อวี๋ฉี่เจ๋อหยัดกายลุกขึ้นทำความเคารพจากนั้นเดินฝีเท้าแ่เบาออกไปจากห้องโถง
สตรีแซ่อวี๋โจวขมวดคิ้วมองแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปของอวี๋ฉี่เจ๋อนางลอบใช้ข้อศอกกระทุ้งอวี๋หรูไห่ เอ่ยเสียงเบาข้างหูเขาว่า “นายท่าน ร่างกายของเ้าห้าไม่มีโอกาสลงสนามสอบอีกแล้วคำมั่นบอกว่าจะดูแลเช่นนั้นของนายท่านรองมู่ไม่เท่ากับกลายเป็คำมั่นที่สูญเปล่าหรือเ้าคะ? ปีนี้จิ่นเหยียนกับจิ่นซูจะลงสนามสอบแล้วควรจะดูแลพวกเขาถึงจะถูกเ้าค่ะ”
หลังอวี๋หรูไห่ได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลเขาจึงฝืนหน้าทนเอ่ยกับมู่เหยี่ยนว่า “นายท่านรองมู่ เกรงว่าเ้าห้าของพวกเราจะไม่มีโอกาสลงสนามสอบขุนนางอีกแล้วแต่โชคดีที่เ้ารองและเ้าสี่ก็กำลังร่ำเรียนเช่นกันหวังว่าสกุลมู่จะคอยดูแลระหว่างการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ผลิอยู่สักหน่อย”
มู่เหยี่ยนแย้มยิ้มเสแสร้ง ตอบรับอย่างผ่อนคลายว่า “อ้อ? ที่แท้คนทั้งสกุลอวี๋ล้วนแต่เป็ปัญญาชน คุณชายรองและคุณชายสี่ของเ้าต่างสอบผ่านขุนนางขั้นต้นแล้วหรือ?”
อวี๋หรูไห่ใบหน้าค่อนข้างไร้ราศีทั้งอวี๋จิ่นเหยียนและอวี๋จิ่นซูต่างไม่ฉลาดเท่าเ้าห้าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังสอบไม่ผ่านขุนนางระดับต้น เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจนปัญญา“ช่างน่าอับอายจริงๆ ถึงแม้จิ่นซูกับจิ่นเหยียนจะตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนักแต่ก็ยังไม่ผ่านการสอบขุนนางขั้นต้นโชคดีที่จิ่นเหยียนเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอจึงสามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ได้ข้ากำลังคิดจะส่งจิ่นซูเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอเช่นกัน”
ครั้นสตรีแซ่จางที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดได้ยินคำกล่าวของผู้เฒ่าอวี๋พลันมีสีหน้าขุ่นเคืองทันใดนางนึกถึงคำพูดที่ได้ยินตอนอยู่นอกเรือนของครอบครัวสามแล้วรู้สึกโมโหไปถึงในขั้วหัวใจอย่างฉับพลันอีกทั้งยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะมีคนนอกอยู่ด้วย นางจึงไม่อาจระบายออกมาทำได้เพียงใช้ข้อศอกกระทุ้งอวี๋เฉียวซานพลางถลึงตาใส่เขา
อวี๋เฉียวซานยืนกลัดกลุ้มอยู่อีกด้านเดิมทีเขายังไม่อยากเชื่อคำกล่าวในวันนั้นของภรรยาตนเองคิดไม่ถึงว่าท่านพ่อท่านแม่จะลำเอียงถึงขั้นนี้
