ระหว่างทางไปหุบเขาขาดสะบั้นนั้นม่อเวิ่นเฉิน ซูฉีฉี เหลยอวี๊เฟิงและเหลยอวี่เหยานั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกัน
วันนี้เหลยอวี่เหยามิได้ทำตัวโหวกเหวยโวยวายดั่งเช่นวันก่อนๆทว่านางกลับนั่งเงียบๆ อยู่ตรงมุมหนึ่งของรถม้า มิได้เอ่ยคำใดออกมา เงียบสงบจนทำให้รู้สึกประหลาด
และเหลยอวี๊เฟิงกับม่อเวิ่นเฉินก็ทำเพียงแค่ถามคำตอบคำเท่านั้นซูฉีฉีนั้นเคยชินกับความเงียบสงบแล้วนางจึงพิงอยู่กับกำแพงด้านในรถพลางปิดตาพักผ่อน หุบเขาขาดสะบั้นมีอะไรน่าสนุก นางเองก็ไม่รู้ นั่นก็ยิ่งทำให้ในใจของนางมิได้เกิดความสนใจมากขึ้นไปอีก แต่ว่า ม่อเวิ่นเฉินชอบไปนางก็เลยต้องตามไปด้วย
ชีวิตนี้ของนางไม่มีอะไรที่้าจะไขว่คว้าตอนที่มารดานางยังมีชีวิตอยู่นั้น นางก็คิดแต่จะคุ้มครองมารดาของตน คิดแต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อมารดา ตอนนี้ญาติเพียงคนเดียวของนางก็ได้จากโลกนี้ไปแล้วแต่ว่าเพื่อมารดาของตน นางจะต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างกล้าหาญ อีกทั้งนางยังคิดแต่ว่าจะล้างแค้นให้มารดาของตนเช่นไร
หุบเขาขาดสะบั้น รูปลักษณ์สมดั่งชื่อ เบื้องหน้าเหวลึกนั้นมีูเาที่สูงตระหง่านสองลูกขนาบข้างเสมือนผ่าูเาออกให้เป็รูตรงกลางก็มิปานด้านล่างก็คือเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งของมัน
บนยอดหุบเขามีแท่นหินก้อนหนึ่งสลักชื่อหุบเขาขาดสะบั้นเอาไว้ ที่มาของชื่อนี้ไม่มีผู้ใดรู้ตัวหนังสือบนแท่นหินนั้นมีใครเป็ผู้เขียนก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เช่นกัน
ทว่าสำนักเหลยและประชากรเมืองหนานเจียงนั้นล้วนสนใจในสถานที่แห่งนี้เป็อย่างมากตลอดทั้งปีมีคนเหยียบย่างมาที่นี่นับไม่ถ้วนทุกคนล้วนแต่มาเพื่อมาทดลองความอันตรายของหุบเขาด้วยตนเอง
คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่นั้นเป็คนในยุทธภพน้อยนักที่จะมีคุณหนูคุณชายลูกผู้ดีมีสกุลมาท่องเที่ยวที่แห่งนี้ คิดว่าเหลยอวี่เหยานั้นคงต้องรู้สึกเบื่อหน่ายถึงที่สุดแล้วจึงคิดอยากมาที่นี่กระมัง
เดิมก็เป็่กลางฤดูหนาวแล้วอีกทั้งยังใกล้ถึงปีใหม่อีกด้วย ทำให้หิมะกองพะเนินขึ้นเต็มท้องถนนลมก็โบกพัดอย่างแรงเมื่อคนทั้งสี่มาถึงปลายเขาแล้วนั้นก็ต้องทิ้งรถม้าไว้ก่อนจะตัดสินใจลงเดินแทน
แม้ว่าจะย่างเข้าเดือนสิบสองของจันทรคติแล้วอากาศเหน็บหนาวเป็อย่างมาก ทว่าจำนวนของชาวยุทธภพที่มาท่องเที่ยวก็มิได้ลดลง คนเดินสัญจรไปมา ครึกครื้นเป็อย่างมาก
“ความจริงแล้วที่นี้มีตำนานงดงามที่เล่าขานกันอยู่เื่หนึ่ง”เหลยอวี๊เฟิงพยุงเหลยอวี่เหยาพลางหันไปมองม่อเวิ่นเฉินและเอ่ยออกมาเสียงดังรอยยิ้มบนใบหน้านั้นเด่นชัดมาก เสมือนว่าเขาเองก็ชอบที่แห่งนี้ไม่น้อย
