เซฟเฮ้าส์ของไดร์ฟ….
เช้าวันต่อมา…
05:00น.
ไอริส อันฤดี….
พรึบ
“อะไรอ่ะ?” ไดร์ฟเอ่ยถามฉันพร้อมกับทำคิ้วขมวดอย่างสงสัยที่ฉันยื่นโทรศัพท์เครื่องหรูของเขาคืนไปให้เขา
“ของนายไง?”
“แล้วเธอมีใช้หรือไง?” เขาถามฉันกลับแต่ยังไม่ยอมยื่นมือมารับโทรศัพท์ของเขาไปจากฉัน
พรึบ
“เดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก็จะไปซื้อนี้ไง…”
“นายเอาไปเถอะ…ในนั้นมีไดร์ฟเพลงของนายเยอะมาก…”
“และมีเนื้อเพลงที่นายยังแต่งไม่จบอยู่อีกนะ..” ฉันว่าในขณะที่ยัดโทรศัพท์ใส่มือของเขาไปแล้ว
“งั้น…เดี๋ยวฉันซื้อให้” ไดร์ฟว่าอย่างอาสาและเต็มใจ
“ซื้อให้ทำไม?” ฉันถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็รับผิดชอบที่ทำโทรศัพท์ของเธอพังไง…”
“ไม่เป็ไรหรอก…”
“ให้ฉันซื้อให้เถอะนะ….ถือว่าเป็การขอบคุณที่เธออาสามาช่วยบำบัดโรคซึมเศร้าให้ฉันไง”
“เอาอย่างงั้นเหรอ?” ฉันถามเขาต่อไปเพื่อความแน่ใจ
“ใช่…อย่างนี้แหละ…” ไดร์ฟก็ตอบเสียงแข็งยืนยันหนักแน่นในคำตอบของเขา
“งั้นก็โอเค…นี่ตกลงนายแต่งตัวเสร็จแล้วใช่เปล่า?” ฉันถามไดร์ฟไปพลางมองสำรวจเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ในขณะนี้ เป็กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำและใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแขนยาวเอาชายเสื้อข้างหนึ่งใส่ไว้ในกางเกงอีกข้างปล่อยออกมาและเขายังปลดกระดุมเม็ดบนอีกสามเม็ด นี้มันจะโดดเด่นเกินไปหรือเปล่าเนี่ย? เพราะนี้แค่ไม่เห็นหน้าตาแต่ก็ดูหล่อเท่ไปแล้วอ่ะ
“อืม…ใช่…” เขาตอบฉันมาก่อนจะเดินไปหยิบหมวกแก๊ปสีดำยี่ห้อดังพร้อมกับผ้าปิดปากที่เป็สีดำเช่นกันนำมาปกปิดใบหน้าของเขาและทรงผมที่เท่ห์แสนเท่ห์ของเขา ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้เขาจะเซตผมทำไมกันก็ในเมื่อเขาตั้งใจจะใส่หมวกอยู่แล้ว?
“ป่ะ…” เขาหันกลับมาบอกฉันในขณะที่เขาจัดการปกปิดใบหน้าของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างรับรู้และรีบเก็บของของฉันใส่ลงไปในกระเป๋าเป้สะพายหลังสีชมพูสดใสของฉันเพื่อจะเตรียมตัวออกไปข้างนอก
“เราต้องแอบออกไป…ไม่งั้น…นายไม่ได้ไปแน่…” ฉันหันมาเอ่ยบอกไดร์ฟในขณะที่เราทั้งคู่เดินมาหยุดหน้าประตูห้องนอนของไดร์ฟแล้ว
“อืม…” ไดร์ฟตอบฉันสั้นๆ อย่างที่เขาเองก็รู้อยู่แล้ว
พรึบ
ฉันค่อยๆ หมุนลูกบิดประตูและค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกว่ามีใครอยู่ไหม
พรึบ
พรึบ
ฉันหันซ้ายหันขวามองทางเดินด้านนอกที่ตอนนี้ปลอดโปร่งผู้คนเพราะตอนนี้เป็เวลาตีห้ายังไงล่ะ
