารที่ผู้สูงศักดิ์ยกให้เป็รางวัลเ้าค่ะ ภายในจวนมิอาจหักใจกินได้ลง คิดอยากจะนำมาแลกเปลี่ยนเป็เงินเพื่อซื้อข้าวซ้อมมือจำนวนหนึ่ง รบกวนเถ้าแก่ช่วยตรวจดูสักหน่อยว่าข้าวสารเหล่านี้ราคาประมาณเท่าใดหรือเ้าคะ?”
ชายชราพยักหน้า ไม่นึกสงสัยเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรก็มีผู้สูงศักดิ์บางคนที่สามารถควานหาสินค้าชั้นดีซึ่งมิอาจหาได้ตามท้องตลาดอยู่จริงๆ
ทั้งยามที่มองแม่นางน้อยร่างผอมราวกับท่อนฟืนผู้นี้ ท่าทางนางไม่เหมือนกำลังโกหกแต่อย่างใด
อย่างไรเสียด้วยร่างกายผอมแห้งของนาง หากมิใช่สิ่งของที่ผู้สูงศักดิ์มอบให้ นางจะไปเอาข้าวสารเช่นนี้มาได้อย่างไร?
“ได้ ข้าวสารเหล่านี้ของเ้าล้วนเป็ของชั้นเลิศ ข้าจะตีราคาเป็สองเท่าของข้าวสารที่ราคาแพงที่สุดให้เ้าดีหรือไม่?”
เคอโยวหรานพยักหน้า เผยท่าทีไม่เจนโลกและเอ่ยด้วยความยินดีว่า “ท่านเปิดร้านค้าใหญ่โตถึงเพียงนี้ จะต้องเป็คนซื่อสัตย์มีสัจจะยิ่ง ย่อมไม่มีทางโกหกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นข้า ราคามากน้อยเพียงใดก็ตามแต่ท่านจะตัดสินเ้าค่ะ”
ชายชราร้องบอกให้เถี่ยตั้นเอาตาชั่งเข้ามาพลางเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ใช้ได้จริงๆ แม่นางน้อย ดูไม่ออกเลยว่าเ้าจะปากหวานขนาดนี้ ถึงขั้นสวมหมวกทรงสูง [1] ชั้นยอดให้ข้า ทำให้แม้ข้าอยากจะหลอกเ้าก็ยังรู้สึกละอายใจ เพียงแต่คำกล่าวเมื่อครู่ของเ้าใช้ได้ผลกับข้าอย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ...”
หลังจากชั่งเสร็จชายชราก็บันทึกจำนวนน้ำหนัก เขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วดีดลูกคิดดังเปาะแปะ ปากยังพึมพำไม่ยอมหยุดว่า
“ข้าวเ้าหนึ่งจินหกสิบอีแปะ สองร้อยหกสิบจินคิดเป็เงินสิบห้าตำลึงหกเฉียน ข้าวเหนียวหนึ่งจินเจ็ดสิบอีแปะ สามร้อยจินคิดเป็เงินยี่สิบเอ็ดตำลึง...”
เคอโยวหรานมองชายชราดีดลูกคิดเปาะแปะ นับอยู่สามรอบก็ยังไม่แน่ใจ นางจึงแย่งพู่กันของเขามาถือไว้ จากนั้นขีดเขียนลงไปไม่กี่ครั้ง ช่วยเขาบันทึกโดยละเอียดแล้วเอ่ยว่า
“ทั้งหมดรวมเป็เงินแปดสิบหกตำลึงสามเฉียนเ้าค่ะ”
กระทั่งบัญชียังคำนวณไม่ชัดเจน นางไม่รู้จริงๆ ว่าร้านข้าวสารแห่งนี้ทำกิจการได้อย่างไร เขาไม่กลัวว่าหากคิดบัญชีผิดจะทำให้ตนเองต้องขาดทุนจนตายหรือ?