ม่อเวิ่นเฉินใช้สองมือประคองซูฉีฉีพลางสายตาก็หันไปมองทางเหลยอวี๊เฟิงเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจอะไรทว่าถ้าหากเหลยอวี๊เฟิงคิดจะเล่านั้น เขาก็รับฟังเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย
หุบเขาที่ขาดสะบั้นเช่นนี้ควรที่จะเป็สถานที่แห่งความเศร้าโศก จะมีตำนานที่งดงามได้อย่างไรกัน
“ตำนานกล่าวว่าในเหวลึกของหุบเขาขาดสะบั้นนั้นมีเซียนหญิงผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในหนึ่งพันปีนั้นจะปรากฏตัวขึ้นครั้งหนึ่งถ้าหากว่าเขาพบเจอกับคนที่มีวาสนาก็จะทำการจูงมือคนผู้นั้นจากไปและอาศัยอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต” เหลยอวี๊เฟิงเล่าออกมานั้นก็ได้มีสีหน้าเพ้อฝันปรากฏขึ้น
ทำให้สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินมีความเอือมระอาปรากฏขึ้น “เช่นนั้นวันนี้เ้าก็มาเพื่อรอเซียนหญิงงั้นสิ?”
ซูฉีฉีเองก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาเหลยอวี๊เฟิงผู้นี้โดยรวมแล้วถือว่าเป็คนที่ตลกจริงๆ
แน่นอนว่า จะต้องอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดมาทำร้ายม่อเวิ่นเฉินเสียก่อน
อย่างเช่นตอนนี้ พวกเขามาเที่ยวเล่นพูดจาหยอกล้อต่อกัน ทำให้เขานั้นเป็บุคคลที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะว่ามีเพียงเขาที่คอยเอ่ยขานเื่สนุกตลอดทางทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดแม้แต่น้อย
“แน่นอนถ้าหากมีเซียนหญิงจริง ข้าก็ยินยอมจะะโลงไปพร้อมกับนาง” เหลยอวี๊เฟิงพยักหน้าอย่างแรงพลางเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
ทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังออกมาจากผู้คนโดยรอบ
เชื่อว่าคนที่มาที่นี่ เกินกว่าครึ่งนั้นจะต้องมาเพราะอยากเจอเซียนหญิงเป็แน่
เมื่อได้ยินเื่เล่านี้ซูฉีฉีก็อดมิได้ที่จะมองไปด้านหน้า เป็แค่ตำนานเท่านั้นเหตุใดทุกคนถึงยึดติดกับมันเยี่ยงนี้? หรือว่ามีอันใดที่พวกเขายังไม่รู้
เหลยอวี่เหยาเองก็รีบเร่งรุดไปด้านหน้าวรยุทธ์ของนางมิได้ด้อยไปกว่าเหลยอวี๊เฟิงเท่าใดนักเพราะฉะนั้นจึงไม่้าให้ใครมาคุ้มกัน
เสื้อคลุมสีไพลินโบกสะบัดตามสายลมผมยาวสลวยของนางถูกรวบขึ้นทั้งหมดท่วงท่าโดดเด่นเป็สง่าทำให้นางดูเหมือนวีรบุรุษหญิงก็มิปาน นี่กลับทำให้ซูฉีฉีมองนางอย่างตกตะลึงไม่น้อยสตรีเช่นนี้ช่างดูขัดแย้งกันเสียจริงๆ
โดยปกติแล้วกระโดกกระเดกไปมาแต่เมื่ออยู่นิ่งแล้วกลับดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
พวกเขาเดินมาจนถึงยอดเขาแล้วทั้งหมดยืนห่างจากขอบเหวอยู่เพียงไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น ด้านล่างนั้นมีหมอกหนาแน่นให้ความรู้สึกประหนึ่งอยู่เหนือคนทั้งมวล ไร้ผู้ใดเทียบทานได้