คุณป้าแม่บ้านก็คงจะง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าอยู่ในครัวนู้นแหละ
พรึบ
“พร้อมนะ^_^” ฉันหันมาเอ่ยถามไดร์ฟพร้อมกับคว้าแขนของเขามาจับไว้
“อืม…” เสียงเรียบๆ ของไดร์ฟตอบรับกลับมา ฉันเมื่อได้ยินคำของไดร์ฟแล้วก็ออกแรงลากแขนเขาให้ค่อยๆ เดินย่องๆ ออกมาจากห้องนอนไดร์ฟมุ่งหน้าเดินไปตามทางของทางเดิน ผ่านห้องโถงขนาดใหญ่และตามด้วยประตูหน้าบ้านที่ไม่ได้ลงกลอนไว้
แกร๊ก
ฉันกดหมุนลูกบิดประตูอย่างเบามือและนิ่มนวลที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง
พรึบ
“วู้” ฉันผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโลกใจที่ปิดประตูได้อย่างเบามือจนไม่เกิดเสียงดัง ฉันกับไดร์ฟเมื่อออกมาจากตัวของบ้านได้แล้วก็เดินมุ่งหลบซ่อนไปตามพุ่มไม้ที่ถูกปลูกไว้ทั่วทั้งบริเวณสวนหย่อมแห่งนี้
โชคดีที่การ์ดผลัดกันเฝ้าเวรยามเลยมีการ์ดแค่สองสามคนที่อยู่เฝ้าในตอนนี้ แต่โชคดีดีไปที่พวกเขาก็กำลังแอบอู้กันอยู่
เลยทำให้การหลบหนีของฉันกับไดร์ฟในครั้งนี้สะดวกเพิ่มมากขึ้น
พรึบ
“ไดร์ฟ…” ฉันหยุดอยู่หน้ากำแพงรั้วของบ้านไดร์ฟที่สูงเลยศีรษะของฉันไปและเอ่ยเรียกชื่อไดร์ฟเสียงแ่เบา ถ้าเราผ่านกำแพงรั้วนี้ไปได้ เราจะออกไปจากบ้านของไดร์ฟได้
“หืม?” ไดร์ฟขานรับฉันเสียงแ่เบาเช่นกัน ก่อนที่ฉันจะหันหน้ากลับมามองหน้าไดร์ฟ
“เดี๋ยวนายนั่งยองๆ นะ…”
“นั่งทำไม?” ไดร์ฟถามฉันเสียงหลงอย่างไม่เข้าใจ
“เป็ที่เหยียบให้ฉันขึ้นไปข้างบนยังไงล่ะ” ฉันบอกเขาพลางทำมือชี้ไปที่กำแพงสูงใหญ่ด้านหน้าของเราทั้งคู่และทำท่าทำทางให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ฉัน้าให้เขาทำ
แต่ไดร์ฟกลับทำหน้างงหนักมากกว่าเดิมเขาขมวดคิ้วหนาจนแทบจะผูกกันเป็ปม
พรึบ
“ไม่ต้องงงแล้วไดร์ฟ!” ฉันโวยใส่ไดร์ฟและจัดการจับร่างของไดร์ฟให้นั่งยองๆ ลงไปบนพื้นหญ้าและฉันก็จัดการโยนกระเป๋าเป้ของฉันที่ฉันเอาแมคบุ๊คไอแพดออกไปจากกระเป๋าแล้วโยนให้มันข้ามกำแพงไปอยู่ฝั่งนู้น
พรึบ
“โอ้ย!” ไดร์ฟร้องเสียงหลงเมื่อฉันก้าวขาข้างขวาขึ้นไปเหยียบบนไหล่ของเขา
“ชู่วววว” ฉันจึงทำเสียงเพื่อเตือนให้เขาเงียบๆ หน่อย
“ก็ฉันเจ็บหนิ!” ไดร์ฟบ่นอุบฉันก็เบะปากใส่เขาและรีบจัดการดีดตัวเหยียบไหล่ไดร์ฟและเอามือเกาะกำแพงเพื่อจะปีนออกไปทันที
พรึบ
“เร็ว…ขึ้นมาสิไดร์ฟ!” ฉันเอ่ยเร่งไดร์ฟที่ฉันขึ้นมานั่งบนขอบกำแพงหนาได้แล้ว ไดร์ฟที่อยู่ข้างล่างก็ใช้มือของเขาปัดไปที่ไหล่ของเขาที่โดนฉันเหยียบก่อนจะพยักหน้าให้ฉันอย่างรับรู้
พรึบ