“ท่านหมออวี๋ช่างกระทำการใหญ่นัก ให้ความสำคัญกับการศึกษาเล่าเรียนจริงๆช่างหักใจจ่ายเงินได้ลง” มู่เหยี่ยนหัวเราะ ในน้ำเสียงไร้ซึ่งความเย้ยหยันแต่ความหมายแฝงในประโยคกลับเป็เช่นนี้
อวี๋หรูไห่จะฟังไม่ออกได้อย่างไรเพียงแต่ยามนี้จะต้องประจบผู้มีอิทธิพล ทำได้เพียงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า“ในฐานะของผู้าุโ ล้วนแต่หวังว่าลูกหลานจะได้เป็ผู้ที่มีความสามารถข้าก็จนปัญญาเช่นกันยังคงหวังว่านายท่านรองมู่จะดูแลหลานชายทั้งสองที่ไร้ประโยชน์ของข้า”
มู่เหยี่ยนพยักหน้า “ย่อมต้องเป็เช่นนี้”เขาทำราวเห็นด้วยกับคำกล่าวของอวี๋หรูไห่อย่างยิ่ง แต่กลับไม่เอ่ยคล้อยตามแม้แต่นิดหันหน้าออกไปมองท้องฟ้าข้างนอก จากนั้นลุกขึ้นเอ่ยว่า“ไม่ทันรู้ตัวก็เที่ยงวันเสียแล้ว วันนี้ข้ารบกวนมาเป็เวลานานแล้วคงไม่รบกวนไปมากกว่านี้”
เดิมทีอวี๋หรูไห่คิดจะรั้งมู่เหยี่ยนทานอาหารกลางวันคิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยถึงเื่ของจิ่นเหยียน จิ่นซู เขาก็จะไปเสียแล้วรีบเอ่ยรั้งเอาไว้ว่า “ยามนี้แล้ว หากนายท่านมู่เดินทางกลับไปไม่เท่ากับสกุลอวี๋ของข้าหมางเมินแขกผู้มีเกียรติอย่างนั้นหรืออยู่ทานอาหารกลางวันแล้วค่อยไปเถิด?”
มู่เหยี่ยนโบกมือ “ไม่ล่ะ ฮูหยินในจวนยังรอข้าอยู่ หากข้าไม่กลับไปนางจะไม่อาจกินข้าวอย่างวางใจ ท่านหมออวี๋ไม่ต้องเกรงใจภรรยาของคุณชายห้ามีวิชาหมอล้ำเลิศ ภายหน้าข้ายังต้องมารบกวนอย่างแน่นอน”
เอ่ยมาถึงขั้นนี้แล้ว อวี๋หรูไห่ไม่อาจฝืนรั้งทำได้เพียงหยัดกายลุกขึ้นตาม
ข้ารับใช้ของมู่เหยี่ยนรีบเดินตามหลังมู่เหยี่ยนไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หลังจากส่งมู่เหยี่ยนกลับไปสตรีแซ่ซ่งไปห้องครัวเพื่อก่อไฟทำกับข้าว สตรีแซ่จางไม่ได้ตามไปช่วยแต่ดึงอวี๋เฉียวซานเข้าไปในห้องโถง
อวี๋เฉียวซานคิดอยากจะเกลี้ยกล่อมภรรยาของตนสักไม่กี่ประโยคแต่สตรีแซ่จางอดทนจนเหลืออดเสียแล้ว มีหรือจะยอมฟัง นางรู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่งนักต่างก็เป็หลานเหมือนกัน เหตุใดเื่ดีๆ ถึงตกเป็ของครอบครัวสามเท่านั้น
“ท่านพ่อ ตอนแรกที่พวกท่านส่งจิ่นเหยียนไปสำนักศึกษาระดับอำเภอข้าไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แต่ยามนี้ยังจะส่งจิ่นซูไปสำนักศึกษาระดับอำเภออีกข้าอยากจะถามสักหน่อย ตลอดหลายปีมานี้จือโจวก็เรียนหนังสือเช่นกันท่านควรจะส่งเขาเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอด้วยหรือไม่เ้าคะ?” สตรีแซ่จางเทหมดหน้าตัก นางยืนอยู่กลางห้องโถงเอ่ยถามพลางมองอวี๋หรูไห่และสตรีแซ่อวี๋โจวแล้วเอ่ยถาม