ความหม่นหมองในใจของซูฉีฉีก็ลดหายไปไม่น้อยนางทำเพียงแค่มองไปตรงทิศทางอันไกลโพ้นอยู่เงียบๆเพื่อให้อารมณ์ของตนได้ปลดปล่อยออกมา แม้ว่าลมบนยอดเขาจะแรงอยู่บ้างแต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น
“ภายในหมอกนี้มีเซียนหญิงอยู่จริงหรือ?”ทันใดนั้นซูฉีฉีก็เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง เสมือนว่าเป็การพูดคุยกับตนเองอยู่
“อุ๊บ”เหลยอวี่เหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “มีคนเชื่อจริงๆด้วย” ในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความเย้ยหยันอยู่บ้าง
นางไม่ชอบพอซูฉีฉีมาโดยตลอดตอนนี้ยิ่งไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะิ่หยามนางอย่างแน่นอน
“บางทีอาจจะมีก็ได้”เหลยอวี๊เฟิงเองก็มองไปด้านล่างและก็ก้าวไปด้านหน้าอีกหลายก้าว สีหน้าของเขาจริงจังมาก
เมื่อมองไปที่ซูฉีฉีที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ผมยาวสลวยโบกพลิ้วอยู่บริเวณยอดเขา นางในตอนนี้ดูละม้ายคล้ายเทพเซียนอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว จนท้ายที่สุดนั้นม่อเวิ่นเฉินก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่จับประคองซูฉีฉีไว้แน่นๆด้วยเกรงว่านางจะมิทันระวังแล้วตกไปที่ล่างหุบเขาเอาได้
“พวกท่านมาที่นี่ก็เพื่อจะมาดูผืนหมอกเหล่านี้หรือตรงนั้นมีสิ่งที่น่าสนุกยิ่งกว่าอีกนะ” เหลยอวี่เหยาชี้ไปทางโน้นพลางะโออกมา “ข้าได้ยินมาว่า ตรงนั้นมีศาลาพักหลังหนึ่งสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งหมดของหุบเขาขาดสะบั้นเลยทีเดียว” นางเอ่ยขึ้นพลางวิ่งไปทางซ้ายมือ ท่าทางรีบร้อนเป็อย่างมาก
“เ้าเด็กนี่”เหลยอวี๊เฟิงคิดอยากจะห้ามนางแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ออกมาเล่นไม่เป็อันใดหรอก” ม่อเวิ่นเฉินนั้นกลับมีรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้นบนใบหน้าทำให้ซูฉีฉีที่หันหน้ามามองทางนี้อย่างกะทันหันนั้นต้องนิ่งตะลึงไปก่อนจะจ้องมองไปทางใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มของเขา
ดูเหมือนว่าน้อยนักที่นางจะได้เห็นเขายิ้มเช่นนี้ เรียกได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
เมื่อเหลยอวี๊เฟิงเห็นดังนี้ก็ยกมือขึ้นผลักม่อเวิ่นเฉินเบาๆ “เฮ้ นี่เ้ากำลังใช้แผนหนุ่มงามหรือ?”
ทว่าผลที่ได้กลับเป็กำปั้นของม่อเวิ่นเฉินทำให้เขาเจ็บจนต้องเบะปากกัดฟัน ร้องซี๊ดออกมา เขาคิดว่าม่อเวิ่นเฉินดูเหมือนว่าจะตั้งใจจนเกินไปแล้วมิใช่เป็แค่การพนันตาหนึ่งเท่านั้นหรือ? จำเป็ต้องลดตัวไปสร้างความพึงพอใจแก่ซูฉีฉีด้วยหรือ?