ฉันยื่นมือไปให้ไดร์ฟจับมือฉัน แต่เขาก็ไม่จับมือฉันเขากลับะโสูงรวดเดียวจนมือหนาของเขาจับคานของกำแพงได้และเขาก็ใช้เท้าไต่กำแพงขึ้นมาอย่างสบายๆ ฉันก็มองหน้าไดร์ฟด้วยท่าทางอึ้งใกับการะโขึ้นกำแพงของเขา อย่างกับมีวิชาตัวเบาน่ะ
พรึบ
“นาย….ลงไปก่อน…” ฉันเอ่ยบอกไดร์ฟไปทันทีที่เขาขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ ฉันแล้วโดยเราทั้งคู่หันขาออกไปด้านนอกตัวบ้านแล้ว
“อืม…” เขาตอบฉันสั้นๆ และะโรวดเดียวถึงพื้นเลย
ตุ๊บ
“รอรับฉันด้วยสิ….” ฉันเอ่ยบอกไดร์ฟไปแทบจะทันทีที่เขาเอื้อมมือไปเก็บกระเป๋าเป้ของฉันขึ้นมาสะพายไหล่เขาไว้ เขาก็เลิกคิ้วมองหน้าฉันก่อนจะอ้ามือออกจากกันอย่างกว้างๆ เพื่อรอรับร่างฉัน ฉันก็ยิ้มร่าให้ไดร์ฟก่อนจะยอมทิ้งตัวลงไปด้านล่าง
พรึบ
“ตัวเบาชะมัด…” เสียงทุ้มของไดร์ฟบ่นพึมพำขึ้นเมื่อฉันอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้แล้ว ฉันก็รีบดีดตัวออกมาจากไดร์ฟทันที
“ลองว่าฉันหนักดูสิ…ฉันจะยุให้นายฆ่าตัวตายเลยอ่ะ!”
“เหรอครับ…?” ไดร์ฟว่าพลางทำหน้าทะเล้นใส่ฉันทำให้ฉันต้องย่นจมูกใส่เขาและรีบทำเป็เอามือปัดเสื้อผ้าตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายกับแววตาที่ไดร์ฟใช้มองฉัน
“ไปได้แล้ว….” ฉันหันกลับมาเอ่ยบอกไดร์ฟแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา
“เอากระเป๋ามาด้วย….” ฉันว่าเสียงเรียบพลางยื่นมือไปขอรับกระเป๋าของฉันคืนมาจากไดร์ฟ
พรึบ
“ว๊ายยย!” ฉันร้องเสียงหลงอีกครั้งอย่างใแทนที่ฉันจะได้กระเป๋าคืนมาแต่ฉันกลับได้มือหนานุ่มที่กุมมือฉันไว้และออกแรงลากฉันวิ่งมาแทน ลากฉันอยู่นั้นแหละ ขาตัวเองก็ยาวกว่าฉันตั้งเยอะ!
พรึบ
“เห้อ…..!” ฉันผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างถี่รัวทันทีที่ไดร์ฟพาฉันมาหยุดวิ่งลงที่ไหนสักแห่งหนึ่งซึ่งฉันก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับเส้นทางนี้สักเท่าไหร่
“วิ่งมาแค่นี้เหนื่อย….” เสียงเรียบๆ เอ่ยขึ้น ฉันก็เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าไดร์ฟอย่างโกรธเคืองที่พาฉันวิ่งออกกำลังกายแต่เช้ามืดแบบนี้ แต่ผิดกันเขากลับไม่เหนื่อยเลยสักนิดไม่เหมือนฉันหอบแฮกๆๆ เลย
“เดี๋ยว…ขอหายใจก่อน…” ฉันยกมือขึ้นอย่างขอเวลานอก ไดร์ฟก็ถอนหายใจออกมาพลางทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะเดินหายไปที่ไหนสักที่ ซึ่งฉันมองไปทันเพราะมัวแต่เงยหน้าสูดอากาศเข้าปอดอยู่เนี่ย
พรึบ
“อยากกิน….นั้น” เสื้อยืดของฉันถูกดึงพร้อมกับเสียงทุ้มเข้มของไดร์ฟ ฉันก็มองหน้าเขาและหันไปมองตามนิ้วที่เขาชี้
“น้ำเต้าหู้….ปาท่องโก๋?”
