"นอกจากจวิ้นจู่ ข้าก็ไม่รู้จักใครสักคน ไปแล้วคงกระอักกระอ่วนแย่" เซวียเสี่ยวหรั่นดื่มชาสองคำ ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผาก
"ในเมื่อต่อไปต้องอาศัยในเมืองหลวงระยะยาว ย่อมจะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมไม่พ้น" เหลียนเซวียนยกน้ำชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยเนิบๆ
"ถึงจะเป็เช่นว่า แต่ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเ่าั้เสียหน่อย จะเข้าสังคมหรือไม่ มิเห็นสำคัญตรงไหน" เซวียนเสี่ยวหรั่นบ่นพึมพำ
เหลียนเซวียนวางถ้วยชาพลางนึกละเหี่ยใจ ความสามารถในการแกล้งโง่ของสตรีผู้นี้นับวันก็ยิ่งเยี่ยมยอด
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินมาอยู่ตรงหน้านาง เซวียเสี่ยวหรั่นใสะดุ้งโหยง "มะ... มีอะไร?"
มือใหญ่ยื่นออกมาข้างหน้า เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ ด้วยความงุนงง
มือใหญ่หนาที่เห็นข้อมือนิ้วชัดเจนแบอยู่ตรงหน้า แต่คนกลับยืนนิ่ง เอาแต่จดจ้องหญิงสาวไม่พูดไม่จา
ดวงหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มแดงซ่าน กัดริมฝีปากล่าง ลอบมองใบหน้าจากมุมย้อนแสง ดวงเนตรของเขาทอประกายเร่าร้อน เผาจนติ่งหูของนางแทบไหม้
ผ่านไปครู่ใหญ่ การต่อสู้หลายหลากในใจก็ต้องพังทลายภายใต้สายตาดื้อดึงแกมเร่าร้อนของเขา เซวียเสี่ยวหรั่นวางมือของตนเองบนมือใหญ่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนที่จะถูกดึงเข้ามาแล้วจมอยู่ในอ้อมอกร้อนระอุ
เซวียเสี่ยวหรั่นตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
"หลับตา" เสียงแ่เบาดังขึ้นข้างหู เซวียเสี่ยวหรั่นกลับทำตามโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นตัวนางก็ลอยขึ้นในอากาศ ได้ยินแต่เสียงลมฟู่ๆ ปัดผ่านข้างหู
การเคลื่อนไหวะโขึ้นะโลงอันคุ้นเคยทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงตอนที่ถูกเขาอุ้มวิ่งหนีคนร้ายในป่า นี่เขาจะพาเธอไปไหน?
ไม่ช้าก็ได้คำตอบ
"เอาล่ะ ลืมตาได้"
หลังจากประคองให้นางยืนเรียบร้อยแล้ว ก็กระซิบข้างหูเบาๆ
พอเซวียเสี่ยวหรั่นลืมตาก็ร้องขึ้นอย่างลืมตัว
"นี่... คือที่ไหน?"
