จากนั้นห้องตำราก็เงียบกริบ
จั๋วฟู่ไห่รู้มาตลอดว่าบุตรของตนชาญฉลาด อ่านหนังสือตำรามาไม่น้อย รู้เื่หลักการมากมาย แต่เขายังคงเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนเป็เด็กที่ต้องปกป้องและห่วงใย
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ จั๋วฟู่ไห่ถึงได้เข้าใจ ที่แท้เขาก็ไม่เคยเข้าใจลูกเลย
“อวิ๋นเซียน หากคนที่อยู่เื้ัวางแผนมานานแล้ว สังหารพ่อไปก็สิ้นเื่ เหตุใดต้องทำเื่ยุ่งยากเช่นนี้ด้วย?”
จั๋วฟู่ไห่พูดคุยกับจั๋วอวิ๋นเซียนด้วยน้ำเสียงที่เท่าเทียมกันโดยไม่รู้ตัว ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปเขาต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง
จั๋วอวิ๋นเซียนคิดเื่นี้มานานแล้วจึงกล่าวอธิบายไปว่า “ถ้าอีกฝ่ายแค่คิดจะจัดการกับจั่วชินอ๋องเท่านั้น คงไม่ต้องทำเื่ยุ่งยากเช่นนี้ แต่ถ้าเป้าหมายของอีกฝ่ายนอกจากจัดการจั่วชินอ๋องแล้ว ยังคิดจะควบคุมเมืองตงหลิง หรือแม้กระทั่งเส้นทางการค้าในเขตตะวันตกเฉียงใต้เล่า?”
“เ้ากำลังจะบอกว่า...”
จั๋วฟู่ไห่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านพ่อคิดถูกแล้ว เส้นทางการค้าสำคัญของตะวันตกเฉียงใต้มีสี่เส้น ตระกูลจั๋ว ตระกูลต้วน ตระกูลสีต่างตระกูลละหนึ่งเส้นทาง ยังมีอีกตระกูลก็คือตระกูลซีโหลว...ตระกูลจั๋วจะล้มก็ได้ แต่เมืองตงหลิงมิอาจปล่อยให้เกิดจลาจลได้ นี่น่าจะเป็ขีดจำกัดของพวกเขาและเป็ขีดจำกัดของราชวงศ์ต้าถังด้วย”
“ลูก...สงสัยตระกูลซีโหลวหรือ?”
จั๋วฟู่ไห่สีหน้าเปลี่ยนไป เขากล่าวปฏิเสธทันควัน “เป็ไปไม่ได้! ตระกูลซีโหลวกับตระกูลจั๋วคบหากันเป็สหาย ข้ากับซีโหลวเหวินอวี่เป็สหายร่วมเป็ร่วมตาย พี่เหวินอวี่ยังให้บุตรสาวแต่งงานเข้าตระกูลจั๋วของเรา หากรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกัน หากล้มก็ล้มด้วยกัน พวกเขาไม่มีทางทรยศพวกเราแน่ กลับกันตระกูลสีแห่งต้าหนิง เดิมทีก็เป็ตระกูลระดับกลางอยู่แล้ว มีผู้เฒ่าระดับเปิดชีพจรคอยค้ำจุน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับจวนเ้าเมืองด้วย ดูท่าพวกเขาคิดจะเดินแผนอีกก้าวแล้ว!”
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้ากล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่รู้ว่าตระกูลสีมีท่าทีเช่นไร และไม่อยากใช้ความคิดด้านลบไปตัดสินผู้อื่น แต่พวกเราต้องวางแผนรับมือกรณีที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่หรือ? ถ้าตระกูลซีโหลวมีปัญหาจริงๆ เช่นนั้นตระกูลจั๋วจะถูกกดดันอย่างมาก”
จั๋วฟู่ไห่ขมวดคิ้วแน่นด้วยอารมณ์ซับซ้อน เขาเป็คนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ดังนั้นเขาไม่เคยสงสัยสหายของตัวเอง...แต่เขาต้องไตร่ตรองเพื่อตระกูลจั๋ว
จั๋วฟู่ไห่ลำบากใจ ท้ายที่สุดถอนหายใจอย่างขมขื่น “อวิ๋นเซียน ถ้าลูกเป็พ่อ ลูกจะทำอย่างไร?”
