อวี้จู๋เล่าเื่ที่เกิดขึ้นของตนจนกระทั่งมาถึงหานโจวด้วยท่าทีเหนียมอาย ขณะนั้นฮูหยินลู่ที่นั่งอยู่ข้างกายลู่เหวินเจิ้นกลับปรากฏรอยยิ้มดูถูก หึหึ นี่คงเป็สตรีที่เขาเลี้ยงไว้ด้านนอกออกมาหาเองถึงที่ มิหนำซ้ำยังได้เข้าไปอยู่ในจวนอ๋องมาก่อนด้วย ตามนิสัยของพระชายา หากว่าไม่ทำอันใดสักหน่อย ก็ทำให้คนไม่กล้าเชื่อจริงๆ
ขณะเดียวกันทางด้านลู่อวี้ฉิงที่อยู่ข้างกายฮูหยินลู่กำลังจับผ้าเช็ดหน้าในมือตนแน่น เหตุใดเื่ราวจึงกลายเป็เช่นนี้ เหตุใดสตรีนางนี้จึงได้มีความเกี่ยวข้องกับลู่เหวินเจิ้น? เนื่องด้วยสาเหตุที่บุรุษผู้นั้นรับนางไว้ก็เพราะ้าให้นางช่วยให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา ทว่า ตอนนี้กลับมีคนปรากฏกายออกมา หากว่าลู่เหวินเจิ้นลุ่มหลงในสตรีนางนี้ขึ้นมาเล่า เช่นนั้นสถานะของนางในตระกูลลู่จะเป็อย่างไร? หากว่าสตรีนางนี้สามารถตั้งครรภ์ให้เขาได้ เช่นนั้นประโยชน์สุดท้ายของนางก็จะไม่มีเหลือ แล้วหลังจากนี้นางจะยังมีชีวิตต่อไปได้หรือ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็อดตัวสั่นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้สตรีนางนี้เข้ามาในตระกูลลู่ไม่ได้เป็อันขาด
ทว่า ในตอนที่ลู่อวี้ฉิงกำลังจะพูดอะไรออกไปนั่นเอง จู่ๆ ฮูหยินลู่ก็ดึงมือนางไว้แล้วพูดเสียงเบา “ที่เรือนหลังของบิดาเ้าก็มีสตรีอยู่ไม่น้อย หากจะมีนางเพิ่มเข้ามาอีกสักคนจะไปมากมายอันใดกัน แล้วตัวเ้าจะกังวลใจไปเพื่ออะไร อย่างไรเสียเ้าก็เป็บุตรสาวสายตรงของเขา เป็ตำแหน่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาข่มขู่ได้” ไม่ว่าอย่างไรลู่เหวินเจิ้นก็ยังอยากได้บุตร นางแค่นเสียงเ็า ฝันไปเถอะ
ลู่อวี้ฉิงมองผู้เป็มารดาไปทีหนึ่ง ในใจหัวเราะเ็า บุตรสาวสายตรง? หึหึ หากว่านางเป็บุตรสาวสายตรงของลู่เหวินเจิ้นจริงๆ ละก็ ชีวิตของนางจะมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร นางปัดมือมารดาออก จากนั้นก็กล่าวตอบ “ท่านแม่พูดถูก ลูกเข้าใจแล้ว”
อย่างไรเสียก็เป็เื่จริง ต่อให้อวี้จู๋จะเข้ามาในตระกูล แต่สตรีในเรือนหลังของบิดาก็มีอยู่ไม่น้อยจริงๆ ดังนั้น สิ่งที่นางควรต้องทำในตอนนี้ก็คือรีบหาวิธีตั้งครรภ์ให้ได้โดยเร็ว เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตตนไว้ได้
อวิ๋นซีทำทีราวกับไม่เห็นสองแม่ลูกคู่นี้กำลังกระซิบกระซาบกัน นางยิ้มแล้วพูดกับลู่เหวินเจิ้นต่อ “ใต้เท้าลู่รู้จักอวี้จู๋หรือไม่? ”