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยืนอยู่บนยอดหอสูงแห่งหนึ่ง เห็นแสงโคมสว่างไสวจากบ้านเรือนที่รายล้อมรอบด้านเรียงรายกันไม่ขาดตอน
"นี่คือหอคอยเก้าชั้น แต่เคยถูกไฟไหม้ตอนนี้จึงสูงไม่ถึงเก้าชั้นแล้ว สูงแค่ห้าชั้นเท่านั้น ยามนี้พวกเราอยู่บนยอดหอคอย"
ยอดหอคอยลาดเอียงอยู่บ้าง แต่บัดนี้พวกเขายืนอยู่ฝั่งที่ค่อนข้างเรียบเสมอกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นมองความสูงกับความมืดพลันที่อยู่ไม่ไกล พลันรู้สึกหน้ามืด แข้งเข่าทั้งสองอ่อนยวบ กอดเอวสอบของเหลียนเซวียนไว้แน่น
"สะ... สูงเกินไป ข้าเวียนหัว"
หน้าอกของเหลียนเซวียนกระเพื่อมเบาๆ เห็นชัดว่ากำลังหัวเราะ
เซวียเสี่ยวหรั่นโมโหยื่นมือไปทุบเขาทีหนึ่ง แน่นอนว่าทุบเพียงเบาๆ ถึงอย่างไรยามนี้พวกเขาก็ยืนอยู่บนยอดหอสูง
"นั่งเถอะ" เหลียนเซวียนประคองนางนั่งลงบนหลังคา
"นี่คือหอคอยเก้าชั้นที่อยู่ใกล้กับตรอกจิ่วถ่าหรือ" หลังนั่งลงแล้วเซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังไม่กล้าปล่อยเหลียนเซวียน หางตากวาดมองอาคารบ้านเรือนด้านล่าง ยังคงรู้สึกผวา
ใบหน้าของเหลียนเซวียนเผยรอยยิ้ม ปล่อยให้นางกอดตนเองตามสบาย
"ใช่ คือที่นี่แหละ"
"ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม?" เซวียเสี่ยวหรั่นกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น มักรู้สึกเหมือนว่าเขามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง
"อืม มีความบางอย่างต้องคุยกับเ้าให้รู้เื่" เหลียนเซวียนเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นตัวแข็งทื่อ เพียรฝืนใจขยับตัวห่างออกมาครึ่ง่แขน แต่มือยังคงเกาะแขนของเขาไว้แน่น
"พูดคุยกันข้างล่างดีๆ มิได้หรือ ไยต้องแล่นมาสนทนาบนที่สูงขนาดนี้ นี่มันแกล้งกันชัดๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปข้างล่าง แล้วรีบเบือนสายตาหนี "ข้ากลัวความสูง ท่านรีบพาข้าลงไปเร็วๆ เถอะ"
"อย่ากลัว ข้ามิให้เ้าตกลงไปแน่นอน" เหลียนเซวียนมองใบหน้าขาวซีดของนาง แขนยาวก็กระหวัดตัวนางกลับเข้ามาในอ้อมแขน พลางปลอบประโลมเสียงเบา
ลมหายใจอบอุ่นที่คุ้นเคย ทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเซวียเสี่ยวหรั่นค่อยสงบลง
ชายอาภรณ์ของพวกเขาพลิ้วไหวไปตามสายลมรำเพยยามราตรี เงาของทั้งสองแอบอิงกันบนหลังคาหอสูง แลดูดูดดื่มหวานชื่น แต่หารู้ไม่ว่า...
เสียง "เพียะ" เพิ่งดังขึ้นไม่นาน ก็มีอีก "เพียะ" ดังตามมา
"ยุงเยอะจังเลย เหลียนเซวียน ท่านอยากบอกอะไรกันแน่"
ผ่านไปครู่ใหญ่ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
หากเธอไม่ถาม ชะรอยคืนนี้คงไม่ต้องลงไปกันแล้ว
เหลียนเซวียนโบกแขนเสื้อไล่ยุง เขาเองก็ไม่นึกว่าที่สูงขนาดนี้จะยังมียุง รู้สึกผิดแผนอยู่บ้าง
"เ้าจะตั้งใจฟังคำข้าแน่หรือ?" เขาหลุบสายตามองสตรีในอ้อมอก
"ข้าเคยไม่ตั้งใจฟังคำท่านเมื่อไรกันล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าพลางโอดครวญ
"อ้อ แต่เ้ามิเคยตอบอย่างจริงจังสักครา" เขาจ้องดวงหน้าน้อยขาวผ่องดุจหิมะของนาง
"ข้าเป็อย่างนั้นที่ไหน" เซวียเสี่ยวหรั่นก้มหน้าอย่างร้อนตัว