“ท่านพ่อ อย่างที่เขาว่ากันว่าต้นไม้ใหญ่ต้านลม มีกิ่งไม้บางกิ่งที่ต้องตัดทิ้ง ต้องตัดแต่ง ขอเพียงยังมีรากฐานอยู่ ก็จะมีวันที่ผลิบานได้อีกครั้ง”
ความคิดของจั๋วอวิ๋นเซียนค่อนข้างเรียบง่ายตรงไปตรงมา ในเมื่อมีคนจับจ้องผลประโยชน์ของเมืองตงหลิง เช่นนั้นตระกูลจั๋วก็หลีกทางให้ เมื่อไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แล้ว ตระกูลจั๋วก็ไร้ค่า ขอเพียงไม่ทำผิดกฎวิถีเซียน ตระกูลจั๋วจะได้รับการปกป้องจากกฎวิถีเซียน
เมื่อเป็เช่นนี้บางทีตระกูลจั๋วอาจจะสูญเสียผลประโยชน์และสถานะไป แต่เมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนเติบโต เช่นนั้นทุกสิ่งที่สูญเสียไปในวันนี้จะได้คืนกลับมาทั้งหมดแน่! เขามีทั้งความมั่นใจและความกล้าเช่นนี้ด้วย
……
จั๋วฟู่ไห่มองจั๋วอวิ๋นเซียนเงียบๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชมและรู้สึกเหนื่อยใจ “อวิ๋นเซียน ลูกพูดถูกแล้ว การปลีกตัวออกมาจะปกป้องตัวเองไว้ได้ แต่พ่อทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“ทำไมกัน?”
จั๋วอวิ๋นเซียนสงสัย เขารู้ว่าบิดาของตนไม่ใช่คนโลภในอำนาจ อีกทั้งทรัพย์สมบัติของตระกูลจั๋วในตอนนี้ เพียงพอให้ตระกูลจั๋วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้ว
จั๋วฟู่ไห่ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้อแรก ตระกูลจั๋วไม่ใช่ของพ่อคนเดียว ถึงแม้พ่อเห็นด้วย พวกปู่สองของเ้าก็ไม่เห็นด้วย หรือจะให้พ่อบังคับพวกเขา? หรือออกไปตั้งตระกูลใหม่? อีกทั้ง...พ่อทำการค้าในเขตชายแดนมาหลายปี ติดต่อกับกลุ่มการค้ามากมาย ถ้าพ่อวางมือจะไม่เสียผลประโยชน์แค่ตระกูลจั๋ว ยังส่งผลไปถึงคนมากมายด้วย”
โลกมนุษย์เปรียบดังเส้นใย พัวพันกันจนตัดไม่ขาด ยากจะหลีกหนี
จั๋วอวิ๋นเซียนค่อยๆ เข้าใจความลำบากของบิดา ความสัมพันธ์ทางโลกเป็อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้บำเพ็ญเซียน มิน่าเล่าผู้บำเพ็ญเซียนในสมัยโบราณถึงยอมนอนกลางดินกินกลางทราย อยู่ในป่าเขา ก็ไม่ยอมมาเกลือกกลิ้งกับโลกมนุษย์ เพราะกลัวว่าจะไปสร้างผลกรรมไว้
……
“เช่นนั้นท่านพ่อคิดจะทำเช่นไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของบุตร จั๋วฟู่ไห่กล่าวอย่างไม่มั่นใจ “พ่อจะลองสืบหาความจริงก่อน ในเวลาเดียวกันก็ขอความช่วยเหลือจากจั่วชินอ๋องด้วย หวังว่าเขาจะเห็นแก่ไมตรีเมื่อกาลก่อน”
ความจริงแล้วการแข่งขันทางการค้าไม่ได้ทำให้จั๋วฟู่ไห่กังวล อย่างมากก็แค่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ แต่ถ้าคนที่อยู่เื้ัลงมือโดยไม่เกี่ยงวิธี เขากังวลเื่ความปลอดภัยของลูกๆ
จั๋วอวิ๋นเซียนอ้าปากค้าง พูดไม่ออก เขาอยากจะบอกว่าทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าลงมือ แสดงว่าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว...เพียงแต่เขาเข้าใจว่าตัวเองห้ามบิดาไม่ได้
และสาเหตุที่จั๋วฟู่ไห่ต้องยืนหยัด เพราะศักดิ์ศรีของบิดา เกียรติของบุรุษ และหน้าที่ของผู้นำตระกูล
……
หลังจากนั้นจั๋วฟู่ไห่ตรวจสอบความก้าวหน้าของบุตรชาย และผลลัพธ์ก็ทำให้เขาพอใจมาก
พอจั๋วอวิ๋นเซียนจากไป จั๋วฟู่ไห่พิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า พลางถอนหายใจออกมา การมีบุตรที่ฉลาดเช่นนี้ คนเป็บิดาอย่างเขากดดันไม่น้อย!