ลู่เหวินเจิ้นมองอวี้จู๋ไปทีหนึ่ง ก่อนจะหวนนึกถึงคืนวันนั้น ฉับพลันนั้นในใจเขาก็คันยุบยิบ แม้ลู่อวี้ฉิงจะนับว่าไม่เลว ทว่า่นี้ขลุกอยู่กับนางทุกวี่ทุกวัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า บางทีตนควรจะเปลี่ยนไปเชยชมอะไรที่สดใหม่บ้าง เพราะสตรีตรงหน้าผู้นี้ก็ดูไม่เลวยิ่ง ถึงแม้ว่าคนจะดูไม่ปลอดภัย แต่อย่างไรอวี้จู๋กับชายาหานอ๋องก็รู้จักกันแล้ว อีกทั้ง สายตาที่อวี้จู๋ใช้มองตนก็ค่อนข้างชัดเจนว่าทั้งลุ่มหลงและรักใคร่บูชาอย่างลึกซึ้ง
“อวี้จู๋เป็สตรีโชคร้ายที่ก่อนหน้านี้เป็กระหม่อมได้เข้าช่วยเหลือไว้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหวินเจิ้นพยักหน้าตอบ
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็อ้อออกมาเสียงหนึ่ง เขายิ้มพูด “ในเมื่อเป็เช่นนี้ มิสู้ให้เปิ่นหวางเป็พ่อสื่อช่วยตบแต่งแม่นางอวี้จู๋เป็ภรรยารองของเ้าเล่า” ภรรยารองหรือก็คือหรูฟูเหริน ถึงแม้จะเป็อนุเช่นกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับอนุทั่วไป เนื่องจากวันหน้าหากภรรยาเอกเสียชีวิต หรูฟูเหรินผู้นี้ก็สามารถขึ้นมาเป็ภรรยาเอกได้ แต่ถ้าเป็อนุทั่วไปนั้น ไม่ว่าอย่างไรคนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ขยับฐานะขึ้นเป็ภรรยาเอก
เมื่อลู่อวี้ฉิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็ซีดขาว หากว่าอวี้จู๋กลายเป็หรูฟูเหริน เช่นนั้นวันหน้าต่อให้นังชั้นต่ำข้างกายนางจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ตัวนางเองก็จะไม่มีทางได้ขึ้นเป็ภรรยาเอก? ไม่ ไม่ว่าอย่างไรแผนการของนางก็จำต้องเร่งมือแล้ว นางจักต้องทำให้เื่ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่อวี้จู๋คนนั้นจะเข้ามาให้ได้
ลู่เหวินเจิ้นไม่รีรอรีบขอบพระทัยหานอ๋องและชายาหานอ๋องทันที ขณะที่ผู้ร่วมงานอื่นๆ ต่างพากันแย้มยิ้มพร้อมกล่าวแสดงความยินดีต่อลู่เหวินเจิ้นเช่นกัน มิคาดการมากินเนื้อย่างมื้อนี้ที่นี่จะได้สตรีงามกลับไป เมื่อมีเื่ดีๆ เช่นนี้เกิดขึ้นกับลู่เหวินเจิ้น บุรุษหลายคนที่ปรารถนาในความงามของอวี้จู๋ต่างก็อดไม่ได้ให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมต่อพวกตนเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้นอกจากต้องยอมรับความเป็จริง เพราะไม่ว่าอย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็ท่านอ๋องที่ช่วยผูกด้ายแดงด้วยพระองค์เอง
อวิ๋นซีมองคนตรงหน้าเหล่านี้ มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ ตระกูลลู่ วันหน้าจักต้องครึกครื้นมากเป็แน่ เมื่อคิดแล้วก็ได้ยิ้ม ก่อนจะหันไปพูดกับสาวใช้ข้างกายตน “ฉุนเอ๋อร์ให้คนไปนำเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้อวี้จู๋ที วางไว้ข้างๆ ฮูหยินลู่ก็แล้วกัน”