แต่กลับถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นมาอีก "ดูสิ ก็เหมือนตอนนี้ไง"
เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงอย่างอุธัจขัดเขิน ปัดมือเขาออกไป
"เื่แค่นี้ต้องพามาคุยถึงสถานที่แบบนี้ยามค่ำมืดเลยหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเสีย แต่ไม่กล้าขยับส่งเดช คว้านิ้วมือเรียวของเขาไว้ อยากงับสักคำจนแทบอดใจไม่ไหว
"อื้ม ก็ต้องสถานที่แบบนี้แหละ เ้าถึงจะยอมอยู่ในอ้อมแขนของข้าแต่โดยดี" เหลียนเซวียนพลิกมากุมมือน้อยๆ ของนางไว้
เซวียเสี่ยวหรั่นดวงหน้าร้อนผ่าว คนหน้าไม่อาย กล้าพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียว
"ท่าน... ท่านมันเติงถูจื่อ [1]
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่รู้จะด่าเขาอย่างไรดี
เหลียนเซวียนอารมณ์ดียิ่ง ฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวทั้งปากภายใต้ความมืด "ไหนๆ ก็ถูกเ้าด่าเป็เติงถูจื่อไปแล้ว เช่นนั้นก็สมควรทำตัวให้สมกับฉายาเติงถูจื่อเสียหน่อย"
"ท่านคิดจะทำอะไร"
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มระแวง รั้งตัวถอยไปด้านหลัง แต่กลับไม่กล้าขยับมากนัก
"อย่าขยับ" น้ำเสียงแหบพร่าบนที่สูงกลับกดต่ำอย่างน่าประหลาด
เซวียเสี่ยวหรั่นเชื่อฟังเขาจนชิน แต่ผลที่ได้ ดวงหน้าหล่อเหลาอาบรอยยิ้มกลับเลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่จะกลบเสียงร้องของนางด้วยริมฝีปากเสียจนสนิท
พระจันทร์เต็มดวงกลางเดือนหกลอยสูงเด่นอยู่เหนือท้องนภา หมู่ดาวดารดาษทอแสงระยิบระยับวับวาว
หอคอยเก้าชั้นใต้ม่านราตรี สองร่างตระกองกอดกันและกัน มิแยกจากอยู่เป็นานสองนาน
กลิ่นหอมอ่อนจางบนเรียวปากนุ่มและชุ่มชื้นวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก คนในอ้อมแขนตัวแข็งทื่อเล็กน้อย เหลียนเซวียนเลยจำต้องถอนจุมพิตจากริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างอาลัยอาวรณ์
เซวียเสี่ยวหรั่นสูดหายใจเฮือกใหญ่ทันควัน เขาจูบจนเธอแทบขาดอากาศหายใจ
"โง่จริง ทำไมไม่รู้จักหายใจ" เหลียนเซวียนใช้แขนเสื้อซับเหงื่อเหนือริมฝีปากให้นาง
เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าแดงก่ำ ดวงตาเกรี้ยวกราดถลึงใส่เขาปานจะพ่นไฟ
เหลียนเซวียนหัวเราะเบาๆ ก่อนก้มลงมาจุมพิตเปลือกตาของนางเบาๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกว่าเหนือศีรษะของนางแทบจะมีควันพุ่งออกมา
"ทะ... ทะ... ท่าน ท่านห้ามจูบข้าอีกนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นขัดเขินอย่างหนักอยากถอยไปด้านหลัง แต่พอขยับไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย ก็เห็นแสงสว่างจากที่ที่ต่ำกว่า พลันใตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ขณะนี้
เงาร่างที่ถอยไปด้านหลังชะงักค้าง ก่อนถูกคนตรงหน้าหัวเราะเยาะแล้วดึงกลับเข้าไปในอ้อมแขน
"ต่ำช้า" เซวียเสี่ยวหรั่นสบถหนึ่งคำอย่างเข่นเขี้ยว ในที่สุดก็กระจ่างใจ ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงพาตนเองขึ้นมาบนที่สูง
...
[1] เติงถูจื่อ เป็คำด่าหมายถึงคนบ้าตัณหา