เขาส่ายศีรษะ ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
หลังจากนั้นเหลยอวี่เหยาก็ค่อยๆก้าวไปถึงศาลาอย่างระมัดระวังเพราะว่ามีหิมะกองพูนกันอย่างหนาแน่นทำให้นางก้าวเดินได้อย่างเชื่องช้า
เมื่อมาถึงศาลานั้นร่างกายของคนทั้งหมดก็ล้วนอาบไปด้วยเหงื่อเสียแล้วซูฉีฉีนั้นยิ่งหอบหายใจอย่างหนักพลางพิงเข้ากับเสาศาลาแท่งหนึ่งใบหน้าของนางเป็สีแดงอ่อนๆ ก่อนจะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเองไม่หยุด
ในมือของนางนั้นก็คือผ้าเช็ดหน้าที่ม่อเวิ่นเฉินเช็ดเหงื่อให้นางในวันนั้น นางซักเสร็จแล้วทว่ากลับมิได้มอบคืนให้กับเขา กระทั่งนางเองยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
ศาลานั้นมีด้านหนึ่งติดกับบันไดแต่อีกด้านหนึ่งกลับอยู่ห่างกับพื้นถึงสิบกว่าเมตร ลอยอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ทว่ามุมทั้งสี่ด้านมีเสาค้ำอยู่ถือได้ว่าปลอดภัยดี ผู้คนบนนั้นมีไม่มากนัก จึงไม่นับว่าเบียดเสียด
เมื่อเห็นว่าที่นี่ปลอดภัยไม่น้อยม่อเวิ่นเฉินจึงไม่ได้คอยปกป้องซูฉีฉีด้วยตนเองอีกแต่กลับไปยืนอยู่ด้านข้างเหลยอวี๊เฟิง เอ่ยคุยกันอย่างสนุกสนาน
เหลยอวี่เหยานั้นวิ่งเข้าวิ่งออกเหมือนกับว่านางนั้นตื่นเต้นเป็อย่างมาก ไร้ซึ่งความสงบนิ่งเหมือนตอนเดินทางมาอีก ทันใดนั้นก็เดินมาถึงด้านหน้าของซูฉีฉีเสมือนว่านางลื่นไถลไปด้านหน้า ทิศทางที่นางพุ่งไปนั้นคือเสาที่ซูฉีฉีพิงอยู่พอดี
เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งไป
รวมถึงซูฉีฉีด้วย
นางกลับนิ่งอึ้งพลางจ้องไปที่เหลยอวี่เหยาที่กำลังพุ่งตัวมาทางร่างของนางจากนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างของนางนั้นว่างเปล่าเสาที่กอดไว้นั้นได้หลุดออกจากมือตนเสียแล้ว
ในหูนั้นมีเสียงลมดังก้องไม่หยุดด้านล่างนั้นคือกองหิมะที่ขาวโพลน...
“ซูฉีฉี...”
ม่อเวิ่นเฉินนั้นเดิมอยู่ตรงข้ามกับเสาที่ซูฉีฉียืนอยู่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขาก็รีบผลักผู้คนเบื้องหน้าออกไปให้หมดก่อนจะะโออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจสิ่งใดและะโลงไปในทันที
เหลยอวี่เหยาที่ชนซูฉีฉีกระเด็นนั้นก็ได้ยกมือขึ้นจับเสาที่ซูฉีฉีได้จับไว้ก่อนหน้านี้ก่อนจะยิ้มเย็นพลางมองไปทางซูฉีฉีที่กำลังตกลงไป แต่เมื่อเห็นว่าม่อเวิ่นเฉินเองก็ะโตามลงไปนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็นิ่งค้างอยู่ตรงนั้นนิ้วมือที่จับเสาไว้นั้นบีบเสาเอาไว้อย่างแรง เสมือนจะทำให้เสาไม้นั้นหักได้ก็มิปาน
“ม่อเวิ่นเฉิน!” เหลยอวี๊เฟิงเองก็พุ่งตัวไปด้านหน้าก่อนจะะโออกมาเสียงดัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้