เมื่ออวี้จู๋ได้ยินคำกล่าวนั้นก็คุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นเพื่อเป็การขอบคุณในเมตตาที่อวิ๋นซีและจวินเหยียนมีให้ เพราะหากไม่ใช่ทั้งสองคนนี้ ชาตินี้ตนก็คงไม่อาจเข้าถึงข้างกายลู่เหวินเจิ้นได้อย่างราบรื่นเพียงนี้ อีกทั้ง เมื่อคิดไปถึงว่า ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีสักวันที่ความแค้นของครอบครัวจะได้รับการชำระ ในใจนางก็ตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง
อวิ๋นซีเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเป็เช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ เพียงในใจ การแก้แค้นแทนบิดามารดาเดิมทีก็เป็เื่ที่บุตรธิดาสมควรกระทำอยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นอวี้จู๋ก็ราวกับกำลังมองดูตนเองเมื่อกาลก่อน ซ้ำร้ายในยามนั้นตนยังมีชีวิตอยู่อย่างน่าอนาถเสียยิ่งกว่าอวี้จู๋อีก
หลังจากนั้นไม่นานบ่าวรับใช้ก็ยกเนื้อย่างเข้ามา อวิ๋นซีจึงสั่งให้คนยกขึ้นโต๊ะให้องค์ชายสี่ และพวกชิวิซื่อจื่อก่อน จากนั้นก็เป็ตระกูลลู่ ทว่า สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ตอนที่ฮูหยินลู่ได้กลิ่นหอมของเนื้อนั้น คนก็อาเจียนออกมาติดๆ กัน ผู้รับชมถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
เมื่ออวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็รีบสอบถามด้วยความเป็ห่วง “ฮูหยินลู่ไม่สบายหรือ? ” ท่าทีของฮูหยินลู่คลับคล้ายอาการของสตรียามตั้งครรภ์ หรือว่า คนจะตั้งครรภ์?
หากเป็เช่นนั้นจริง เื่ราวที่จะเกิดขึ้นก็คงผิดไปจากการคาดคะเนของนางเป็อย่างมาก ถึงแม้จะมีความเป็ไปได้ที่อาจจะกระทบต่อแผนการขั้นถัดไป แต่อวิ๋นซีก็หาได้กังวลใจว่าฮูหยินลู่จะยังจับจิตจับใจลู่เหวินเจิ้นได้ เพราะต่อให้ฮูหยินลู่จะตั้งครรภ์จริง ลู่เหวินเจิ้นก็ย่อมไม่มีทางเชื่อว่าเด็กในท้องจะยังเป็ลูกของตน
สำหรับสตรีชั้นต่ำที่สวมหมวกเขียวให้เขามาหลายปี ทั้งยังให้กำเนิดบุตรแก่ชายอื่น เขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันฮูหยินของหลัวถงจือเองก็พูดขึ้นเสียงเบา “ดูท่า ตระกูลลู่คงจะมีข่าวดีในไม่ช้านี้แล้วกระมัง”
เมื่อฮูหยินลู่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ยิ่งซีดขาว นางรีบพูดขึ้น “ฮูหยินหลัวพูดให้ขำแล้ว ตัวข้านี้ก็หวังจะให้มีข่าวดี แต่น่าเสียดาย ข้าเป็คนไร้วาสนา หลังจากที่คลอดอวี้เอ๋อร์ออกมาก็ไม่มีบุตรธิดาอีกเลย ส่วนอาการนี้ก็แค่ไม่กี่วันก่อนต้องความเย็นเข้า ทั้งยังเผลอกินบางสิ่งที่ทำให้ท้องเสียเข้าไป ดังนั้น ตอนนี้เพียงแค่ได้เห็นเนื้อต่างๆ ก็ให้รู้สึกพะอืดพะอมยิ่ง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยิน มุมปากก็โค้งขึ้นนิดๆ “เป็เช่นนี้เองหรือ ให้ข้าช่วยจับชีพจรให้ฮูหยินลู่ดีหรือไม่ ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ หรือจะป่วยไข้ธรรมดาก็ต้องรีบรักษาให้หาย และแม้ว่าที่จวนใต้เท้าลู่จะไม่เคยขาดแคลนอนุเล็กๆ แต่จะอย่างไรฮูหยินก็คือภรรยาเอก การได้มีบุตรชายสายตรงเป็ของตนย่อมดีที่สุด”