ชายชรารับสมุดบัญชีมาจากอีกฝ่าย มองอักษรตัวบรรจงอันงดงามที่เขียนบนนั้นแล้วหันมองแม่นางน้อยอย่างอดมิได้ ลอบคิดในใจว่า :
มิอาจมองคนแค่ภายนอกจริงๆ ผู้คนในสมัยโบราณไม่เคยหลอกลวงข้า
หลังตรวจสอบบัญชีข้างต้นอีกครั้งและไม่พบข้อผิดพลาดใดแม้แต่นิดเดียว ชายชราจึงนำเงินจำนวนแปดสิบหกตำลึงเงินกับอีกสามร้อยอีแปะออกมาส่งให้เคอโยวหรานด้วยความดีใจ
ภายในดวงตาไร้ซึ่งความเวทนาเช่นคราแรกที่พบเคอโยวหราน กลับกลายเป็เปี่ยมด้วยความเลื่อมใส
เคอโยวหรานที่ได้รับเงินกล่าวได้ว่าคลื่นอารมณ์โหมซัด เมื่อมีเงินในมือย่อมไม่หวั่นใจ
เงินสำหรับการเกณฑ์ทหารในภายหน้าก็นับว่ามีแล้ว
ครั้นนึกถึงเื่นี้ เคอโยวหรานพลันรู้สึกว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็กันเองยิ่งนัก จึงอดฉีกยิ้มกว้างให้เขามิได้
ชายชราก็หัวเราะเหอๆ ให้เคอโยวหรานด้วยเช่นกัน เขาหยิบสมุดบัญชีเล่มหนาจำนวนสามเล่มออกมาจากในตู้แล้วเอ่ยว่า “แม่นางน้อย เ้าคิดเลขเก่งถึงเพียงนี้ มิสู้ช่วยคำนวณเงินทั้งหมดให้ตาเฒ่าสักหน่อย ข้าจะให้เงินเ้าสิบตำลึงเป็การตอบแทนดีหรือไม่?”
เคอโยวหรานดวงตาเป็ประกาย ขานรับโดยไม่แม้แต่จะคิด “ได้เ้าค่ะ”
บัญชีแค่สามเล่มก็ให้เงินตั้งสิบตำลึง จะไปหางานดีๆ เช่นนี้ได้ที่ใดอีกเล่า?
ครั้นเห็นเคอโยวหรานตกลง กล่าวได้ว่าอารมณ์ของตาเฒ่าแทบจะโผบินขึ้นสูง
คนทำบัญชีของตนถูกสกุลต่งชิงตัวไปด้วยเงินจำนวนมาก สมุดบัญชีมากมายเหล่านี้เพียงพอให้เขาต้องคำนวณโดยไม่หยุดพักเป็เวลากว่าสองเดือนแล้ว ช่างยากเย็นเหลือเกิน!
เคอโยวหรานใส่เงินเข้าไปในมิติวิเศษภายใต้การบดบังของชายแขนเสื้อ ก่อนรับพู่กันของชายชรามาแล้วเริ่มขีดๆ เขียนๆ อยู่บนโต๊ะคิดเงิน
ทุกกระบวนการทำเอาชายชราถึงกับตาลาย นึกสงสัยเหลือเกินว่าแม่นางน้อยผู้นี้ได้ตั้งใจคำนวณให้ดีหรือไม่
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป เคอโยวหรานวางพู่กันลง เอ่ยพลางบิดลำคอไปมา “คำนวณเสร็จแล้วเ้าค่ะ”
“คะ...คำนวณเสร็จแล้ว? ระ...เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ลิ้นของชายชราถึงกับสั่นกระตุก
หัวใจเต้นเร็วราวกับรัวกลอง ดวงตาแทบจะถลนออกมา เขาพลิกหน้าสมุดบัญชีไม่กี่เล่มนั้นและเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
“สมุดบัญชีเหล่านี้ หากจ้างคนทำบัญชีที่เก่งที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงจะคำนวณเสร็จ เ้าเพิ่งจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อกะ...ก็ทำเสร็จแล้ว? มะ...มิได้ทำมั่วกระมัง?”