……
ผ่านไปหนึ่งเดือน ในเรือนหลิวอวิ๋นมีเสียงคลื่นพลังประหลาดกระจายออกมา
ในตอนนี้จั๋วอวิ๋นเซียนนั่งอยู่บนเตียง ร่างกายผ่อนคลายรักษาสภาวะอัศจรรย์เอาไว้ ราวกับเป็กระเรียนเซียนตัวหนึ่งกำลังหายใจอยู่เงียบๆ เป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
กายากระเรียนเซียนเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
ทันใดนั้นกลิ่นอายอันร้อนแรงก็แผ่ขยายออกมา...จากนั้นก็หายไปทันที
มีกระเรียนสีชาดขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏตรงหน้าผากของจั๋วอวิ๋นเซียน มันบินวนรอบห้อง สง่างามราวกับหมอกควัน เปล่งประกายราวกับเซียน และรอบกายกระเรียนสีชาดมีแสงิญญาเก้าสายรายล้อม ดูท่าทางมีชีวิตชีวามาก
แสงิญญาเก้าสาย หลอมิญญาเก้ารอบ
หลังบำเพ็ญอย่างหนักมาหนึ่งเดือนกว่า ภายใต้การส่งเสริมจากสมบัติวิเศษและโอสถจำนวนมาก ในที่สุดจั๋วอวิ๋นเซียนก็หลอมิญญาถึงเก้ารอบ ความเร็วเช่นนี้น่าใไม่น้อย
เช่นนั้นขั้นต่อไปก็คือการหลอมรวมแสงิญญาปลุกพร์ให้ตื่นขึ้น
ความแข็งแกร่งตอนปลุกพร์เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ของตราประทับด้วย อย่างเช่นตราประทับราชสีห์กับพยัคฆ์ พร์ที่ตื่นขึ้นส่วนมากจะเป็พละกำลังหรือความเร็ว ยิ่งระดับสูงพร์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ส่วนตราประทับดาบกระบี่ พร์ส่วนมากจะเป็กายาิญญา เมื่อใช้วิทยายุทธ์ดาบกระบี่หรือฝึกฝนดาบกระบี่ จะได้ผลลัพธ์มากขึ้นสองเท่า
ตราประทับกับพร์บอกไม่ได้ว่าใครดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเหมาะสมกับผู้ฝึกฝนหรือไม่
กระเรียนสีชาดของจั๋วอวิ๋นเซียนเป็ตราประทับระดับสูงสุด พร์ที่ตื่นขึ้นต้องไม่แย่แน่ โดยเฉพาะสัตว์ประเภทกระเรียนหรือนกเซียนจะขึ้นชื่อด้านพลังชีวิตกับความอดทน สามารถกลบจุดอ่อนให้ร่างกายของจั๋วอวิ๋นเซียนได้พอดี
เพียงแต่เมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนลองหลอมรวมกับแสงิญญา กลับมิอาจทำได้ เหมือนิญญาของเขายังบำเพ็ญได้ไม่สมบูรณ์นัก จึงมิอาจััถึงโอกาสที่จะปลุกพร์ได้
ด้วยเหตุนี้จั๋วอวิ๋นเซียนได้ไปขอคำแนะนำกับบิดา
แต่น่าเสียดายที่จั๋วฟู่ไห่ไม่มีวิธีจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำได้เพียงให้จั๋วอวิ๋นเซียนรู้แจ้งด้วยตนเอง ที่เป็เช่นนี้เพราะเขายกระดับพลังรวดเร็วเกินไป จิตใจยังไม่มั่นคงพอ
ยังดีที่นิสัยของจั๋วอวิ๋นเซียนเป็คนสงบนิ่ง ไม่ได้รู้สึกรีบร้อนแม้แต่น้อย
เขาอ่านตำราการบำเพ็ญกับการรู้แจ้งมาไม่น้อย รู้ว่าสถานการณ์ของเขาน่าจะเป็เพราะเจอกับคอขวดการบำเพ็ญ และวิธีการทะลวงคอขวดที่ดีที่สุดก็คือประสบการณ์หรือการต่อสู้จริง
เมื่อคิดได้เช่นนี้จั๋วอวิ๋นเซียนก็เข้าไปในมิติมายาสุญญตาอีกครั้ง เตรียมตัวไปฝึกฝนที่โบราณสถานต่างๆ