เมื่อนางพูดออกไป ทุกคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อฮูหยินลู่ได้ยินแล้วก็รีบตอบปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มบาง “หม่อมฉันไม่สบายจริงๆ เพคะ ทว่า ไม่กี่วันก่อนเป็ท่านหมออวิ๋นซานที่มาช่วยตรวจชีพจรวินิจฉัยอาการให้ที่จวนแล้วเพคะ”
เมื่อคนเอ่ยถึงท่านหมออวิ๋นซานว่า เขาได้ไปช่วยวินิจฉัยอาการให้ที่จวนแล้ว อวิ๋นซีก็ไม่อาจดื้อดึงช่วยตรวจชีพจรให้ได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นจะกลายเป็การรื้อเวที [1] บิดาตน ฮูหยินลู่ผู้นี้ถือว่าเป็คนฉลาดผู้หนึ่ง รู้จักพลิกแพลง ทั้งยังคิดจะลากบิดานางลงน้ำได้รวดเร็วเพียงนี้
นางพยักหน้า “ในเมื่อท่านพ่อตรวจให้แล้ว ข้าก็วางใจ”
เนื้อย่างยังคงถูกยกขึ้นสำรับอย่างต่อเนื่อง จู่ๆ องค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นบ้าง “พี่สะใภ้รอง กินเนื้อย่างเพียงอย่างเดียวคงจะน่าเบื่อเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากมีการร้องเพลงเต้นระบำบ้างก็คงจะดีไม่น้อย ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
จวินเหยียนแค่นเสียงเ็า “มีของกินก็ยังอุดปากเ้าไว้ไม่ได้”
โอวหยางเทียนหลานหัวเราะฮี่ฮี่ “ได้ยินมาว่าระบำของทางตะวันตกเฉียงเหนือนี้พิเศษกว่าที่ไหนๆ ทั้งยังแตกต่างจากของเมืองหลวงและเจียงหนานเป็อย่างมาก ในใจน้องนั้นสงสัยใคร่รู้ยิ่ง หรือว่าพี่รองจะใจแคบ ไม่ยอมเติมเต็มความปรารถนานี้ให้น้องกัน”
เมื่อทุกคนได้ยินโอวหยางเทียนหลานเรียกขานจวินเหยียนว่า ‘พี่รอง’ ในใจก็ให้รู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง คนที่สามารถเรียกท่านอ๋องเช่นนี้ได้ก็มีแต่ผู้สูงศักดิ์เฉกเช่นองค์ชายแล้ว ถ้าอย่างนั้นบุรุษตรงหน้าท่านนี้เป็องค์ชายลำดับที่เท่าใดกัน? อีกประการ องค์ชายเสด็จมาหานโจวั้แ่เมื่อไร? เพราะแม้แต่ลู่เหวินเจิ้นเองก็ยังถูกทำให้ใแล้วเช่นกัน ยามนี้ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปยังเมืองหลวง จึงจำไม่ได้ว่าท่านผู้นี้เป็ใคร เดิมทีคิดเพียงว่าอาจจะเป็แขกกิตติมศักดิ์ในจวนอ๋อง ชั่วขณะนั้นเมื่อเสมองไปทางหลัวถงจือก็เห็นคนยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว เพื่อเป็การบอกใบ้ว่า ท่านผู้นี้คือท่านสี่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] รื้อเวที(拆台)หมายถึง ตั้งใจทำให้ผู้อื่นเสียแผนหรือเสียหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้