เคอโยวหรานไร้คำจะเอ่ยถึงขีดสุด สมุดบัญชีเพียงเท่านี้ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเชียวหรือ? คนทำบัญชีี้เีใช่หรือไม่?
นางยกมือขึ้นตบลงบนสมุดบัญชีเหนือโต๊ะพลางเอ่ยว่า “หากมิเชื่อ ท่านก็ลองสุ่มตรวจดูเถิด ไม่ต้องเกรงใจเ้าค่ะ”
ชายชราก็ไม่นึกเกรงใจจริงๆ เขาสุ่มหยิบสมุดบัญชีออกมา แต่ไม่ว่าจะพลิกไปหน้าใดผลรวมก็ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น ถึงขั้นมิอาจอดกลั้นไม่ให้ลมหายใจสะดุดได้
เขามองเคอโยวหรานด้วยแววตาเลื่อมใส ใช้มือสั่นเทาล้วงหยิบเงินสิบตำลึงจากในลิ้นชักมามอบให้นางพลางเอ่ยว่า
“มะ...แม่นางน้อย มิสู้เ้ามาที่ร้านของข้าทุกครึ่งเดือน ช่วยดูบัญชีให้ข้าสักหน่อย ข้าจะให้เงินเ้าเดือนละสิบตำลึงดีหรือไม่?”
ทุกวันนี้หาคนทำบัญชียากยิ่งนัก เขาเคยจ้างคนเดิมด้วยเงินเดือนละยี่สิบตำลึง ยามนี้ลดลงครึ่งหนึ่ง จึงนับว่าเขาได้กำไร
เคอโยวหราน “...”
นี่หมายความว่านางหางานได้แล้วใช่หรือไม่? เดือนละสิบตำลึงเงิน ในยุคนี้ก็นับว่าเป็เงินเดือนที่สูงแล้วกระมัง?
แต่นางคุ้นเคยกับการทำตัวตามใจชอบมาโดยตลอด หากลืมมาช่วยคำนวณบัญชีให้ผู้เฒ่า เช่นนั้นมิเท่ากับขุดหลุมฝังผู้อื่นหรอกหรือ?
นางใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกไปตามตรง “มิสู้ข้าสอนวิธีคิดบัญชีอย่างง่ายให้ท่านเถิด ไม่จำเป็ต้องใช้คนคิดบัญชี ท่านก็สามารถตรวจบัญชีด้วยตนเองได้อย่างรวดเร็วแล้ว
ข้าเป็สตรี หากต้องมาที่ร้านของท่านทุกเดือนคงยากจะหลีกเลี่ยงคำครหาของผู้อื่นเ้าค่ะ”
ชายชราคิดแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล เหตุใดเขาถึงลืมคำว่า ‘วาจาคนน่าหวาดกลัว’ สี่คำนี้ไป ช่างเลินเล่อเกินไปเสียแล้ว
แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เลว ความคิดรอบคอบ ฉลาดหลักแหลม ทั้งยังซื่อตรง ภายหน้าจะต้องมิใช่ปลาในบ่อ [1] อย่างแน่นอน เขาควรคบค้าสมาคมเอาไว้ให้ดีจึงจะถูก
ครั้นคิดได้เช่นนี้ ชายชราก็รีบยื่นพู่กันและกระดาษให้นางด้วยความนอบน้อม ส่งสัญญาณให้เคอโยวหรานสอนเขา
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สวมหมวกทรงสูง 戴高帽 เป็คำอุปมาเชิงลบ หมายถึง เยินยอ ยกยอ โดยหมวกทรงสูงในที่นี้คือหมวกประจำตำแหน่งของขุนนางชั้นสูงหรือฮ่องเต้
[2] ปลาในบ่อ 池鱼 หมายถึง คนไร้ความมุ่งมาดปรารถนา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้