“ใช่^_^” ไดร์ฟยิ้มร่าแววตาของเขาเป็ประกายขึ้นอย่างแพรวพราวเหมือนเวลาเด็กเห็นของเล่นที่โดนใจและอยากได้
“ไปสิ^_^” ฉันเคลิ้มตามและยิ้มตอบไดร์ฟไปก่อนที่เราทั้งคู่จะพากันเดินข้ามถนนสองเลนเพื่อไปยังร้านน้ำเต้าหู้สดพร้อมปาท่องโก๋แบบร้อนๆ
พรึบ
“น่ากินมากกกกก” ไดร์ฟก้มมากระซิบบอกฉันที่ข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงแจ่มใสทันทีที่เราเดินมาหยุดหน้าร้านเต้าหู้กับปลาท่องโก๋แล้ว โดยมีคุณลุงและคุณยายอายุน่าจะห้าสิบกว่าๆ ได้เป็คนขาย คุณยายเป็คนปั้นปาท่องโก๋ส่วนคุณลุงเป็คนทอด
“รับกี่ชุดดีจ๊ะ….แม่หนู^_^” คุณยายเอ่ยถามฉันพร้อมยิ้มหวานอย่างใจดี ฉันก็ยิ้มให้คุณยายและหันมายิ้มให้ไดร์ฟที่เขาเองก็กำลังมองปาท่องโก๋ด้วยแววตาเป็ประกายเหมือนคนไม่เคยกินอย่างงั้นแหละ
“สองชุดค่ะคุณป้า…หนูทานที่นี่นะคะ^_^”
“ได้เลยจ้ะ…ไปนั่งรอก่อนนะ^_^”
“ค่ะ^_^” ฉันยิ้มรับคำคุณป้าและจูงมือไดร์ฟให้เดินตามฉันไปนั่งรอที่โต๊ะที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ลูกค้า ซึ่งร้านของคุณป้ากับคุณลุงเป็ร้านที่ไม่ได้เลิศหรูอะไรมาก ออกจะทรุดโทรมเสียมากกว่า ร่มที่กางกันแดดกันฝนก็ขาดหลุดลุ่ยแล้ว
“นายเห็นไหม….ว่ายังมีคนที่แย่กว่านายอีก…” ฉันเอ่ยขึ้นทันทีที่ไดร์ฟนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะท้อ…และฆ่าตัวตายเลยเห็นไหม…”
“ดูรอยยิ้มของคุณลุงกับคุณป้าสิ^_^” ฉันบอกไดร์ฟไปพลางหันไปมองที่คุณลุงและคุณป้าที่เขาทำหน้าที่ทอดปาท่องโก๋และปั้นปาท่องโก๋ไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มทำให้ฉันต้องยิ้มตามพวกเขาสองคนไปด้วย
แชะ
“นั่นสิเนอะ…” ไดร์ฟว่าเสียงอ่อนอย่างเห็นด้วย
“ไดร์ฟ…นายแอบถ่ายรูปฉันเหรอ?” ฉันหันกลับถามไดร์ฟอย่างจับผิดที่ฉันแอบได้ยินเสียงกดถ่ายรูปจากโทรศัพท์ของไดร์ฟที่เขารีบเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาอย่างไว
“ฉันถ่ายรอยยิ้มของคุณลุงกับคุณป้าต่างหากล่ะ” ไดร์ฟแก้ตัวอย่างไม่ค่อยหน้าเชื่อเพราะสายตาของเขามันล่อกแล่กซะเหลือเกิน
“ไหน…งั้นเอามาดูสิ” ฉันว่าเสียงเข้มพลางแบมือไปตรงหน้าของเขาเพื่อขอดูโทรศัพท์จากเขา
“นี่มันโทรศัพท์ส่วนตัวของฉันนะ…เธอจะมาขอดูได้ยังไง?” ไดร์ฟว่าเสียงเข้ม ฉันก็ย่นจมูกใส่ไดร์ฟก่อนที่เราสองคนจะได้พูดอะไรกันไปมากกว่านี้ คุณป้าก็ยกน้ำเต้าหู้สองแก้วพร้อมปาท่องโก๋ที่ปั้นเป็รูปหัวใจครึ่งดวงมาเสิร์ฟให้เราสองคนถึงโต๊ะ
“ขอบคุณค่ะ^_^” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณคุณป้าไป
“ขอบคุณครับ^_^” ไดร์ฟเองก็เช่นกัน เขายกมือไหว้ขอบคุณคุณป้าพร้อมกับยิ้มกว้างให้เธอไปด้วย ฉันก็แอบยิ้มตามไดร์ฟไป เขาเป็คนที่ยิ้มแล้วน่ารักจัง เขาน่าจะยิ้มแบบนี้บ่อยๆ นะ^_^รอยยิ้มที่คนอื่นเห็นแล้วรู้สึกว่าโลกสดใสน่ะ